ตอนนี้ในจวนอ๋องหวยจะมีการสืบหาหนอนบ่อนไส้ ฉะนั้นหยู่เหวินเห้าและหยวนชิงหลิงจึงไม่คิดจะอยู่ต่อ
ยิ่งเฉพาะช่วงผู้คนที่เดินทางมาที่จวนก็ไม่ใช่น้อยๆ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่คนในจวน การจะให้เข้าไปก้าวก่ายเหล่าเจ้าหญิงและอ๋องคงยากที่จะเจรจาด้วย
อีกทั้งหยู่เหวินเห้ายังเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของหยวนชิงหลิง ทางที่ดีคือการกลับจวนให้นางนอนพักผ่อนเขาถึงจะสบายใจ
จนกระทั่งช่วงพลบค่ำก็มีข้ารับใช้จากจวนอ๋องหวยเข้ามาให้การแจ้งข่าวว่าได้ทราบตัวสายลับแล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่ผู้ใดอื่นไกลแต่เป็นแม่นมผู้ติดตามที่ออกมาจากวังพร้อมกับอ๋องหวย
หยู่เหวินเห้าได้ยินก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าข้าจำไม่ผิด แม่นมคนนั้นคือคนที่ดูแลเขา”
แม่นมก็เป็นเหมือนกับครึ่งหนึ่งของมารดา
อ๋องหวยคงจะเสียใจไม่น้อย
“การวางยาพิษก็เป็นฝีมือของนางพ่ะย่ะค่ะ ทว่านางมีการยับยั้งมือไปบ้าง เพราะเดิมทียาพิษนั้นสามารถคร่าชีวิตอ๋องหวยได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ทังหยางกล่าวในสิ่งที่อ๋องหวยแจ้งไว้
“ได้ไต่สวนหาผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่?” หยู่เหวินเห้าถาม
ทังหยางส่ายหน้า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ จะอยู่หรือตาย ชีวิตของทุกคนในครอบครัวล้วนขึ้นอยู่กับนาง จึงตัดสินใจใช้โอกาสในตอนที่ทุกคนไปทันได้ตั้งตัว ใช้ศีรษะทุบกำแพงจนเสียชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าแม่นมตายอย่างน่าอนาถ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกเศร้าใจ
เด็กน้อยที่ตัวเองป้อนนมเลี้ยงดู หากไม่ใช่เพราะเผลอใจไป คงจะไม่มีทางลงมือทำเช่นนี้แน่
อีกทั้งนางยังมีการยับยั้งพลั้งมือแล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้นอ๋องหวยคงจะตายไปนานแล้ว
แม่นมอยู่ในกำมือของผู้ใดกันแน่?
แต่นั่นทำให้รู้ได้เลยว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังมีความหลักแหลมอย่างมาก ที่เลือกคนที่ทุกคนจะไม่สงสัย
ทังหยางกล่าวขึ้นอย่างหดหู่ : “แม่นมเสียแล้ว เบาะแสก็ขาดหาย จะสอบสวนเช่นไรก็คงจะตามตัวไม่ได้แล้ว”
หยวนชิงหลิงหันไปมองหยู่เหวินเห้า “ท่านคิดว่าจะเป็นฝีมืออ๋องจี้หรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองนางแล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ : “เรื่องเหล่านี้ เจ้าอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวและอย่าได้ถามถึงเลย พวกเขาสองสามีภรรยา ต่อจากไปจงอย่าได้ไปกระตุ้นพวกเขาก็พอแล้ว ข้ามีวิธีการของข้าในการต่อกรกับพวกเขา”
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ยินหยวนชิงหลิงพูดว่ามีความสงสัยในตัวอ๋องจี้
และรู้ว่านางเป็นคนที่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ทั้งยังฉลาดหลักแหลมรู้จักปรับตัว ซึ่งนั่นเป็นจุดที่เขารู้สึกชื่นชมนางเป็นอย่างมาก
แต่ว่าเมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันอีกแล้ว เขาไม่ต้องการให้นางได้เห็นเรื่องราวที่น่าขยะแขยงและโหดร้ายใดๆ ทั้งสิ้น
หยวนชิงหลิงราวกับอ่านความคิดของเขาได้ : “ได้ ข้ารู้แล้ว”
นางใช่ว่าจะขัดต่อความหวังดีของเขา แต่นางจะสืบหาเรื่องนี้ลับหลังเขาต่างหาก
ทังหยางก็ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที : “จริงด้วย พระชายาซุนแจ้งว่าพรุ่งนี้จะนำตัวอ๋องซุนกลับจวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านได้ไปเยี่ยมดูท่านพี่รองแล้วหรือยัง ?” หยวนชิงหลิงถาม
“ยัง!” หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างละอายใจ ตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาก็ไม่เคยห่างจากข้างกายนางแม้ครึ่งก้าวเลย มีเพียงแต่ให้ทังหยางคอยไปสอดส่องทางนั้นแทนตลอด
“ท่านรีบไปดูเถอะ อาการของท่านพี่รองสาหัสไม่น้อย” หยวนชิงหลิงพูดกระตุ้นเขา
หยู่เหวินเห้าจึงพยักหน้ารับ “อีกสักเดี๋ยวข้าจะไป รอให้เจ้าหลับก่อน พอเจ้าหลับพักผ่อนแล้วข้าจะไป”
“ไปตอนนี้!” หยวนชิงหลิงถลึงตาใส่เขา
หยู่เหวินเห้ายิ้มออกมา “ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะเรียกให้แม่นมสี่มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
“ข้าไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย ที่นอนหลับแล้วจะต้องมีคนมานั่งเฝ้า?”
“ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด!” หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยความเอาแต่ใจ
หยวนชิงหลิงจึงได้แต่ยอมแพ้ “ก็ได้!”
จากนั้นหยู่เหวินเห้าถึงค่อยวางใจแล้วเดินออกไป ไม่นานแม่นมสี่ก็เข้ามาดูแลอยู่ข้างกายนาง
แม่นมสี่ที่ยังคงตกใจไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้พอจะสงบจิตสงบใจได้แล้ว และไม่ได้พูดกล่าวถึงสิ่งใด
หยวนชิงหลิงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก อาการบาดเจ็บดูดเอาพละกำลังของนางไปจนหมด จนนางเองก็คร้านที่จะพูดแล้วจึงหลับตาลงพลางนอนหลับ
อ๋องซุนนอนอยู่บนเตียงโดยมีพระชายาซุนคอยดูแลเขาด้วยตัวนางเอง
ท่านั่งของพระชายาซุนในตอนนี้ช่างประหลาดยิ่งนัก นางนั่งหลังตรง เชิดคอสูง ใช้สายตาราวกับยีราฟมองไปยังอ๋องซุน แม้จะมีความกังวลใจ แต่ก็รู้สึกโกรธเคืองมากกว่า
ตอนนี้พระชายาซุนรู้สึกเคืองเป็นอย่างมาก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ถ้าหากเข้าใจวิชาการต่อสู้เสียหน่อยก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
หลายปีมานี้นางมักจะให้เขาร่ำเรียนฝึกฝนวิชาการต่อสู้อยู่ตลอด แต่เขาไม่เชื่อฟัง วันๆ รู้แต่จะกินจะดื่ม จนกลายยิ่งนานยิ่งอ้วน แถมยังเงอะงะซื่อบื้อมากขึ้นเรื่อยๆ อีก
เมื่อเห็นหยู่เหวินเห้าเดินเข้า พระชายาซุนก็ลุกขึ้นทันที : “เจ้ามาได้พอดีเลย พูดกับเขาหน่อย”
หยู่เหวินเห้าหันไปเห็นท่านพี่รองที่เอาหัวมุดเข้าไปในหมอน ราวกับว่าถูกดุด่าอย่างน่าอนาถ จึงอดไม่ได้ที่จะตักเตือน : “พี่สะใภ้รอง ตอนนี้ท่านพี่รองยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ ท่านอย่าเพิ่งได้ต่อว่าเขาเลย”
พระชายาซุนกล่าวอย่างไร้อารมณ์ : “เมื่อคืนนี้เขาทำให้ราชวงศ์เสียเกียรติเพียงใด เป็นถึงท่านอ๋องแต่กลับทำได้เพียงใช้ร่างกายอันอ้วนท้วนไปรับลูกธนู ท่านละอายใจบ้างหรือไม่ ?”
อ๋องซุนเอียงหัวมาแล้วตอกกลับอย่างพอใจ “ถึงยังไงข้าก็ช่วยชีวิตน้องสะใภ้ห้าเอาไว้ได้แล้วกัน”
“ทั้งที่ความจริงท่านสามารถทำให้นางไม่ต้องได้รับบาดเจ็บ!” พระชายาซุนที่ได้ยินเขากล่าวด้วยความภูมิใจก็อดไม่ได้ที่จะโมโห
“เหตุใดท่านถึงได้หน้าหนาถึงเพียงนี้?พี่น้องของท่านเยอะถึงเพียงนี้ นอกจากน้องแปดที่ป่วยตั้งแต่เล็ก มีผู้ใดที่ไม่มีวิชาการต่อสู้บ้าง ?แม้แต่น้องหกที่ตอนนี้แม้จะล้มป่วย แต่เมื่อก่อนเสด็จพ่อก็เคยชื่นชมในฝีมือที่รวดเร็วของเขา ข้าว่าแม้เด็กน้อยอย่างน้องเก้าท่านก็คงจะสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
อ๋องซุนได้แต่พึมพำออกมา: “เหตุใดข้าจะต้องไปชกต่อยกับน้องเก้าด้วย?นี่ข้าจะไม่ยิ่งโดนผู้หัวเราะเยาะหรือไรที่ไปรังแกผู้น้อย?เอาแต่พูดเรื่องที่ไม่เป็นจริง เอาแต่พร่ำบ่นไปอย่างนั้น”
พระชายาซุนโกรธเขาจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว “ข้าพร่ำบ่นงั้นหรือ?แล้วเพราะเหตุใดข้าถึงต้องพร่ำเช่นนี้ด้วย?ไม่ใช่เพราะท่านไม่มีความสามารถหรือไร?ข้าเองก็ไม่ได้ร้องขอให้ท่านต้องเด็ดเดี่ยวอย่างน้องห้า แต่อย่างน้อยท่านก็ต้องมองหาโอกาสเพื่อพิสูจน์ให้ผู้อื่นได้ประจักษ์ว่าข้าไม่ได้อภิเษกกับความไม่ได้ความ เข้าใจหรือไม่ ?”
หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ เขามาผิดเวลาจริงๆ
การที่สองสามีภรรยากำลังทะเลาะกันจะให้เขาเข้าไปแทรกก็ไม่ถูกต้อง ให้ยืนฟังเฉยๆ ก็ไม่ใช่ หรือจะให้เดินนอกไปก็ไม่ควร
ปกติอ๋องซุนเป็นคนไม่ชอบการโต้เถียง และคร้านที่จะต้องทะเลาะ แต่วันนี้มีน้องชายอยู่ด้วย เขาเองก็ยังเป็นคนมีหน้ามีตาที่ต้องรักษา ฉะนั้นเขาเลยใช้มือทุบลงไปที่เตียงแล้วกล่าวอย่างเดือดดาล
: “หากเจ้ารังเกียจข้าถึงเพียงนี้ก็จงรีบไปเสียสิ คิดว่าข้าไม่มีความสามารถอภิเษกพระชายาอื่นหรือไร ?”
พระชายาฉุนหนักยิ่งขึ้น : “ได้ เช่นนั้นพรุ่งนี้กลับไป ข้าจะไปเก็บสัมภาระเดินทางกลับบ้านเก่า ท่านใช้ชีวิตคนเดียวไปแล้วกัน”
อ๋องซุนโกรธจนรู้สึกเจ็บไปยังปอดทำให้ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ
พระชายาซุนที่เห็นเหตุการณ์ก็เห็นใจเขาไม่น้อยจนคลายความโกรธเคืองลงไป ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงแล้วค่อยๆ ลูบหลังเขาอย่างเบามือ
“เจ็บก็สมควรแล้ว”
หยู่เหวินเห้าค่อยๆ ก้าวเท้าออกไปพลางครุ่นคิดไปด้วย
สองสามีภรรยาคู่นี้ช่างมีความสัมพันธ์ที่น่าแปลกยิ่งนัก เดี๋ยวทะเลาะกันราวกับว่าต้องมีใครสักคนไปตายเสีย ผ่านไปครู่เดียวก็รักกันหวานปานน้ำผึ้ง
แต่จะว่าไปการทะเลาะช่างน่ารำคาญยิ่งนัก ต่อไปเขาสัญญาว่าจะไม่ทะเลาะกับหยวนชิงหลิงอีก
ทางที่ดียอมๆ นางหน่อยก็เพียงพอแล้ว
ในช่วงการรักษาแผลของหยวนชิงหลิงนั้นไม่ต่างกับหมีแพนด้าที่ใครก็ต่างดูแลเอ็นดู แม้แต่ตอเป่าก็ยังไม่ซุกซน เอาแต่คลานอยู่ข้างเตียง
สองวันมานี้หลังจากที่หยู่เหวินเห้าได้อยู่ร่วมกับตอเป่า ทำให้เขาเริ่มที่จะไม่ได้กลัวหรือเกลียดมันอีกแล้ว แม้ในตอนที่ทานข้าวยังโยนกระดูกให้มันกินด้วย ส่วนตอเป่าที่ดีใจก็วิ่งวนไปรอบขาของเขาทันที
หยวนชิงหลิงรู้สึกสงสัยจึงแอบถามกับแม่นมฉี “เหตุใดท่านอ๋องถึงได้กลัวสุนัขถึงเพียงนั้น?”
“ในตอนที่ท่านอ๋องยังเยาว์วัยเคยถูกสุนัขไล่กัดเจ้าค่ะ” แม่นมฉีตอบ
หยวนชิงหลิงส่งเสียงตกใจออกมา “จริงงั้นหรือ?กัดโดนไหน?”
บนร่างกายของเขาจะมีบาดแผลมากมาย แต่ไม่มีตรงไหนเลยที่จะมีสภาพเหมือนถูกสุนัขกัดมาก่อน
แม่นมฉีอมยิ้ม แอบเหลียวมองไปยังเขา เมื่อเห็นว่าหยู่เหวินเห้ายังไม่ได้เข้ามา จึงกดเสียงพูดอย่างเบาๆ
: “ยังกัดไม่โดนเจ้าค่ะ แต่เกือบจะกัดโดนเจ้านกน้อยของเขาแล้ว โชคดีที่ฉางกงกงเข้าไปช่วยได้ทันเวลาเจ้าค่ะ”
หยวนชิงหลิงตะลึงงัน “งั้นหรือ?” ไม่แปลกเลยที่จะมีภาพจำอันหนักใจเช่นนี้ ที่แท้เจ้านกน้อยก็เกือบจะถูกกัดนี่เอง
แม่นมฉีหัวเราะออกมา
หยู่เหวินเห้าผลักประตูเข้ามา “พูดอะไรกัน?กระซิบกระซาบแล้วยังจะหัวเราะเสียงดังเช่นนี้