ตอนที่ 28 การล่ามนุษย์(9)

Dungeon Defense

ความชุ่มฉ่ำยังคงเติมเต็มดวงตาของเขา แม้ว่าผมจะเช็ดน้ำตาให้แล้ว ผมไม่ได้ใส่ใจกับการเช็ดตาของเขา บทสนทนาต่อหน้าก็ยังคงดำเนินต่อไป

“อั่กกก……นี่มันเรื่องโกหก……ฟู่วว……!”

“ข้าอยากเอาตัว ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่มาตั้งแต่แรก นี่จึงไม่ใช่การเจรจา ยิ่งไปกว่านั้น ข้าพร้อมจะจ่ายให้เจ้า 3,000 โกลด์

ในความคิดข้า ข้าเชื่อว่า มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล ราคาของลอร่า เดอะ ฟาร์เนเซ่ประมาณ 2,000 โกลด์ ทั้งยังเพิ่มอีก 1,000 โกลด์เพื่อชดเชยต่อแขนขวาของเจ้า ลองคิดดูให้ดีสิ ถ้าหากเจ้ายังจะทำตัวเหมือนขอทานแล้วบอกพวกเขาไปว่า เจ้าได้จ่ายเงินพันโกลด์เพื่อแขนข้างนี้ พวกเขาก็คงจะ…….”

“โกหกว้อย……อึก ไอ้คนโกหก!”

ชิ

ผมเดาะลิ้น นี่ไม่ดีเลย ดูเหมือนความเจ็บปวดจะทำให้เขาคลุ้มคลั่ง ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจ มันเจ็บมากอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่ผมจัดการกับปาร์ตี้นักผจญภัยของหมู่บ้านเจลเซ่น เท้าขวาผมแทบจะเละด้วยซ้ำไป

มันอาจเป็นเพราะอาการเสียเลือดมากและทำให้สมองเขาทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร ผมจึงขอให้ลาพิสนั้นร่ายเวทย์รักษาอย่างง่ายให้ ลาพิสผงกหัวรับคำสั่ง

แต่ถึงอย่างนั้น วิธีการใช้เวทย์มนตร์รักษาของเธอนั้นช่างหาดูได้ยาก ลาพิสสร้างลูกไฟเล็กๆขึ้นเหนือฝ่ามือก่อนจะใช้มันเผาปากแผลเพื่อหยุดเลือดของเขา

“อุว๊ากกกกกกกอ๊ากกกกกก!!”

ผมช่วยอะไรไม่ได้นอกจากนำหน้าบิดเบี้ยวแม้จะเกินจริงไปหน่อย แต่แจ็คก็กรีดร้องดังเสียจนจะทำให้แก้วหูแตก มันยากที่จะจินตนาการจริงๆว่ามันเจ็บแค่ไหนกับการที่เนื้อตัวเองต้องถูกเผา ผมไม่เคยโดนเผามาก่อนเหมือนกัน

“ลาพิส……ข้าบอกให้เธอรักษาเขา ไม่ใช่ให้เผาเขา”

“ขออภัยค่ะ ดิฉันนั้นไม่สู้ชำนาญการใช้เวทย์มนตร์รักษา ดิฉันยังไม่ถนัดการรักษามนุษย์ด้วย ดังนั้นนี่จึงเป็นขั้นตอนการรักษาที่ดิฉันเชื่อว่า เหมาะสมที่สุดแล้วในขณะนี้”

ลาพิส ภายนอกที่ดูเหมือนเด็กสาวตอบกลับมาอย่างเมินเฉย ผมไม่เคยเห็นเด็กสาวคนไหนโหดเถื่อนขนาดนี้มาก่อน

“เป็นอะไรไหม? โทษที เธอค่อนข้างฉลาดแต่บางทีก็ทำอะไรแปลกๆ”

“กรรร……คุคุ่ก…….”

แจ็คมีอาการน้ำลายฟูมปาก ดวงตาของเขาแทบถลนออกจากเบ้า ผมเป็นห่วงอย่างมาก ถ้าหากแจ็คตายไปทั้งที่แบบนี้ มันจะทำให้อะไรๆเป็นปัญหา ผมถามลาพิสถึงการใช้เวทย์รักษาให้แจ็คแม้เธอจะไม่ถนัดก็ตาม ผมหวังว่า อย่างน้อยมันจะลดความเจ็บปวดลงได้

“…….”

พอลาพิสร่ายเวทย์รักษา ผิวของแจ็คก็กลับมาดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พูดง่ายๆคือ ดวงตาเขากลับมาอยู่ที่เดิม แม้บางครั้งแจ็คอาจจะครางเหมือนคนมีฝีในท้องไอบ้าง แต่สักพักหนึ่งที่เขาเป็นอย่างนั้น ผมก็ได้ยินเสียง ‘ติ้ง!’ เป็นซาวน์เอฟเฟ็ค

「ค่าความชอบของพ่อค้าระดับต่ำ แจ็ค อแลนด์ ลดลง 50 หน่วย!」

「พ่อค้าระดับต่ำ แจ็ค อแลนด์ตอนนี้เป็นศัตรูกับคุณ!」

ผมเห็นมันเป็นเหมือนไฟสัญญาณเตือน นี่คงหมายความว่า เขาได้สติคืนมามากพอที่จะเกลียดใครสักคนแล้วสินะ?

แจ็คมองไปบนฟ้าด้วยตาที่ว่างเปล่า เขายังคงแตะสัมผัสไหล่ขวาด้วยแขนซ้าย แจ็คบ่นพึมพัมด้วยเสียงสั่นเครือ

“ไอ้คนโกหก ……ทำไมแกถึง……?”

ดูเหมือนเขายังไม่เชื่อในสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นอีกครั้งที่ผมตระหนักได้ว่า แจ็คกับผมนั้นเป็นนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง แจ็คเป็นคนที่อยากรู้มากว่า ทำไมผมจึงทำแบบนั้นลงไป

พูดอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อชีวิตผมถูกพวกนักผจญภัยคุกคามตอนที่ผมมาถึงโลกนี้ครั้งแรก อะไรคือสิ่งที่ผมพูดเป็นอย่างแรก?

อย่ายิง

เข้าใจผิดคนแล้ว

ไว้ชีวิตผมเถอะ⎯⎯⎯.

ผมต้องพูดคำพูดพวกนั้นออกไปก่อ แล้วจึงค่อยหาสาเหตุทีหลังว่า ผมมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร

การวิงวอนร้องขอชีวิตและพยายามทำให้อีกฝ่ายพอใจต่างหากที่จำเป็นเร่งด่วน

นั่นต่างหากถึงเป็นตรรกะ ปกติมิใช่หรือ?

ไม่ล่ะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหมิ่นประมาทแจ็ค วิธีคิดของเรานั้นแตกต่างกันลงไปถึงในรายละเอียด ถ้าให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนเราสองคนนั้นคุยกันคนละภาษา

แต่มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำคัญกว่าในสถานการณ์ระหว่างผมกับแจ็ค ผมรู้สึกว่าต้องจัดเตรียมให้เขาอยู่ในสภาวะที่สามารถพูดคุยเจรจาได้ฃ

ผมนั่งลงบนผืนหญ้า พูดกับแจ็คที่นอนอยู่บนพื้น

“นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก แขนเธอเจ้าถูกตัดไป ข้าเป็นผู้ตัดมันเป็น หากจะมีอะไรที่พูดโกหกคงเป็นทุกๆอย่างตั้งแต่เริ่มจนถึงจุดนี้”

“……ทำไม? เหตุผลล่ะ ทำไปเพื่ออะไร?”

แจ็คพูดโดยไม่มองผมคล้ายกับพูดกับตัวเอง

“เพราะข้าต้องการลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่”

“ไม่……ผมไม่เข้าใจ ……ผมไม่เข้าใจ!”

“ลองคิดดูให้ดีๆสิ แจ็ค มันเรียบง่ายมากเลยนะ ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ปฏิเสธการค้าขายปกติที่ทำในสมาคมพ่อค้าล่ะ? ทำไมพวกเขาถึงเลือกทำอะไรที่สุดโต่งขนาดนั้น? ลองถามคำถามนี้กับตัวเองดู แล้วจะได้คำตอบที่เป็นธรรมชาติที่สุด”

“ตำแหน่ง……นายอยู่ตำแหน่งที่ไม่สามารถซื้อขายถูกกฏหมายได้……?”

ผมปรบมือน้อยๆให้เขา มันให้ความรู้สึกเหมือนคุยกับคนพื้นเมืองที่ในที่สุดก็เข้าใจภาษากายของผมแล้ว

“นายเข้าใจดีแล้ว ความจริงแล้ว มันยากมากเลยนะ สำหรับข้าที่จะเข้าเมืองอย่างถูกกฏหมาย”

“แกไม่ใช่พ่อค้า……โลลิต้า!”

แจ็คยืนขึ้นในทันที ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังนั้นมุ่งตรงมาหาผม เขาตะโกนใส่ราวกับอยากจะซัดผม

ลาพิสที่ยืนอยู่ข้างผม ก็แทงกลางอกเขาด้วยปลอกดาบ หลังจากถูกกระแทกด้วยด้านที่ปลายปลอกดาบ แจ็คก็ล้มลงอย่างไร้กำลัง ผมส่ายหัวให้กับแจ็คที่ถูกลาพิสทำให้สงบลง

“ฟันนิ้วก้อยซ้ายของเขา”

“รับทราบค่ะ”

เป็นอีกเสียงกรีดร้อง สิ่งที่ตามมาก็เหมือนเดิม ครวญครางและตามด้วยการเผาที่อ้างว่าเป็นการรักษา เสียงกรีดร้องอีกครั้ง แล้วค่อยเงียบลง

ถึงอย่างนั้นอาการเจ็บจากการเสียนิ้วก้อยซ้ายก็ยังน้อยกว่าการเสียทั้งแขนหรือเขาอาจจะชินกับความเจ็บปวดแล้ว แจ็คจึงฟื้นสติได้เร็วกว่าที่ผมคาดไว้

ผมเดาว่า เราคงใช้วิธีนี้ต่อไปได้อีกไม่นาน

ผมยังคงต่อบทสนทนาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ใช่แล้วล่ะ ข้าไม่ใช่พ่อค้า”

“ความจริงที่ว่าแกขายสมุนไพรที่รักษาโรคระบาดได้ คึกกก ! นั่นก็โกหกด้วย!”

ความเกลียดชังของแจ็คนั้นยังคงมีอยู่เต็มที่ มันแสดงออกมาว่าเขายังเจ็บปวดด้วยการขบฟัง มันทำให้การออกเสียงของเขานั้นแปลกไป แต่ไม่เป็นไร ผมยังเข้าใจเขาได้อยู่

“ไม่ล่ะ นั่นเป็นเรื่องจริง”

“อย่ามาล้อกูเล่นนะโว้ย! ไอ้ปีศาจระยำ!ไปตายซะไป,ไอ้ชั่ว!”

“แจ็ค เพื่อนผู้โง่เขลาของข้า ถ้าเจ้าอยากที่จะโกหก เจ้าก็ควรที่จะผสานเรื่องจริงบางส่วนเข้ากับเรื่องโกหก”

“ใช่ดิ! ถูกแล้วนี่! แกมันไอ้ระยำที่อัญเชิญมอนสเตอร์นั่นออกมาในโรงประมูล!”

แจ็คร้องเสียงหลงพลางระเบิดอารมณ์

ผมยักไหล่

“เรื่องนั้นเจ้าพูดถูก ข้ายอมรับ”

“เพลิงไหม้นั่นก็ด้วย!!”

“ตอนนี้สมองนายทำงานได้ตามปรกติแล้ว”

เขานั้นได้พ่นถ้อยคำสาปแช่งต่อไปไม่หยุดหย่อน จนดูเหมือนทุกคำในโลกที่แสดงการด่าทอต่อผู้ไม่นับถือพระเจ้าจะออกมาจนครบหมด ผมยังคงเงียบอยู่สักพัก ผมไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด

หากจะมีอะไรที่เกิดขึ้น ผมยังคงเฝ้าดูแจ็คด้วยความสนใจมากกว่า ว่าเขาตั้งใจทำให้ชีวิตตัวเองลดสั้นลงไปอีกทำไมกัน

“เอาล่ะ”

ผมพูดขึ้นมา

“เราได้ข้อสรุปเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เจ้าได้พูดมาเมื่อนาทีที่ผ่าน ข้าคือ ปีศาจ,จอมหลอกลวง,ไอ้ระยำที่สุดในโลก,คนคลั่งและไอ้เย็oแม่ที่สมควรไปลงนรกเสีย ข้าขอน้อมรับทั้งหมดนั่น ข้าเชื่อว่า มันจะดีกว่าหากเราจะมาคุยกันอย่างมีประสิทธิภาพ”

“…….”

“ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงที่ว่า ข้าต้องการเอาตัว เดอ ฟาร์เนเซ่นั้น ขอให้เจ้าจงทดมันไว้ในหัว

มันยังมีสิ่งอื่นที่เราจะต้องเจรจากัน แจ็ค ข้ากำลังไตร่ตรองให้รอบคอบว่าจะจัดการอย่างไรกับเจ้าดี ไม่เพียงแต่เจ้าที่รู้ว่า หน้าตาเป็นอย่างไร แต่เจ้ายังรู้ด้วยว่า ข้าก่อเหตุอะไร

ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นเรื่องเสี่ยงเหลือเกินที่จะให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป ปัญหาก็คือ ข้าอยากให้เจ้ามีชีวิตรอด สรุปสั้นๆ ข้ากำลังพูดว่า เรากำลังเจรจาเพื่อชีวิตของเจ้า”

“ไอ้ปีศาจระยำ……!”

ผมยิ้มออกมาอย่างบิดเบี้ยว

“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้ฟังข้าเลย เจ้าต้องการอะไรกันแน่? เจ้าต้องการความเห็นอกเห็นใจอย่างนั้นหรือ? เจ้าอยากให้ข้าสำนึกเสียใจในการกระทำอันโหดร้ายอย่างนั้นหรือ? เจ้าต้องการให้ข้าขอโทษเจ้าจากใจจริงอย่างนั้นหรือ?”

อย่างที่คิดไว้ ผมรู้สึกขมขื่น นี่เป็นครั้งแรกที่ผมคุกคามชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ ที่ไม่ใช่นักผจญภัย แม้ทุกคนในโลกมนุษย์นั้นดูหมิ่้นเหยียดหยามจอมมารมาหลายต่อหลายปี ยามเมื่อเมื่ออยู่ต่อหน้าจอมมาร ก็จะกลายเป็นระแวงและแค้นเคืองไปแทน ความโกรธแค้นพวกนั้นเป็นไปได้ว่าอาจจะส่งต่อจนถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน

“ข้าเสียใจด้วย แต่อย่าคาดหวังสิ่งเหล่นั้นจากตัวข้า”

หากแขนของผมเป็นสิ่งล้ำค่า แขนของคนอื่นก็ล้ำค่าสำหรับพวกเขาด้วยเช่นกัน นี่คือ หลักการพื้นฐานของศีลธรรมจริยธรรม ความรู้สึกผิดคือ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณยังรักษาศีลธรรมจรรยาพวกนั้นไว้

แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ได้ละเมิดศีลธรรมพวกนั้นไปแล้ว และผมยังคงทำต่อไปอย่างไม่ลังเล จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากผมยังคงพูดต่อไปโดยแสดงความสำนึกผิด?

หากเป็นเช่นนั้น มันก็คงจะเป็นแต่เพียงคนกลับกลอก เท่านั้น

ความรู้สึกผิดของผมนั้นมิได้เป็นอะไรมากไปกว่าไขมันส่วนเกินของความคิด

“แจ็ค, ข้าไม่เสียใจกับทุกการกระทำของข้าแม้แต่น้อย.”

“……”

“หากเป็นไปได้ ข้าไม่ต้องการจะเสียดายอะไรในอนาคตด้วยเช่นกัน ถ้าหากข้าปล่อยเจ้าไปที่นี่แล้วต่อไปเจ้ากลับมาเป็นภัยคุกคามชีวิตข้า ถึงตอนนั้นข้าก็ย่อมต้องเสียดายที่ตัดสินใจเช่นนั้นอย่างมาก

อื้มม ดังนั้นโน้มน้าวข้าสิ แม้จะทำให้ข้าต้องเสียใจในอนาคต ให้เหตุผลข้าสิว่า ทำไมข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะปล่อยตัวเจ้าไปตอนนี้”

แจ็คไม่ได้ตอบ เขานั้นเพียงแต่ไม่อาจคิดถึงเหตุผลได้ ณ จุดๆนี้

มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายกับเขาในวันนี้

เขาเกือบที่จะทำการค้าขายสำเร็จครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต โรงประมูลที่เขาอยู่ถูกมอนสเตอร์บุก เขามุดทางแคบหนีตายไปกับเพื่อนของเขา แล้วเขาก็ถูกเพื่อนของเขาที่นับถือมาตลอดนั้นฟันแขนขาด

มันเป็นหนึ่งวันที่หนักหนามากสำหรับคนๆหนึ่งที่จะรับมือกับมัน

ผมเข้าใจถึงสถานการณ์อันยากลำบากของเขาดี

เรากลับมาที่รถม้าอีกครั้ง มือและเท้าของแจ็คนั้นถูกล่ามด้วยโซ่ พวกเรายังคงมุ่งตรงต่อไปข้างหน้าจนกระทั่งพ้นเขตเมืองที่รู้ข่าว

พวกเราตัดสินใจพักแค้มป์ในช่วงเย็นที่มาถึง ลาพิสเตรียมซุปแสนอร่อยไว้ ผมมีความสุขกับมื้ออาหารที่ได้รับและรู้สึกเหมือนตัวเองได้ค้นพบอีกพรสวรรค์หนึ่งของเธอ

ส่วนแจ็คดูไม่สนใจในอาหารการกิน เขาไม่ออกจากรถม้า เขายังคงอยู่ในรถม้าจนกระทั่งตกดึก

ลาพิส ลอร่าและผมนอนรอบกองไฟ ผมพักหัวที่แขนและมองขึ้นไปบนฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวนั้นระยิบระยับ แสงที่อยู่บนฟากฟ้านั้นหลากหลายเสียจนไม่อาจเทียบได้กับค่ำคืนมืดๆบนโลกก่อน

ผมไม่ค่อยได้สนใจท้องฟ้ายามค่ำคืนนักจนกระทั่งมาถึงโลกใบนี้แล้วพบว่า ท้องฟ้าเวลากลางคืนของที่นี่นั้น มีทั้งสีเขียว,แดงสการ์เลท,ชมพู,ฟ้าและม่วง ในเวลาเดียวกัน ผมเคยอยู่ชมรมดาราศาสตร์ตอนมัธยม ดังนั้นผมจึงแต่งบทกวีเกี่ยวกับดวงดาวเก่ง

แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับไม่สามารถหาดวงดาวที่ผมรู้จักเจอเลย

ผมนอนไม่หลับ เสียงแผ่วเบาของลาพิสที่หลับอยู่ก็ดังเข้ามาในหูตอนนั้นเอง ลอร่าที่เงียบมาตลอดทั้งวันก็เปิดปากขึ้นมาราวกับพูดกับตัวเอง

“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมคุณไม่ฆ่าเขาไปเลย?”

“หืมม”

มันคำสิ่งที่ยากจะตอบ ผมกลับพูดสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวทันที

“เพราะข้าไม่ปรารถนาจะฆ่าเขา ข้าเดาว่านี่อาจเป็นความต้องการที่ประหลาด”

“……ในเชิงกลยุทธ การสร้างศัตรูที่ไม่จำเป็น เป็นแผนการที่เลวร้ายที่สุด

หากพ่อค้าทาสคนนั้นมีชีวิต แล้วเขาไปเผยความจริงที่เกิดขึ้นต่อสาธารณะ ไม่ใช่แค่ทุกคนจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของท่าน แต่ท่านจะไม่สารถเดินทางไปไหนมาไหนในบริเวณใกล้เคียงของเมืองโดยไม่มีการปลอมตัวได้อีก”

“ฮ่าฮ่า ไม่มีทางที่ข้าจะไม่รู้เรื่องนั้น”

ผมสำรวจท้องฟ้าในยามค่ำคืนพลางคิดว่า ผมจะพยายามเรียกชื่อดวงดาวขึ้นมาใหม่ดีไหม

“ข้าประเมินแล้วว่า สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้น และข้าก็พร้อมจะรับความเสี่ยงระดับนั้น”

“ทำไมกันล่ะ? พยายามลดความเสี่ยงที่เป็นอันตรายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นไม่ใช่กลยุทธที่ดีที่สุดที่จะทำให้คนๆหนึ่งมีชีวิตรอดเหรอ?”

“เจ้าพูดถูก ว่ากันตามตรง แม้แต่ข้าก็ไม่รู้ว่า ทำไมข้าถึงเป็นเช่นนี้”

โอ้นั่น เจ้านั่นมันเหมือนเข็มขัดโอไรอ้อนมากเลย ดีล่ะ เจอดาวสามดวงที่อยู่ตำแหน่งเดียวกับเข็มขัดโอไรอ้อน นี่มันไม่ใช่เรื่องยากเลย

แล้วผมก็เริ่มหาวออกมา

“ลอร่า,เจ้าตัดสินว่า ชีวิตนั้นหมายถึงการตายในท้ายที่สุด เพราะความตายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

……แต่ในฐานะที่ข้าเป็นผู้ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อ ข้าได้ตามหาส่วนของชีวิตที่ยังหลงเหลืออยู่

……ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้านั้นต่างล้วนมีความหมายต่อชีวิตข้า ข้าจึงปรารถนาที่จะน้อมรับทั้งหมดทั้งมวลไว้”

ดวงตาของผมมันปิดลงเอง สัมปชัญญะก็เริ่มจมดิ่ง การรับรู้เริ่มจางไป ผมได้ยินเสียงที่เหมือนกำลังจะ

“นั่นคือ ความหมายของชีวิตที่ท่านบอกฉัน ในค่ำคืนนี้”

ผมบ่นอะไรสักอย่างตอบกลับไป มันไม่ใช่อะไรที่เกินไปกว่าคำพูดพึมพัมประมาณว่า ‘ข้าจะหลับแล้วนะ’ นั่นเป็นความคิดที่เข้ามาในหัวผมก่อนสติจะจมจ่อมโดยสมบูรณ์

……

ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไปด้วยความรู้สึกสดชื่น หน้าของผมมันแห้งผากราวกับมีอนุภาคฝุ่นมาเกาะตั้งแต่เที่ยงคืน ผมถูหน้าตัวเองด้วยฝา่มือ ความคิดปลอดโปร่งแต่ใบหน้ากลับรู้สึกไม่สบายท่าไหร่ มันเป็นอะไรที่ขัดกันมาก

อะแฮ่ม ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นเช้าที่ยอดเยี่ยม

ผมมองไปรอบๆ ลอร่าหลับอย่างสงบสุข ส่วนทางลาพิสก็เตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว ความจริงเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผมที่จะจินตนาการว่า ลาพิสนั้นเป็นคนตื่นสาย

หากเธอเกิดเป็นนักเรียนมัธยมในเกาหลี เธอคงจะเป็นคนที่นอนแต่หัวค่ำแล้วตื่นตี 4 ขึ้นมาอ่านหนังสือ ช่างน่ารังเกียจซะจริงๆ

ลาพิสพูดขณะที่ตักซุปใส่ชามด้วยทัพพี

“ท่านดันทาเลี่ยนคะ,พ่อค้าทาสหนีไปแล้ว”

“โอ้ จริงเหรอ?”

นั่นเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ ผมคิดไว้แล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่เขาจะหนีไป แต่ผมไม่คิดว่า เขาจะทำจริงๆ มันไม่ใช่การกระทำที่เหมาะกับแจ็ค ถึงอย่างไรก็ดี ลาพิสดูเชื่อว่า เหตุการณ์จะต้องกลายเป็นอย่างนี้ เธอจึงถอนใจออกมา

“เฮ่อ ตอนที่ดิฉันตื่นมาในตอนเช้า เขาก็ไม่อยู่ในรถม้าแล้ว เขาคงไปได้ไม่ไกลเพราะโซ่ที่อยู่ที่ข้อเท้า เราควรจะตามเขาไปไหมคะ?”

“ให้เขาไปเถอะ เขาปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะไปนอกเส้นทางเพื่อเรื่องนั้น”

ผมแสดงความเห็นที่ซื่อตรงเช่นเดียวกับที่รับชามมาจากลาพิส

“หลังจากการค้าขายทาสครั้งใหญ่พังไปแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะโผล่หน้าไปหาพ่อหรือบริษัทได้อีก มีความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับมามีอำนาจในโลกพ่อค้าที่ไม่อาจหยั่งถึงนั้นต่ำมาก”

“พ่อของเขาเป็นพ่อค้าใหญ่ ดิฉันเชื่อว่ายังพอมีทางที่จะใช้งานเขาได้อีก”

“ผมยอมหมุนตัวล้ม แล้วตายไปเลยดีกว่าที่จะใช้ชายไร้ความสามารถแบบเขา ผมชอบคนมีความสามารถแบบเธอนะ ลาพิส”

ผมชิมน้ำซุป รสชาติประหลาดของเครื่องเทศและไก่เต็มปากผม

“อื๋อออ อร่อย!”

มันเหมือนผมกำลังกิน ต้มยำกุ้งเวอร์ชั่นไม่เผ็ด ผมนึกถึงสมุนไพรที่หายากและถูกใช้ในยุคกลาง ดังนั้นการที่ผมถามถึงมัน ลาพิสจึงตอบมาว่า ปีศาจนั้นต่างจากมนุษย์ ปีศาจนั้นชื่นชอบเครื่องเทศอย่างมาก เหมือนใครบางคนที่ชอบอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาหารอินเดีย

ผมยินดีต้อนรับวัฒนธรรมพวกนั้นด้วยสองแขนเลย

“ลาพิส มีอะไรที่เธอไม่เก่งมั่งเนี่ย? จะมากพรสวรรค์มาเกินไปแล้ว!”

“ขอบพระคุณมากค่ะ”

ลาพิสโค้งหัวให้

“การให้การสนับสนุน,การนำส่งโดยสาร และมื้ออาหารระหว่างการเดินทางครั้งนี้ นับรวมเป็นเงิน 10โกลด์ค่ะ”

“…….”

ไม่ว่ายังไง ลาพิสก็คือ ลาพิสนี่นะ…….

หลังอาหารเช้า กับรสชาติที่เข้มข้นอย่างน่าพึงพอใจในปาก ผิวหนังผมก็เริ่มบ่นยุบยับแล้ว ใบหน้าที่แห้งเริ่มมีคราบมัน ซึ่งมันกวนใจผม

“แถวนี้มีลำห้วยใกล้ๆไหม?”

“มีสระน้ำ ห่างออกไป80ก้าว จากทิศทางนี้ค่ะ”

ผมได้รับคำตอบราวกับว่า รอให้ผมถามคำถามนี้อยู่แล้ว ถึงผมจะไม่รู้ความตื้นลึกหนาบางของโลกใบนี้ ผมก็ยังคงคิดอยู่ว่า แผนปฏิบัติการณ์ของลาพิสในครั้งนี้ เธอคงเตรียมแม้กระทั่งเส้นทางหลบหนีเอาไว้ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ช่างเป็นเพอเฟ็คชั่นนิสม์อะไรเช่นนี้!

ราคา 10 โกลด์นั้นไม่มีสูญเปล่าเลย

ผมฮัมเพลงกับตัวเองอย่างอารมณ์ดีเลยมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ลาพิสชี้บอก ตอนนั้นเป็นป่า มีพืชที่ไม่รู้จักขึ้นสูงจนขวางการมองเห็น แต่ผมก็รู้สึกได้ว่า งูนั้นกำลังเข้ามาหาผม ผมสามารถล่วงรู้ถึงมอนสเตอร์และสัตว์ป่าอันเป็นผลกระทบจากอำนาจของจอมมาร ดังนั้นผมจึงเดินตรงไปข้างหน้าโดยไร้ความลังเล

ผมเดินตรงย้ำเท้าถี่ๆเหมือนเดินสวนสนาม

กระทั่งผมพุ่มไม้ที่อยู่สุดทาง ร่างไร้วิญญาณของแจ็คนอนอยู่คล้ายกับกำลังซ่อนตัว

“…….”

ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

ประหลาดใจ? ผิดหวัง? ไม่เลย มันใกล้กับความนับถือมากกว่า

ถ้านั่นคือแจ็ค แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ความคิดนั้นมันแวบเข้ามาในหัวผม

มีหินก้อนใหญ่อยู่ใกล้กับศพของเขา

บนนั้นมันมีคราบเลือดสีแดงสดอยู่บนผิวหิน ข้างหินก้อนนั้น ผมสังเกตได้ว่าบนหัวของแจ็ครวมถึงที่ดวงตา มีก้อนเลือดจับตัวกันเป็นลิ่ม

นั่นแสดงให้เห็นว่า เขาฆ่าตัวตายด้วยการเอาหัวชนหินด้วยตัวเอง เหมือนกับเรื่องราวของนกสาลิกาที่อุทิศตนเองโดยเอาหัวโขกระฆังอย่างไม่เลิกรา

(TL note: นิทานพื้นบ้านเกาหลี The Magpie and the Bell )

“……นายตายสินะ, แจ็ค”

ผมไม่มีทางที่จะล่วงรู้ได้ว่า สิ่งที่เขาคิดมาทั้งคืนคืออะไร อะไรคือกระบวนการความคิดของเขาที่นำไปสู่จุดจบนี้ ผมอาจจะไม่รู้ไปตลอดเลยก็ได้ เป็นเหมือนความลี้ลับหนึ่ง

ผลลัพธ์คือ ศพและก้อนหินของเขาจะเป็นสิ่งที่ยังคงติดอยู่ในหัวผมไปตลอดกาล

ผมทื่แอบคาดหวังว่า เขาจะมีชีวิตอยู่รอดไปได้

แม้เขาจะถูกหลอกใช้โดยคนระยำต่ำช้าเช่นผม แต่ผมก็อยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป นี่เป็นความหวังเล็กๆที่อยู่ในมุมหนึ่งของใจผม ในฐานะคนที่ยังไม่คุ้นชิน ยังไม่ได้เป็นจอมมารเต็มตัวในโลกใบนี้

แสงแดดยามเช้าทิ่มแทงผ่านผืนป่า แล้วฉายให้เห็นบริเวณโดยรอบ ผมมองจ้องไปที่ศพนั้นสักพัก ควันไอลอยขึ้นเหนือหินก้อนใหญ่

แทนที่จะไปตามไอน้ำนั่น ผมกลับหันหลังแล้วจากไป ผมเชื่อว่า การเข้าใกล้กับร่างของแจ็คนั้นจะเป็นการดูถูกการตายของเขา