ตอนที่ 169

My Disciples Are All Villains

“เจ้าน่ะเจ้าเล่ห์ซะจริงนะ” หมิงซี่หยินพูดในขณะที่เอนตัวไปที่ด้านหลัง

สีวู่หยาเดินไปด้านหน้าในขณะที่ขมวดคิ้ว เขานั่งลงอย่างช้าๆ ข้างๆ เก้าอี้ของหมิงซี่หยินพร้อมกับพูดออกมา”ข้าได้ยินมาว่าเหวยซู่หยานในตอนนี้ไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว”

“ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าน่ะจะไม่ได้ข้อมูลอะไรจากข้าหรอกนะ” หมิงซี่หยินพูดขึ้น

“ศิษย์พี่สี่ พวกเราต่างก็มาจากที่ที่เดียวกัน ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำเหมือนกับข้าเป็นคนแปลกหน้าแบบนั้นเลย ข้าก็แค่ถามเพราะเป็นห่วงศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เท่านั้น”

“ถุ้ย! ” หมิงซี่หยินได้ถ่มน้ำลายลงบนพื้น “ถ้าหากเจ้าเป็นห่วงศาลาปีศาจลอยฟ้าจากใจจริงๆ ทำไมเจ้าไม่กลับมายอมรับโทษซะละ! เมื่อถึงตอนนั้นก็ให้สวรรค์ตัดสินความเป็นความตายของเจ้าก็แล้วกัน! “

ซู่ฮ่องกงในตอนนี้เริ่มรู้สึกกลัวมากขึ้น ศิษย์พี่สี่อย่างหมิงซี่หยินถึงกับพูดเรื่องความเป็นความตายออกมา เพราะแบบนั้นตัวของซู่ฮ่องกงจึงเชื่อว่าถ้าหากกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็คงจะไม่เจอกับสิ่งดีๆ อย่างแน่นอน

สีวู่หยาได้ยิ้มก่อนที่จะตอบกลับมาอย่างร่าเริง “ไม่จำเป็นจะต้องทำตัวเป็นศัตรูกับข้าเลยศิษย์พี่สี่…ถึงแม้ว่าจะโกรธไปมันก็ไม่มีความหมายอะไรหรอกนะศิษย์พี่ ข้ายังมีอะไรอีกหลายๆ อย่างที่จะอยากทำให้สำเร็จก่อน ถ้าหากข้ายังทำมันไม่สำเร็จข้าจะมีหน้ากลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ยังไงกัน? “

“ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงเจ้ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ถึงส่งจดหมายแบบนั้นไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า” หมิงซี่หยินได้ถามออกมาอย่างสับสน

“เรื่องนั้นมันง่ายนิดเดียว…” สีวู่หยาได้พูดขึ้นมาก่อนที่จะเอานิ้วชี้ไปยังซู่ฮ่องกง “สำนักแห่งความบริสุทธิ์ต้องการที่จะโจมตีหุบเขาพยัคฆ์ ถ้าหากศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ได้ช่วยศิษย์น้องแปด ข้าเกรงว่าศิษย์น้องของพวกเราคงจะไม่รอดแน่”

“แค่นั้นเองอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินได้ถามออกมาอย่างสงสัย

สีวู่หยาส่ายหัว “ทำไมศิษย์พี่ถึงจะต้องคิดว่าข้าวางแผนชั่วอยู่กัน ศิษย์พี่สี่…สิ่งที่ข้าพูดมาก็คือความตั้งใจจริงของข้า…

“แล้วทำไมเจ้าไม่ขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่รองหรือไม่ก็ศิษย์พี่ใหญ่ซะล่ะ? “

ท่ามกลางชื่อทั้งหมดที่ได้เอ่ยมา เห็นได้ชัดว่าการขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นอาจารย์เป็นอะไรที่ยากที่สุดแล้ว

ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองมีความสามารถมากพอที่จะรับมือกับสำนักแห่งความบริสุทธิ์อยู่แล้ว เพราะแบบนั้นมันจึงยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่

“ศิษย์พี่ใหญ่ยุ่งอยู่กับการทำงานทุกวัน เขาคงไม่มีเวลาให้กับศิษย์น้องแปดหรอก ส่วนศิษย์พี่รองเองก็เดินทางไปทั่วทั้งยุทธภพ แม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจที่จะล่วงรู้การเคลื่อนไหวของเขาได้ ศิษย์พี่รองไม่เคยอยู่เฉยอยู่แล้ว เพราะแบบนั้นศาลาปีศาจลอยฟ้าจึงเป็นที่ที่เหมาะสมที่สุดที่จะช่วยศิษย์น้องแปดได้”

“หลังจากที่ได้ยินแบบนี้แล้ว ข้ายิ่งไม่อยากที่จะพาศิษย์น้องแปดกลับไปกับข้าในตอนนี้” หมิงซี่หยินเพียงแค่ต้องการขัดใจสีหวู่หยา

“ถ้าแบบนั้นศิษย์น้องแปดจะต้องตาย”

“ปล่อยให้เจ้านั่นตายไปเถอะ”

ซู่ฮ่องกงที่ได้ฟังอยู่รู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก ‘แล้วข้าทำอะไรได้บ้าง? ‘ ตัวเขาได้ยืดหลังตรงก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเสียงดัง “ศิษย์พี่ทั้งสอง ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น นี่ถือว่าเป็นปัญหาของตัวข้า ข้าไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องอะไรกับศิษย์พี่ทั้งสองคนเลย”

“หุบปากไปซะ! ” สีวู่หยาและหมิงซี่หยินได้ตะคอกออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“…” ซู่ฮ่องกงที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่นั่งลง แม้ว่าตัวเขาจะไม่ชอบอะไรแบบนี้แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรได้

สีหน้าของสีวู่หยาได้สงบลงอีกครั้ง ตัวเขาได้จ้องมองหมิงซี่หยินก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์พี่จะนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยรอให้ศิษย์น้องแปดตายอย่างงั้นจริงๆ หรอ? “

ซู่ฮ่องกงไม่อยากที่จะพูดแทรกอีกต่อไป ในตอนนี้ตัวเขาได้แต่สับสนกับสิ่งที่ได้ยิน

หมิงซี่หยินรีบตอบกลับไป “ถ้าหากศิษย์น้องแปดตายจริง นั่นก็เพราะเจ้านั่นสมควรที่จะตายแล้ว ยังไงซะเจ้านั่นก็เป็นศิษย์ทรยศ”

สีหน้าของสีวู่หยาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ตัวเขาได้พูดตอบกลับมา “ถ้าหากเป็นแบบนั้นพวกเราก็จะปล่อยให้เจ้านั่นตาย”

การทะเลาะกับหมิงซี่หยินไม่ได้มีความหมายอะไร สีวู่หยาได้ลุกขึ้นก่อนที่จะออกไปยังฐานที่มั่นแห่งนี้

เมื่อเห็นสีวู่หยาจากไป หมิงซี่หยินก็ได้พูดออกมา “ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าน่ะควรจะรับฟังคำแนะนำจากข้า เจ้าน่ะควรหยุดที่จะทำแบบนี้ได้แล้ว…”

สีวู่หยาได้หยุดเดินกลางคัน ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ตอบกลับมา “ท่านอาจารย์คงจะมีอายุขัยเหลืออยู่ไม่เกิน 15 ปี ไม่สิ 10 ปี หรือไม่ก็อาจจะเร็วกว่านั้น ยังไงซะศาลาปีศาจลอยฟ้าก็จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมากมายอยู่ดี”

หมิงซี่หยินเองรู้เรื่องนี้ดี ตัวเขายังคงนิ่งเงียบไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป

สีวู่หยาได้ถามต่อไป “ศิษย์พี่สี่ แล้วท่านล่ะจะทำยังไงต่อจากนั้น? “

“เรื่องของอนาคตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตซะ”

“ลืมไปซะเถอะ…ลืมไปซะเถอะว่าพวกเราเคยพบกันที่นี่ในวันนี้” สีวู่หยาที่พูดเสร็จก็ได้ออกจากฐานที่มั่นไปอย่างรวดเร็ว

หมิงซี่หยินไม่ได้หยุดอะไรศิษย์น้องคนนี้ ด้วยความแข็งแกร่งรวมไปถึงพลังวรยุทธที่มีการจะจับตัวสีวู่หยาได้คงจะเป็นเรื่องที่ยากจนเกินไป หลังจากนั้นไม่นานหมิงซี่หยินก็ได้พูดออกมาอีกครั้ง “ยุบหุบเขาพยัคฆ์ของเจ้าและมากับข้าซะ! “

“ฮะ? “

“ไม่มีเวลามาฮะแล้ว…ท่านอาจารย์ได้สั่งให้ข้าพาตัวเจ้ากลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า” หมิงซี่หยินตอบกลับมาในทันที

ซู่ฮ่องกงที่ได้ยินแบบนั้นรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเดิม ตัวเขายังจำได้ดีว่าผู้เป็นอาจารย์เคยทำโทษอะไรตัวเขาเอาไว้บ้าง หลังจากนั้นซู่ฮ่องกงก็ได้แต่ส่ายหัวออกมา “ลืมไปซะเถอะ…ศิษย์พี่สี่ ทำไมท่านถึงต้องทำให้น้องชายคนนี้ตกอยู่ในที่นั่งลำบากด้วย” เมื่อพูดจบซู่ฮ่องกงก็ได้ถอยหลังไป

“ศิษย์น้องแปด…เจ้าคิดจะทำอะไรกัน? “

“ข้าขอโทษด้วยศิษย์พี่…ข้าไม่อยากที่จะกลับไปจริงๆ เพราะงั้นลาก่อน! ” ซู่ฮ่องกงหันหลังก่อนที่จะวิ่งในทันที!

รอยยิ้มจางๆ ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหมิงซี่หยิน “มาดูกันว่าเจ้าจะวิ่งไปได้ไกลสักแค่ไหน” หมิงซี่หยินเองก็รีบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะไล่ตามซู่ฮ่องกงไป

ซู่ฮ่องกงเป็นผู้มีพลังวรยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากจะพูดถึงความเร็ว เขาก็คงจะสู้กับหมิงซี่หยินผู้ที่มีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เลย

เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นหมิงซี่หยินก็ตามหลังซู่ฮ่องกงมาติดๆ หมิงซี่หยินไม่ลังเลเลยที่จะซัดฝ่ามือเข้าใส่ผู้เป็นศิษย์น้อง

ฝ่ามือของหมิงซี่หยินถูกหลังของซู่ฮ่องกงเต็มๆ เพราะแบบนั้นทำให้ซู่ฮ่องกงสะดุดไปด้านหน้า

“หืม? ” หมิงซี่หยินรู้สึกได้ว่าฝ่ามือของเขาถูกอะไรบางอย่างขัดขวางเอาไว้

ซู่ฮ่องกงเสียหลักเล็กน้อย ตัวเขาได้ลุกขึ้นมายืนก่อนที่จะออกวิ่งอีกครั้ง

“ขวางทางเขาไว้ซะ! “

“ท่านหัวหน้า ทางนี้! “

หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก แม้ว่าตัวพลังของตัวเขากับซู่ฮ่องกงจะห่างชั้นกันสักแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ไม่เคยคิดว่าผู้เป็นศิษย์น้องจะใช้วิธีนี้ การที่สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าทำตัวไม่เหมาะสมแบบนี้ถือว่าเป็นการสร้างความอับอายให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าตรงๆ

“ไม่มีที่ให้เจ้าหนีได้อีกแล้ว” เสียงของหมิงซี่หยินได้ดังไปทั่วหุบเขาพยัคฆ์

ซู่ฮ่องกงได้วิ่งไปที่ด้านหลังของหุบเขา

หมิงซี่หยินได้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนปรากฏตัวต่อหน้าซู่ฮ่องกงได้อีกครั้ง ในขณะเดียวกันเถาวัลย์ทั้งหลายก็เริ่มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว เส้นทางที่จะพาไปยังด้านหลังหุบเขาได้ถูกปิดลงด้วยเถาวัลย์พวกนั้น

ซู่ฮ่องกงได้เดินโซเซถอยกลับมา ‘นี่มันแย่แน่ๆ ‘

“ค่ายกลแปดทิศ! ” สีหน้าของซู่ฮ่องกงเปลี่ยนไป “ศิษย์พี่สี่ ข้าไม่อยากที่จะทำแบบนี้หรอกนะ! “

“อย่าคิดว่าเจ้าจะทำให้ข้าตกใจกลัวเพราะค่ายกลของเจ้าได้…อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน ในตอนนี้น่ะข้าเปลี่ยนไปมากแล้ว” หมิงซี่หยินได้เดินตรงมาพร้อมกับรอยยิ้ม

ซู่ฮ่องกงที่เห็นแบบนั้นอยากจะร้องไห้ เหล่าสาวกหุบเขาพยัคฆ์ที่อยู่ด้านหลังเองก็ได้แต่ตัวสั่นเช่นกัน

“ท่านหัวหน้า…ทำไม…ทำไมท่านไม่ยอมแพ้ซะล่ะ? “

ซู่ฮ่องกงที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก

หมิงซี่หยินได้พยักหน้าก่อนที่จะพูด “เจ้าเองจะต้องมีสติและรับฟังเหล่าสาวกของเจ้าสิถึงจะถูก”

เคล็ดวิชาเวหาพงพนาของหมิงซี่หยินได้รับการฝึกฝนจนถึงขั้นสุดยอดแล้ว เมื่อใดก็ตามที่หมิงซี่หยินเดินพลังลมปราณ เมื่อพลังลมปราณสัมผัสเข้ากับเถาวัลย์หรือพืชพรรณต่างๆ เมื่อนั้นมันจะเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วนั่นเอง

พลังเถาวัลย์พันธนาการของหมิงซี่หยินเคยใช้ต่อสู้กับผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 4 กลีบมาแล้ว ในตอนนี้ซู๋ฮ่องกงที่เป็นเพียงผู้มีพลังวรยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์คงจะไม่อาจต้านทานมันได้แน่

เสื้อคลุมวิถีเซนของซู่ฮ่องสามารถลดความเสียหายที่ได้รับในระดับหนึ่งได้เท่านั้น มันไม่ได้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งอะไรให้เกับตัวของผู้ใช้ได้ ซู่ฮ่องกงทำได้เพียงแต่จ้องมองหมิงซี่หยินที่กำลังเดินเข้ามาอย่างหมดหนทาง ถึงแม้ว่าจะมีพลังจากค่ายกลแปดทิศ แต่ถึงแบบนั้นความห่างชั้นระหว่างตัวเขากับผู้เป็นศิษย์พี่คนนี้ก็ยังต่างกันจนเหมือนกับฟ้าและเหวอยู่ดี

ซู่ฮ่องกงรู้สึกเหมือนอยากที่จะร้องไห้ ในตอนนี้เส้นทางการหลบหนีทั้งหมดถูกตัดขาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ศะ…ศิษย์พี่…”

หมิงซี่หยินตบไหล่ของเขาเอาไว้ เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ “แค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ” หลังจากพูดเสร็จหมิงซี่หยินก็ได้หันไปพูดกับสาวกของหุบเขาพยัคฆ์ก่อนที่จะพูดประกาศออกมาอย่างเสียงดัง “พวกเจ้าทุกคนนับตั้งแต่จากนี้ไปหาหนทางอื่นเพื่อเลี้ยงชีพซะ! “

“ท่านหัวหน้า! “

“ท่านหัวหน้า! “

หมิงซีหยินตกใจมากเมื่อเห็นเหล่าสาวกผู้ขี้ขลาดคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน

ซู่ฮ่องกงกวาดสายตามองไปที่พวกเขาก่อนที่จะพูดออกมา “แบ่งของมีค่าในฐานที่มั่นซะ…พวกเจ้าจงเก็บของที่มีและแยกย้ายได้! “