หยวนชิงหลิงคิ้วยกขึ้นหพลางอมยิ้ม ดูสดใสดุจน้ำใส ใบหน้าที่ซีดเผือดเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา
“พูดถึงเรื่องที่ท่านถูกสุนัขไล่กัดในตอนที่ยังเยาว์วัย”
หยู่เหวินเห้าเองก็ถึงกับกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ แต่จะว่าไปมีผู้ใดบ้างที่ไม่มีเรื่องน่าอับอายในตอนเด็กบ้างเล่า ?
เขานั่งลงแล้วสั่งให้แม่นมออกไป ก่อนจะพูดกับหยวนชิงหลิง: “นอน!”
นอนอีกแล้ว
หยวนชิงหลิงนอนจนกระดูกสันหลังจะหักจนหมดแล้ว
นางเอนตัวลงแล้วพูดอย่างออดอ้อน : “นอนมาสองวันแล้ว ข้าไม่อยากนอนแล้ว ข้าอยากออกไปเดินเล่น”
“ไม่ได้ บาดแผลยังไม่หายสนิท วันนี้ห้ามไปที่ไหนเด็ดขาด จงอยู่รักษาตัวในจวนนี้แหละ” สองวันมานี้นางยังต้องไปจวนอ๋องหวย กระทั่งวันนี้ที่ไม่จำเป็นต้องฉีดยาแล้ว พร้อมกับสั่งยาเอาไว้ที่นั่นสำหรับทานสามวัน ดังนั้นนอกจากวันนี้ที่นางไม่ได้ออกไปไหน เวลาปกติก็มักจะออกไปท่องโลกข้างนอกอยู่ตลอด
“เช่นนั้นข้าจะเชื่อฟังท่าน ส่วนท่านก็รีบกลับไปจัดการงานที่ที่ทำการปกครองเมืองหลวง” หยวนชิงหลิงเร่งเร้าเขา
“ที่จริงวันนี้ข้าจำเป็นต้องไปที่ที่ทำการปกครองเมืองหลวงแล้ว ฉะนั้นเจ้าจะต้องเชื่อฟัง อย่าได้ออกไปเพ่นพ่านข้างนอกเด็ดขาด” หยู่เหวินเห้าดึงผ้าห่มให้นาง เหตุใดเขาถึงไม่อยากไปทำงานเช่นนี้กันนะ?
เขาคอยอยู่ข้างนางตั้งแต่เช้าจนมืดค่ำก็เพียงพออย่างมากแล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ออกไปไหนทั้งนั้น” หยวนชิงหลิงตอบกลับอย่างเชื่อฟัง เพราะไม่อยากที่จะถ่วงให้การงานของเขานั้นล่าช้า ทั้งยังเพื่อหลีกเลี่ยงที่คนอื่นจะใช้สิ่งนี้มาเป็นจุดอ่อนของเขาในการต่อสู้
หยู่เหวินเห้าจูบลงบนใบหน้าของนางอย่างอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไป และใบหน้าของนางนั้นสะอาดเนียนแน่นจนสัมผัสลงไปแล้วทำให้รู้สึกสบายใจ
“หรือว่าข้ารอให้เจ้านอนหลับแล้วค่อยไปดีกว่า”
หยวนชิงหลิงยิ้มออกมาทันที “รีบไปเถอะ หากมัวแต่ชักช้า ก็ไม่รู้ว่าจะชักช้าไปถึงเมื่อไหร่ ท่านอยู่ที่นี่ข้าก็ไม่อาจพักผ่อนได้อย่างเต็มที่อยู่ดี เพราะข้าเอาแต่อยากจะพูดคุยกับท่าน”
“เช่นนั้นพวกเรามาพูดคุยกันดีกว่า!” หยู่เหวินโน้มลงพลางพูดออดอ้อน
หยวนชิงหลิงผลักเขาออก “รีบไปเร็วเข้า รีบไปจัดการงานให้เรียบร้อยแล้วรีบกลับมาก็ไม่ต่างกันหรือไร ?”
หยู่เหวินเห้าจูบริมฝีปากของนางอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มหยาดเยิ้ม : “ก็ได้ เช่นนั้นข้าไปแล้ว วันนี้ข้าจะกลับมาให้เร็ว อย่าลืมดื่มยา และอย่าลืมนอนพักผ่อนด้วย”
หยวนชิงหลิงหลับตาลงแล้วพูดอย่างให้ความร่วมมือ: “รู้แล้ว ข้าจะหลับแล้ว”
ถึงอย่างนั้นหยู่เหวินเห้าก็ออกไปด้วยใจที่อาวรณ์
เป็นความจริงที่ตอนนี้มีคดีฆาตกรรมสองคดีเกิดขึ้น ซึ่งสองวันมานี้เขาใช้โอกาสหลังจากที่หยวนชิงหลิงนอนหลับไปเรียกตัวเหล่าผู้ช่วยเจ้ากรมมายังจวนอ๋องเพื่อปรึกษาหารือเรื่องคดี คดีนี้นั้นมีความคืบหน้าที่ช้ามาก และนั่นก็ทำให้เขาลำบากใจเป็นอย่างมาก
ฆาตกรเหมือนจะไม่ทิ้งเบาะแสใดๆ ไว้ทั้งสิ้น และทั้งสองคดีนี้ล้วนมีพยาน แต่ทว่าพยานกลับเป็นเพียงเด็กทารกที่ยังพูดไม่ได้เท่านั้น
ในเวลานี้คดีนี้กลายเป็นจุดสนใจของเหล่าราษฎรเป็นอย่างมาก เสด็จพ่อเองก็เคยกล่าวถึงเรื่องคดีนี้เช่นกัน แต่ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีคำสั่งกำหนดวันไขคดี แต่เขาเข้าใจดีว่าเสด็จพ่อกำลังได้รับแรงกดดันจากทุกฝ่าย ฉะนั้นจึงต้องเร่งรีบคลี่คลายคดีนี้เสีย
ทันทีที่กลับมายังที่ทำการกรมปกครองเมืองหลวง แล้วได้ทราบว่าฝ่ายสืบสวนยังไม่ได้เบาะแสเพิ่มเติม เขาก็อดไม่ได้ที่จะอารมณ์เสีย
“ได้สอบถามราษฎรทุกคนที่อยู่บริเวณโดยรอบที่เกิดเหตุแล้วงั้นหรือ?ในตอนที่เกิดเรื่องไม่ใช่ช่วงมืดค่ำมาก จะต้องมีใครเดินผ่านบ้างเป็นแน่ แล้วไม่มีผู้ใดพบเห็นผู้ต้องสงสัยเข้าออกเลยหรือ ?”
หัวหน้าพลตระเวนที่ถูกต่อว่าได้เพียงก้มหน้าลง นิ่งไปชั่วขณะถึงจะพูดออกมา : “มีชายบ้าคนหนึ่งอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน บอกว่าเห็นชายสวมชุดดำพร้อมมือถือดาบเข้าออกที่นั่น แต่ว่าเขาคนนี้เป็นบ้า คำพูดไม่น่าเชื่อถือ”
หยู่เหวินเห้าตวาดสายตาไปดั่งสายฟ้าพร้อมกับพูดด้วยความฉุนเฉียว : “คนบ้านั้นมีเพียงสมองที่ไม่รู้ความ ดวงตาไม่ได้บอดด้วย เขาบอกว่ามีคนบางคนไปที่นั่น เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ไถ่ถามต่อไปเล่า ?บางทีอาจสามารถถามจนทราบเบาะแสเพิ่มเติมก็เป็นได้?”
หัวหน้าพลตระเวนจึงรีบแจ้งทันที : “กระหม่อมจะกลับไปถามทันที”
หยู่เหวินเห้าอารมณ์เสียเป็นอย่างมากจนต้องขมวดคิ้วแน่น นานแค่ไหนแล้วที่เมืองหลวงไม่ได้มีคดีใหญ่เช่นนี้? แล้วเหตุใดถึงมีสองคดีติดต่อกันในตอนที่เขาเป็นผู้ดูแลคดีด้วย? เขารู้สึกตงิดใจจริงๆ ว่าฆาตกรกำลังหมายหัวเขาอยู่
อย่างน้อยหากเขาไม่สามารถไขคดีนี้ได้ เขาจะต้องเป็นคนแรกที่ถูกสอบสวนเป็นแน่
หัวหน้าพลตระเวนยังคงไม่สามารถได้ความสิ่งใดจากการถาม จึงได้นำตัวคนบ้ากลับมาด้วย
คนบ้าเป็นชายอายุราวสามสิบกว่า สวมเสื้อผ้าฉีกขาดพร้อมรองเท้าขาดๆ ที่สานจากหญ้า ผมยุ่งเหยิงพันกันไปหมดทั้งยังมีเหาคลานยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
รองผู้ช่วยกรมที่เห็นเหตุการณ์ก็รีบถามหัวหน้าพลตระเวนทันที : “เหตุใดเจ้าถึงพาเขามาที่นี่?ประเดี๋ยวก็ทำให้ท่านอ๋องตกใจหรอก”
หยู่เหวินเห้ามองไปยังคนบ้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ความบ้าของเขานั้นไม่นับว่าร้ายแรงนัก เพราะอย่างน้อยเขายังรู้ที่จะคุกเข่าลง
ขาทั้งสองข้างของเขากระแทกลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง หยู่เหวินเห้าเกือบคิดว่ากระดูกเข่าของเขาคงแตกหมดแล้ว
เขาหมอบลงไปกับพื้นพร้อมกล่าวคำนับ “กระหม่อมขอถวายบังคมท่านอ๋อง!”
หยู่เหวินเห้าที่ได้ยินก็รู้ได้ทันทีเลยว่าหัวหน้าพลตระเวนได้ทำการสอนให้เขาคำนับมาก่อน จึงตวาดสายตาไปยังหัวหน้าพลตระเวนด้วยตาถลึงกว้าง หัวหน้าพลตระเวนก็ได้แต่ก้มหน้าลงไม่พูดกล่าวสิ่งใด
หยู่เหวินเห้ามองไปยังคนบ้าแล้วพยายามกล่าวด้วยความอ่อนโยนและเป็นมิตร “เจ้ามีนามว่าอะไร?”
“ส่าเอ๋อ!” คนบ้ายิ้มกว้าง มองตรงยังหยู่เหวินเห้า
หยู่เหวินเห้าพยักหน้าก่อนจะเปิดบันทึกเอกสารออกมา : “เจ้ารู้จักบ้านหนิวจื่อหยางหรือไม่?”
ส่าเอ๋อพยักหนาพลางใช้มือวาดวงกลมอันใหญ่ แล้วกัดปากแน่นด้วยความหวาดกลัว: “รู้จัก ตายกันหมดแล้ว เลือดเยอะมาก”
“แล้วในวันที่พวกเขาตาย เจ้าได้เห็นสิ่งใดบ้าง?” หยู่เหวินเห้าถามอีกครั้ง
ส่าเอ๋อเอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าเห็น ข้าเห็นว่ามีคนๆ หนึ่งถือดาบที่ยาว ยาวมากๆ เดินไปยังบ้านของพวกเขา คนนั้นเขาดุมากเลย ข้าแค่มองเขา เขาก็ถลึงตาใส่ข้า”
“แล้วเจ้าได้ตามไปหรือไม่?” หยู่เหวินเห้า
ส่าเอ๋อส่ายหน้า “ข้าไม่กล้าตามไป ดาบของเขาคนนั้นยาวมากๆ เลย”
“ยาวขนาดไหนกัน?”
ส่าเอ๋อทำท่ากางแขนทั้งสองออก แสดงขนาดความยาวหนึ่งเมตรกว่าออกมา “ยาวขนาดนี้”
หัวหน้าพลตระเวนตะคอกด้วยความหงุดหงิด “อย่ามาพูดจาเหลวไหล จะมีดาบที่ไหนยาวเช่นนั้นได้?”
“จริงๆ !” ส่าเอ๋อตื่นตระหนก จึงพุ่งตรงไปยังหัวหน้าพลตระเวนเพื่ออธิบาย จนน้ำลายพุ่งกระเด็นออกมาด้วยความตื่นเต้น “มันยาวขนาดนี้จริงๆ อีกทั้งไม่ใช่แค่คนเดียวที่เห็น เจ้าหมาก็เห็นด้วยเหมือนกัน”
ดวงตาของหยู่เหวินเห้าเปล่งประกายทันที “เจ้าหมาคือใครกัน?เขาอยู่ที่ไหน?”
“เจ้าหมาก็คือหมาที่อยู่ในบ้านหลี่ฝูกุ้ยยังไงเล่า” ส่าเอ๋อตอบกลับ
หยู่เหวินเหาถึงกับกระตุกริมฝีปาก “เป็นสุนัขงั้นสิ……”
“แต่ว่าเจ้าหมาเห็นจริงๆ ที่มีดาบยาวๆ ยาวมากๆ แถมเจ้าหมายังตามมันไปด้วย” ส่าเอ๋อทำท่าอีกครั้ง
“แล้วเจ้ายังเห็นสิ่งใดอีก?ได้เห็นตอนที่เขาจากไปหรือไม่?” ผู้ช่วยกรมถามขึ้น
ส่าเอ๋อส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่เห็น ข้าเห็นเพียงเงาหายแวบไปเท่านั้น”
ผู้ช่วยกรมถึงกับแทบทรุดลงไปพลางหันไปพูดกับหยู่เหวินเห้า : “ท่านอ๋อง ดูแล้วคงจะถามไม่ได้ความ ในตอนที่เกิดเหตุเป็นช่วงที่อาทิตย์ตกดิน ผู้คนต่างพากันกลับบ้านทำอาหาร ถนนในหมู่บ้านก็ไร้ผู้คนสัญจร เจ้าฆาตกรคนนี้ต่อให้จะเป็นคนจากภายนอก ก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากการถูกพบเห็นได้”
หยู่เหวินเห้าผายมือขึ้น : “เจ้าให้เขาพักอยู่ที่ที่ทำการกรมปกครองเมืองหลวงก่อนสักสองวัน พาเขาไปอาบน้ำขัดตัว แล้วมอบเสื้อผ้าให้เขาเสีย”
ตอนนี้ ส่าเอ๋อนับว่าเป็นพยานปากสำคัญเพียงคนเดียว ถึงจะยังไม่ได้อะไรจากคำตอบของเขาในตอนนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเพิ่มแนวทางให้พวกเขาเลย บางทีไม่แน่เขาอาจจะนึกอะไรขึ้นมาได้
เขาบอกว่าเจ้าหมาตามเข้าไป ถ้าเจ้าหมาเป็นคน จะดีเป็นอย่างมาก
ในตอนที่หยู่เหวินเห้ากลับถึงจวนดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง พร้อมกับลมพัดพลิ้ว
อากาศในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง จะมีอากาศร้อนในช่วงกลางวัน แต่พอตกเย็นอากาศก็ให้ความรู้สึกหนาวขึ้นมาแทน
เรื่องราวในที่ทำการกรมปกครองเมืองหลวง เขาไม่อยากจะให้ไปรบกวนหยวนชิงหลิงมากนัก ดังนั้นในตอนที่หยวนชิงหลิงถามถึงเรื่องคดี เขาก็มักจะตอบนางไปว่าตอนนี้พอมีวี่แววบ้างแล้ว
มีหรือที่หยวนชิงหลิงจะมองไม่เห็นคิ้วของเขาที่ขมวดเบาๆ และท่าทางที่แสร้งทำเป็นผ่อนคลายนั่น ?คดีสังหารหมู่อย่างน่าอนาถ ทั้งยังติดต่อกันถึงสองคดี ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ
เป็นเพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันพิธีเข้าเฝ้าถวายงานต่อฝ่าบาท ดังนั้นหยู่เหวินเห้าจึงพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำ
เขาค่อยๆ โอบหยวนชิงหลิงจากด้านข้าง ในขณะที่สมองเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องการหาเบาะแสคดี
เขารู้สึกมั่นใจเป็นอย่างมากเลยว่าการถวายงานในวันพรุ่งนี้ คดีนี้จะต้องถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอย่างแน่นอน