บทที่ 217 พลังของปีศาจร้าย

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 217 พลังของปีศาจร้าย

บทที่ 217 พลังของปีศาจร้าย

เจตจำนงหอกปกคลุมทั่วท้องนภาประหนึ่งสวรรค์และโลกจะสูญสลาย เสวียนหลียืนอยู่ใต้เจตจำนงหอก นางหาได้เกรงกลัวไม่

สิ้นคำขู่ของบรรพชนหอก ใบหน้าของคู่กรณีดูชั่วร้าย ก่อนแผดเสียงหัวเราะออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง “ฮ่า ๆๆๆๆ”

“หลิงอวิ๋นหนอหลิงอวิ๋น ท่านพูดอะไรออกมา?! บัดนี้ผืนฟ้าเต็มไปด้วยเจตจำนงหอกอันทรงพลังของท่านแล้ว ท่านกล้าปล่อยให้มันตกลงมาหรือไม่?!”

“แต่เมื่อใดที่ท่านปล่อยเจตจำนงหอกลงมา เมื่อนั้นท่านก็ต้องแบกรับทัณฑ์จากวิถีแห่งสวรรค์ที่อยู่เหนือหัวตนเองด้วย!”

“ยามที่ข้าหมดลมหายใจ ยามนั้นท่านก็จะตกลงสู่ขุมนรก!”

“ที่สำคัญ…”

เสวียนหลีเงยหน้าขึ้น เผยสายตาเต็มไปด้วยแววคลุ้มคลั่ง “ลู่หยวนผู้นี้ถูกค่ายกลต้องห้ามวิญญาณสวรรค์ของข้าสะกดเอาไว้ หนามจากเถาวัลย์ได้แทงลึกเข้าสู่ร่างกายไปแล้ว บาดแผลที่ได้รับย่อมนำไปสู่ความตาย หลิงอวิ๋น คำขู่เหล่านี้ของท่าน คิดหรือว่าข้าจะเชื่อ?!”

บรรพชนหอกยืนอยู่ในความว่างเปล่า นางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยัน “เจ้าอยากทำร้ายเขาด้วยการสังเวยมือข้างหนึ่งหรือ? เหลวไหล!”

“จุ๊ ๆๆ”

เสียงของลู่หยวนพลันดังมาจากด้านข้าง “อาจารย์สำนัก เก็บเจตจำนงหอกของท่านไปก่อน ข้าติดตั้งค่ายกลเรียบร้อยแล้ว ต่อให้นางสังเวยชีวิต มันก็ไม่อาจทำร้ายข้าได้!”

เสวียนหลีหันศีรษะกลับมาภายหลังได้ยินคำพูดดังกล่าว พบว่ากลางอากาศที่อยู่ไม่ไกล บุตรศักดิ์สิทธิ์ยังคงถูกเถาวัลย์นับไม่ถ้วนโอบรัดเอาไว้ ร่างของเขาอยู่กับที่ ไม่สามารถขยับไปไหนได้

“ทำเป็นพูดดี!” เสวียนหลีเกียจคร้านเกินกว่าจะสนทนากับบุตรศักดิ์สิทธิ์อีก “ลู่หยวน ข้าจะส่งเจ้าไปลงนรกให้เอง!”

ยามสิ้นคำพูด กระบี่ดาราในมือขวานางลอยขึ้น ดวงดาวเจ็ดดวงสาดแสงบนลานประลอง ก่อนเชื่อมโยงเข้าหากันยังจุดหนึ่ง กลิ่นอายสีม่วงเข้มข้นมากขึ้น

ปราณกระบี่ทะยานขึ้นสู่ท้องนภา พลังปีศาจชั่วร้ายอันแก่กล้ายึดครองร่างของเสวียนหลี ทำให้แรงกดดันรอบกายนางแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า

“ลู่หยวน จงตายซะ!”

เสวียนหลีชูกระบี่ในมือขึ้น ก่อนฟาดฟันเข้าใส่ชายหนุ่ม

บุตรศักดิ์สิทธิ์เงยหน้าขึ้น มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ “พลังปีศาจร้ายหรือ? เหมือนข้าจะยังไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน”

สิ้นคำดังกล่าว คู่กรณียิ้มหยันอยู่ในใจ กลิ่นอายสีม่วงทั่วทั้งร่างของนางกระจายจนมาถึงฝ่ามือ พลังปีศาจร้ายปกคลุมกระบี่ดาราทั้งเล่มอย่างง่ายดาย

กระบี่นั้นขยายใหญ่ขึ้นหลายสิบเท่าในชั่วพริบตา กระบี่เมฆาสีม่วงหนึ่งหมื่นจั้งยังคงรวมตัวจากด้านหลัง ก่อนฟาดฟันออกไปพร้อมกับนาง

พลังไร้ขอบเขตพลันกดทับลงมา คลื่นอากาศบนลานประลองสั่นไหวแผ่ออกไปเป็นวงกว้าง เต่ายักษ์รับรู้ถึงแรงกดดันดังกล่าว จึงส่งเสียงคำรามต่ำอย่างต่อเนื่อง

ชั่วพริบตา เสวียนหลีกระชับกระบี่หมายจะสะบั้นใบหน้าของลู่หยวนผู้อยู่ห่างเพียงสามฉื่อ

รอยยิ้มของชายหนุ่มยิ่งสยายกว้าง ทันใดนั้นเนตรเทวะได้ปรากฏขึ้น สีชาดเข้าปกคลุมดวงตาของบุตรศักดิ์สิทธิ์จนสิ้น

เสวียนหลีไม่อาจล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร นางจึงกระตุ้นกลิ่นอายในมือจนพลังสีม่วงรุนแรงขึ้นหลายเท่า กระบี่ดาราพุ่งลงไปหมายจะสะบั้นศีรษะของศัตรู

วิ้ง!

เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น เสวียนหลีมองเข้าไปในดวงตาของลู่หยวนโดยไม่รู้ตัว เห็นเนตรเทวะที่กลับกลายเป็นสีโลหิต เศษเสี้ยวสีแดงปกคลุมรอบข้างในบัดดล

สตรีสับสน เรี่ยวแรงในมือของนางผ่อนลงโดยไม่รู้ตัว

“เสวียนหลี ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่า ผู้ใช้เป็นขยะอย่างไร ค่ายกลก็เป็นขยะอย่างนั้น!”

ยามเสวียนหลีได้ฟังจึงกลับมามีสติ ก่อนพบว่าเถาวัลย์ที่จองจำอีกฝ่ายไว้เริ่มคลายตัวก่อนจะหลบหนีไปอยู่ด้านล่างนางอย่างรวดเร็ว

นางตกตะลึง ก่อนปรับสภาพจิตใจให้มั่นคง แล้วฟาดฟันกระบี่ดาราออกไปโดยมีบุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นเป้าหมาย

“เหอะ”

ลู่หยวนเผยสีหน้าเหยียดหยัน เขายกมือขวาขึ้น วิถีกระบี่ทรงพลังปรากฏ พื้นที่สีแดงรอบข้างเกิดการสั่นไหว

ตูม!!

กระบี่ดารากับวิถีกระบี่ของชายหนุ่มฟาดฟันเข้าใส่กันอย่างรุนแรง พลังปีศาจชั่วร้ายสีม่วงกับกระบี่วิถีแห่งสวรรค์ระเบิดจนก่อเกิดแสงสว่างสีขาวอันเจิดจ้า เสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาจากใจกลางลานประลอง

ควันธุลีแผ่กระจายทั่วสารทิศ บริเวณพื้นที่ตรงกลาง ตกอยู่ในความเงียบสงัด

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

เพียงไม่กี่อึดใจ บริเวณพื้นที่ตรงกลางเกิดเสียงแตกร้าวดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า อักขระที่เต่ายักษ์แบกเอาไว้ล้วนแตกสลาย ค่ายกลพังทลายลง

บนอัฒจันทร์ ทุกคนต่างจับจ้องพื้นที่ดังกล่าวโดยไม่กะพริบตา คนผู้หนึ่งกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนพึมพำว่า “การโจมตีเมื่อครู่ เทียบเท่ากับขั้นปรมาจารย์ยุทธ์!”

“ด้านหนึ่งเป็นพลังปีศาจร้าย อีกด้านเป็นพลังวิถีกระบี่ หากต้องเผชิญหน้ากับสองพลังนี้ เกรงว่าข้ายังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็คงหัวหลุดออกจากบ่าไปแล้ว!”

“ผ่านไปชั่วครู่แล้วแต่พวกเขากลับไม่มีการเคลื่อนไหว หรือว่าจะรู้ผลแพ้ชนะแล้ว?”

“เป็นไปไม่ได้ หมู่เมฆบนท้องฟ้ายังไม่หายไปไหน สัญญาความเป็นความตายระหว่างทั้งสองยังไม่ถูกคลาย การต่อสู้ยังไม่จบ!”

สิ้นเสียงไม่ทันไร ร่างหนึ่งพลันแหวกควันธุลีร่นถอยออกมาอย่างรวดเร็ว!

สายตาทุกคู่มองตาม ร่างดังกล่าวไม่มีมือซ้าย โดยกุมกระบี่เอาไว้ในมือขวาอย่างยากลำบาก และพยายามลุกขึ้นจากพื้น สภาพดูกระเสือกกระสน ร่างถูกย้อมไปด้วยคราบโลหิต

คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเสวียนหลี

ในตอนนี้ควันธุลีจางหายไปสิ้น ลู่หยวนยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงกลางลานประลอง ชุดคลุมปราศจากร่องรอยเศษฝุ่น มุมปากยังคงสยายขึ้นเป็นรอยยิ้ม

“เสวียนหลี ทำไมเจ้าไม่ฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ข้าเคยบอกแล้วว่า เจ้ารับการโจมตีของข้าครั้งเดียวยังไม่ได้ด้วยซ้ำ”

ยามนี้ดวงตาของเสวียนหลีทอประกายด้วยความไม่อยากเชื่อออกมา พลังที่นางได้รับจากการสังเวยมือข้างหนึ่งไปยังไม่อาจเทียบชั้นกับกระบี่ของลู่หยวนได้งั้นหรือ?!

เป็นไปไม่ได้!

นี่มันเป็นไปไม่ได้!

นี่คือพลังของปีศาจร้ายเชียวนะ!

มันพ่ายแพ้ให้กับเศษเสี้ยววิถีของลู่หยวนได้อย่างไร?!

“ลู่หยวน อย่าเพิ่งชะล่าใจให้มันมาก!”

ดวงตาของเสวียนหลีเผยแววโหดเหี้ยม นางขว้างกระบี่ดาราออกไปแทงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง ‘ฉึก’

นางสร้างผนึกด้วยมือข้างเดียว ปากของนางพึมพำบางอย่างไม่หยุด

ผ่านไปหนึ่งอึดใจ หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้น ด้านหลังของนางยังคงมีเถาวัลย์โบกสะบัด ก่อนเหี่ยวเฉาลงโดยพลันและถูกบดขยี้เป็นผุยผง พวกมันเข้าปกคลุมนางอย่างสมบูรณ์

กลุ่มสีม่วงกระจายออกไปจากรูทวารทั้งเจ็ดของเสวียนหลี ก่อนรวมตัวกันบนท้องนภา

ร่างแปลกประหลาดน่าขนลุกก่อตัวขึ้น ทันทีที่มันปรากฏ กลิ่นอายของเสวียนหลีก็จางหายไปทีละน้อย

ไม่กี่อึดใจ ร่างน่าขนลุกก็ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายสีม่วงเป็นปึกแผ่น ส่วนเสวียนหลี นางแทบไม่เหลือพลังชีวิตอีกต่อไป

“ปีศาจร้าย?!”

อาจารย์สำนักผู้หนึ่งบนแท่นสูงโพล่งออกมา น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง “เสวียนหลีผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ?! นางถึงกับยอมขายวิญญาณให้กับปีศาจร้ายเชียวหรือ?!”

อาจารย์สำนักที่เหลือเผยสีหน้าจริงจังไม่ต่างกัน การกระทำของเสวียนหลีเช่นนี้ ย่อมไม่ต่างจากการพยายามฆ่าตัวตาย!

ในใจของทุกคนต่างทราบดี หากผู้ใดยื่นมือเข้าช่วยในยามนี้ ชีวิตของเสวียนหลีอาจจะรอดปลอดภัย

เพียงแต่ …ไม่มีใครลงมือทำ

แม้พวกเขาจะเป็นอาจารย์สำนักแห่งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ แต่เสวียนหลีหาใช่ศิษย์ของพวกเขาไม่ ที่สำคัญ เสวียนหลีร่างสัญญาความเป็นความตายไว้แล้ว หากใครยื่นมือเข้าช่วย ย่อมไม่ต่างกับการนำทัณฑ์จากวิถีแห่งสวรรค์มาสู่ตน!

เรื่องโง่เขลาเช่นนั้น พวกเขาย่อมไม่มีทางลงมือทำโดยเด็ดขาด!