ตอนที่ 181 เป็นใครกัน?
ในตอนที่หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าปรากฏตัวขึ้นมานั้นสีหน้าของมู่อี้ก็ดูเคร่งขรึมอย่างยิ่งไม่เพียงแต่นางจะเป็นเจ้าของสัตว์ประหลาดที่อยู่ในแม่น้ำแต่หญิงสาวผู้นี้ยังทําให้เขารู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดอย่างยิ่งเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่านางอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่อาจรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของนางได้เลยราวกับว่านี่เป็นเพียงความฝันที่เกิดขึ้นเท่านั้น
ม่กัดลิ้นของตนเองเบาๆ แม้ว่าความเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแต่สิ่งที่เขาเห็นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยเขามองเห็นหญิงสาวแต่ไม่อาจรับรู้ถึงการมีอยู่ของหญิงสาวได้เลย
มู่อี้เพิ่งจะเคยประสบพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรกและรู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง
หญิงสาวคนนั้นก้าวเท้าเปล่าลงไปบนศีรษะของสัตว์ประหลาดตัวนั้นและค่อยๆเข้ามาใกล้เรือของพวกเขาช้าๆ
ในตอนนี้สีหน้าของทุกๆคนที่อยู่บนเรือต่างก็แสดงความตกตะลึงออกมาและคนเรือเหล่านั้นต่างก็คุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับสวดมนต์ภาวนาออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขากําลังสวดมนต์ภาวนาต่อเทพเจ้าแห่งท้องน้ำการที่หญิงสาวผู้นี้สามารถเหยียบลงไปบนศีรษะของสัตว์ประหลาดยักษ์ที่อยู่ใต้น้ำได้นั้น นางย่อมเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำที่ปรากฏตัวขึ้นมาให้พวกเขาได้เห็นแน่นอน
ส่วนเทพเจ้าแห่งท้องน้ำจะเป็นผู้ชายหรือเป็นผู้หญิงนั้นพวกเขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยเพราะในสายตาของพวกเขามีเพียงเทพเจ้าแห่งท้องน้ำเท่านั้นที่สามารถควบคุมสัตว์ประหลาดที่อยู่ในน้ำแบบนี้ได้
“เป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำจริงๆหรือ?” แม้แต่ลู่อี้ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาด้วยเช่นกัน ในช่วงเวลากลางวันที่ผ่านมานั้นเขาได้ทําลายพิธีบูชาเทพเจ้าแห่งท้องน้ำไป ถ้าหากเทพเจ้าแห่งท้องน้ำมีอยู่จริงๆเขาก็ย่อมไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายมาหาตนเอง
เหตุผลที่เขาคิดเช่นนี้ก็เพราะว่าหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้านั้นแม้ว่านางจะมีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ทุกประการแต่เขาไม่อาจสัมผัสได้เลยว่านางคือมนุษย์จริงๆหรือไม่
หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้ายังคงยืนอยู่บนหลังของสัตว์ประหลาดตัวนั้นและเข้ามาใกล้เรือของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ สําหรับมู่อี้แล้วระยะห่างของทั้งสองฝ่ายนั้นถือว่าใกล้กันมากและเขายังเตรียมพร้อมที่จะแทงหอกในมือของตนเองออกไปทุกเมื่อ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ทําแบบนั้น
อีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหนเขาไม่อาจรู้ได้เลย เขาไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้มีพลังมากเพียงใดแต่แค่นางสามารถควบคุมเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้เขาก็คิดว่าตนเองไม่สามารถเอาชนะนางได้แน่นอน
หลังจากนั้นเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ก็หยุดเคลื่อนไหวและมันก็ลอยตัวขึ้นมาจากน้ำช้าๆ ศีรษะของมันโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำอย่างชัดเจน กรงเล็บทั้งสองข้างที่เหมือนกับกรงเล็บมังกรนั้นก็ยังคงสะบัดไปมาใต้น้ำและดวงตาขนาดใหญ่ของมันนั้นก็จ้องมองมาที่มู่ลี้
บนร่างกายของมันนั้นมีหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้ายืนอยู่ในระดับเดียวกันกับม่อี้ที่ยืนอยู่บนหัวเรือ
“เป็นเจ้านี่เอง!”
ในตอนที่มอีกําลังคิดว่าเขาควรจะพูดอะไรออกไปดีนั้น หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าก็มองมาที่มู่อี้และพูดขี้นมาทันทีน้ำเสียงของนางกระจ่างใสและงดงามราวกับน้ำเย็นที่เข้ามาชโลมหัวใจในช่วงฤดูร้อน
“เป็นเจ้านี่เอง?” คําพูดของนางนั้นมีผลต่อจิตใจของมู่อี้ทันที เขารู้สึกราวกับว่ามีความทรงจําบางอย่างที่เขานึกขึ้นมาได้ ความทรงจําช่วงก่อนอายุ 6 ขวบของเขาหายไปอย่างสิ้นเชิงเขาจําหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้เลยแต่จากน้ำเสียงของหญิงสาวดูเหมือนว่านางจะรู้จักเขา
“ท่านหญิง ท่านรู้จักข้างั้นหรือ?” ม่อ๊อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาทันที
“รู้จักงั้นหรือ? ตอนนี้เจ้าชื่ออะไร?” หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าไม่ได้ตอบคําถามของมู่อี้แต่มองไปอีกทางด้านหนึ่งราวกับว่านางกําลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งมู่อี้ก็ตอบกลับไปว่า”ข้ามีนามว่ามู่ลี้!”
“ม่อี้?” หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าพยักหน้าอยู่หลายครั้งและจากนั้นน้ำเสียงที่กระจ่างใสของนางก็ตอบกลับมาว่า “ยังไม่ดีเท่าชื่อเก่าของเจ้า”
“ชื่อเก่าของข้าหรือ?” ม่อี้ตกตะลึงไปอีกครั้ง นี่คือชื่อที่ท่านปู่ของเขาตั้งให้ ส่วนก่อนหน้านี้เขาจะมีชื่อว่าอะไรนั้นมู่ไม่รู้เลยความทรงจําของเขาหายไปแม้แต่บิดามารดาของตัวเองเป็นใครเขาก็ยังจําไม่ได้เลย
แต่ในตอนนี้เมื่อได้ยินคําพูดของหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้า หัวใจของมู่ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเขาจ้องมองไปที่หญิงสาวผู้นี้ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อ นางรู้จักเขางั้นหรือ? รู้ว่าจริงๆแล้วเขาเป็นใคร?
เมื่อคิดเช่นนี้ม่อี้ก็ไม่อาจอดกลั้นความตื่นเต้นในใจได้อีกต่อไป
“ถ้าหากท่านหญิงรู้จักข้า โปรดบอกความจริงต่อข้าได้หรือไม่” มู่อี้จ้องมองไปที่หญิงสาวพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างสุภาพ
“ดูเหมือนเจ้าจะหลงลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้วสินะ”
ในขณะที่มู่อี้กําลังรอคอยคําตอบจากปากหญิงสาวอยู่นั้น หญิงสาวก็ส่ายศีรษะและตอบกลับมาเช่นนี้
“ท่านหญิงคงล้อข้าเล่นแล้วกระมัง?” มู่ยิ้มองไปที่หญิงสาวด้วยสีหน้าที่ดูไม่พอใจเล็กน้อย คําพูดของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันแม้จะพูดกับเขาแต่น้ำเสียงก็เหมือนไม่ได้พูดกับเขา อย่างน้อยในมุมมองขอ งม่อี้นั้นหญิงสาวตั้งใจตอบกลับมาเช่นนี้
จากนั้นเขาก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้งและพยายามนึกถึงข้อมูลต่างๆที่เขาได้รับมาในตอนนี้หญิงสาวผู้นี้รู้ว่าเขาเป็นใครก่อนที่เขาจะอายุครบ 6 ขวบและนางยังจําเขาได้ตั้งแต่แรกเห็น แต่ถึงอย่างนั้นแล้วแม้ว่านางจะรู้ว่าเขาเป็นใครแต่ทําไมนางถึงไม่ยอมบอกเขา? แม้แต่ชื่อก็ไม่ได้งั้นหรือ?
“น่าเสียดายที่ข้าออกมานานเกินไปแล้ว แต่ในเมื่อเจ้ามีกุญแจอยู่ในมือเช่นนั้นแล้วพวกเราต้องได้พบกันอีกแน่นอน”หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าพูดขึ้นมาอีกครั้งและไม่ให้โอกาสม่ธ์ได้ตอบกลับมาเลย
หลังจากที่นางพูดจบนางก็กระทืบเท้าเบาๆหนึ่งครั้ง “ไปเถอะกลับบ้านของพวกเรากัน”
เจ้าสัตว์ประหลาดที่อยู่ใต้เท้าของนางสะบัดหางเบาๆและจากนั้นมันก็ว่ายน้ำผ่านเรือของพวกเขาออกไปทัน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหายลับสายตาไปแล้วนั้นมู่อี้ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มีเรื่องมากมายที่ทําให้เขาต้องรู้สึกประหลาดใจ แม้ว่าหญิงสาวจะจากไปแล้วแต่ความคิดของเขาก็ยังดําเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เลิกคิดถึงเรื่องเหล่านี้และกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
แม้ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นจะโจมตีเรือและโดนเขาโจมตีสวนกลับไปจนได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อหญิงสาวคนนั้นปรากฏตัวออกมานางไม่ได้แสดงความเป็นศัตรูออกมาแม้แต่น้อยแต่คําพูดของนางทิ้งทําให้เขาต้องรู้สึกสับสนและว้าวุ่นในใจจนถึงตอนนี้เท่านั้น
แต่จากคําพูดสุดท้ายที่นางทิ้งเอาไว้ก่อนจะจากไปม่อี้ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันที
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่ากุญแจของเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลืองอยู่ที่เขา และการที่นางบอกว่าจะต้องได้พบกันอีกมันหมายความว่าอย่างไรกัน?
หรือว่านางก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถือครองกุญแจด้วยเช่นกัน? 1 ใน 5 ผู้ที่ถือครองกุญแจงั้นหรือ?
เมืองไปตี้ สํานักเหมาซาน ภูเขาหลงหู พระราชวังต้องห้าม เมืองโบราณตุนหวง นางมาจากที่ไหนกัน?
เขาตัดเมืองโบราณตุนหวงออกไปเป็นตัวเลือกแรกเพราะที่นั่นอยู่ห่างไกลจากที่นี่มากและเป็นไปไม่ได้ที่นางจะใช้เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นเดินทางตามแม่น้ำไปยังเมืองโบราณตุนหวงที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ทั้งสํานักเหมาซานและภูเขาหลงหูต่างก็เป็นสํานักเต๋ แม้ว่าที่นั่นจะมีผู้หญิงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ผู้ที่ถือครองกุญแจของ 2 สํานักเต่จะเป็นหญิงสาว
เช่นนั้นก็เหลือเพียงเมืองไปตี้และพระราชวังต้องห้ามที่อยู่ทางใต้และทางเหนือเท่านั้น
แม้ว่าจะมีเบาะแสแต่มู่ ก็ยังไม่อาจแน่ใจได้
“ไม่ว่าท่านจะเป็นใครมาจากไหนอีกไม่นานหลังจากนี้ก็คงได้รู้กัน” มู่อี้คิดในใจและในขณะเดียวกันเขาก็พยายามจดจํารูปร่างหน้าตาของหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าให้ขึ้นใจ
แม้ว่าเขาจะกระตือรือร้นในการค้นหาอดีตที่หายไปของตนเองแต่เขาก็รู้ดีว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมบางทีเขาอาจต้องรอจนกว่าจะสังหารหลี่เฉียจอและช่วงชิงศพของท่านปู่กลับมานี่คือความปรารถนาในใจที่ใหญ่ที่สุดของเขาและหลังจากจบเรื่องนี้เขาก็จะตามหาความทรงจําของตนเองอีกครั้ง
“ท่านนักพรตเต๋ทรงพลังอย่างยิ่งขอรับ”
ในตอนที่ม่อี้กําลังใช้สมาธิอยู่นั้นน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นก็ดังมาจากด้านหลังของเขาทันที
ม่อี้ไม่ได้หันกลับไปมองแต่เขาก็รู้ดีว่าผู้ที่พูดขึ้นมานั้นคือใครและมีเพียงพ่อบ้านประจําเรือเท่านั้นที่พูดเช่นนี้กับเขา
“ขอบคุณที่ท่านช่วยชีวิตพวกเราขอรับ” แม้ว่าองครักษ์ทั้งสองคนของหวังเทาจะไม่ได้มีท่าที่ประจบประแจงเหมือนกับพ่อบ้านประจําเรือแต่พวกเขาก็รู้สึกขอบคุณมู่อ๋อย่างยิ่งเพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าหากไม่มีมู่อในวันนี้พวกเขาคงต้องกลายเป็นอาหารของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นแน่นอน
“ท่านนักพรตเต๋โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถอะขอรับ” หวังเทาพูดอย่างตรงไปตรงมา เมื่อเห็นว่าม่อี้หันหน้ากลับมาเขาก็ไม่ลังเลใจอีกต่อไปรีบคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวออกมาเสียงดังทันที
เมื่อองครักษ์ทั้งสองคนได้ยินคําพูดของนายน้อยของตนเองพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรแต่รีบคุกเข่าลงด้วยเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ความหมายมันก็ชัดเจนอย่างยิ่ง
พ่อบ้านอ้าปากค้างและจ้องมองมาที่ชายทั้ง 3 คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น แต่เขาก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างได้เป็นอย่างดีไม่อย่างนั้นแล้วฉือเล่อคงไม่ส่งเขามารับใช้ม่อี้แน่นอน ก่อนที่มอจะตอบอะไรกลับมานั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและพูดขึ้นมาว่า”ท่านนักพรตเต๋ข้าขอตัวไปตรวจสอบดูก่อนว่าเรือของเรามีความเสียหายหรือไม่ขอรับ”
หลังจากพูดจบพ่อบ้านคนนั้นก็รีบวิ่งออกไปทันที
จากนั้นมู่อี้ก็มองมาที่หวังเทาและถามอย่างเฉยเมย “ท่านต้องการเคารพข้าเป็นอาจารย์งั้นหรือ”
“ใช่ขอรับ ท่านนักพรตเต๋ได้โปรดเมตตาข้าด้วย” หวังเทากล่าวยืนยัน
“ก่อนหน้านี้มีคนมากมายที่พูดเหมือนกับท่าน แต่ท่านก็น่าจะรู้ดีว่าข้าตอบกลับไปเช่นไร?” มู่อี้พูดอย่างสงบนิ่งขณะมองมาที่หวังเทา
“ข้าไม่ทราบขอรับ” หวังเทาสายศีรษะจากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ตราบใดที่ท่านนักพรตเต๋ยอมรับข้าเป็นศิษย์ข้าจะยอมทําตามคําสั่งของท่านนักพรตเต๋โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ”
“ไม่มีข้อแม้ใดๆงั้นหรือ?” มู่ยิ้มองมาที่หวังเทาด้วยความสนุกสนาน
“ใช่ขอรับ” หวังเทาพยักหน้าอย่างหนักแน่นเพื่อยืนยันสิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้
“เช่นนั้นถ้าข้าบอกว่าข้าต้องการหอกเล่มนี้ล่ะ?” ม่อี้พูดขึ้นมาทันทีและชูหอกในมือของเขาขึ้นมา
“นี่ …” หวังเทาลังเลใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจมอบหอกเล่มนี้ให้กับมู่อี้ได้ สุภาพบุรุษย่อมต้องทําตามคําพูดของตนเอง แต่นี่คือสมบัติที่หลงเหลืออยู่ของท่านพ่อเขาจะยอมตกลงได้เช่นไรกัน?
ด้านหลังของเขานั้นสีหน้าขององครักษ์ทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน พวกเขาต่างก็จ้องมองมาที่หวังเทาด้วยสีหน้าที่ดูกังวลใจและกลัวว่านายน้อยของตัวเองจะตอบตกลงกลับไป
ในตอนนี้แม้ว่าพวกเขาทั้งสองคนอยากจะกล่าวเตือนนายน้อยของตนเองแต่พวกเขาก็พบว่ามีแรงกดดันที่ส่งตรงเข้ามาจนพวกเขาไม่อาจเปิดปากพูดอะไรได้เลย
“คนๆหนึ่งจะทรงพลังได้มากเพียงใดนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะเคารพใครเป็นอาจารย์ แต่มันขึ้นอยู่กับความอดทนในการฝึกฝนตราบใดที่ท่านอดทนมากพอ แม้ว่าพรสวรรค์ของท่านจะมีอยู่จํากัดแต่สักวันหนึ่งท่านก็จะ ประสบความสําเร็จได้แน่นอนและการฝึกฝนทางจิตวิญญาณของข้าก็ไม่เหมาะสมสําหรับท่านการที่ท่านมาเป็นศิษย์ของข้าบางทีพลังของท่านอาจจะไม่สามารถยกระดับขึ้นไปได้เลยก็เป็นได้”มู่ยิ้มองมาที่หวังเทาและส่ายศีรษะเบาๆ
หลังจากนั้นเขาก็ยื่นหอกในมือของตนเองให้กับหวังเทา “นี่เป็นหอกที่ดี จงอย่าดูถูกมัน”
หวังเทาฟังคําพูดของมู่อี้และยื่นมือไปรับหอกของตัวเองกลับมา ดูเหมือนเขาจะรู้ดีว่ามู่อี้ต้องการพูดอะไรกับเขา
“แม้ความเกลียดชังจะเป็นแรงผลักดันให้กับท่านได้ แต่อย่าปล่อยให้ความเกลียดชังบดบังสายตาของท่าน”ม่อี้ทิ้งคําพูดสุดท้ายเอาไว้และเดินจากไปทันที
เมื่อเห็นว่ามู่อี้จากไปแล้ว หวังเทาก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาที่ว่างเปล่าของเขาจ้องมองมาที่หอกที่อยู่ในมือของตนเอง เขาสามารถยกหอกที่อยู่ในมือของตนเองได้อย่างง่ายดายไม่ได้รู้สึกหนักอะไรเลย
“นายน้อย” องครักษ์ทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็หันมามองหน้ากันและทั้งสองคนต่างก็มีสายตาที่ดูกังวลใจ ทั้งสองคนเห็นว่าหวังเทายังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนและเมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็ส่งเสียงเรียกขึ้นมาเบาๆทันที
“ท่านลุงทั้งสองคนโปรดวางใจเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรแค่คิดถึงท่านพ่อขึ้นมาเท่านั้น” หวังเทาตอบกลับมาแต่เมื่อองครักษ์ทั้งสองคนได้ยินคําพูดของเขา ทั้งสามคนก็เงียบไปทันทีและไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก