ตอนที่ 30 ฤดูที่อยู่ในนรก(2)

Dungeon Defense

ผมยังคงจินตนาการถึงความเกรี้ยวกราด ป่าเถื่อนและโหดร้ายจากสถานที่ที่นึกภาพว่า เป็นโลกปีศาจ แต่ในที่สุดผมก็รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดจากทุกสิ่งที่ลาพิสบอกผม เช่นเดียวกับเมืองที่เจริญก้าวหน้าแล้วโลกปีศาจเองก็หรูหราเช่นกัน

ก่อนที่จะให้ลาพิสนำผมไปสู่ดินแดนที่ป่าเถื่อนทั้งหมด? การที่ผมจะได้พักจริงๆนั้น ต้องจัดเก็บกวาดสนามหญ้าหน้าดันเจี้ยนก่อนจะไปพัก

ผมหมายถึงอะไรอย่างนั้นหรือ?

“อะ-โอ้ ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ อะไรนำท่านผู้ยิ่งใหญ่มาสู่สถานที่อันต่ำต้อยเช่นนี้?”

ชายแก่ที่มีผมขาวพูดออกมาขณะที่คุกเข่าลงกับผืนดิน ใกล้นั้นเองมีผู้คนนับร้อยคนต่างคุกเข่าหน้าแนบพื้นเช่นเดียวกับชายแก่ พวกเขาเป็นเกษตรกรอบป่า พวกเขาคือ ผู้คนที่ทำฟาร์มและใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาที่ปกติเต็มไปด้วยสัตว์และมอนสเตอร์ ดังนั้นพวกเขาจึงมีความกล้าหาญมากกว่าคนทั่วไป

เหตุผลที่พวกเขาคุกเข่าต่อหน้าผมนั้นง่ายมาก เพราะมีโกเลม 30 ตัวมาล้อมรอบพวกเขา มันเป็นกองกำลังที่ผมจัดหามาได้จากการเงินทั้งหมด

ด้วยสกิลการแสดงที่ผมสั่งใช้นั้น ผมพูดออกไป

“ต่ำต้อย? นี่เจ้าพึ่งบอกว่า ที่นี่ต่ำต้อย?”

“ใช่”

“เงยหน้าขึ้น,มนุษย์”

ชายแก่ยกหัวขึ้นอย่างเชื่องช้า เหมือนกับสันทัพพีตัวข้าว ใบหน้าสีแทนที่เต็มไปด้วยรอยย่น มันเป็นใบหน้าของชีวิตที่ซื่อตรงและทำงานหนัก

ผมรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่ผมก็ยังคงใช้น้ำเสียงก้าวร้าวในการทำให้เป้าหมายสำเร็จลุล่วง ความประทับใจแรกสำคัญ ผมไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองถอยหลังง่ายๆ

“ทื่นี่คือ เขตของข้า! บาปที่เจ้าเรียกดินแดนของข้าว่าสถานที่ต่ำต้อยนั้นหนักหนานัก!’

สีหน้าชายแก่ย้อมไปด้วยความประหลาดใจแกมพิศวง มันเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เขาจะงุนงงเป็นที่สุด นับตั้งแต่มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกลุ่มมอนสเตอร์แล้วก็อ้างสิทธิว่า ‘นี่ที่ คือ ดินแดนของเขา’

นี่คือ การควบคุมกระแสประเภทหนึ่ง

เริ่มต้นจากที่นี่เป็นหมู่บ้านที่ถางป่าทำสวนทำไร่ ก็จะมีหมู่บ้านอยู่รายล้อมดันเจี้ยนเช่นกัน นักผจญภัยทั้งหลายต่างก็พักในหมู่บ้านหลายต่อหลายวันเพื่อคลายความเหนื่อยล้า ก่อนจะบุกเข้ามาในดันเจี้ยนของผม

ชาวบ้านพวกนี้เองที่จะหารายได้จากนักผจญภัยเหล่านั้นผ่านค่าที่พัก ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นภัยคุกคามทางอ้อมของผม ผมได้พิจารณาแล้วว่าควรจะจัดการกับพวกเขาสักระยะหนึ่ง แต่ก็ตัดสินใจที่จะข่มขู่พวกเขาไว้ก่อนจะไปเที่ยงในทวีปปีศาจ

“อะ-โอ้ ตัวตนอันยิ่งใหญ่”

“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้ายังอาศัยอยู่ในเขตแดนของข้าโดยมิได้รับอนุญาต เท่านี้บาปของเจ้าก็ลึกไปถึงก้นนรกแล้ว!”

“พวกเราขออภัย พวกเราขออภัย! แต่พวกเราไม่รู้”

ชายแก่ก้มหัวลงกับพื้นโดยที่ผมไม่ต้องสั่ง

“ประเทศแถวนี้หลีกเลี่ยงที่นี่เพราะชุกชมด้วยมอนสเตอร์ แม้จะมีภาษีที่ขูดเลือดขูกเนื้อเหมือนแวมไพร์จากจักรวรรดิจะมาไม่ถึงก็ตาม แต่ได้โปรดให้อภัยพวกเราที่หนีมายังเขตภูเขาเพื่อหนีลี้จากภาษีที่สูงและการขู่เข็ญบังคับด้วยเถิด……”

“หาาาา ข้ออ้างว่าตัวเองเป็นเหยื่อของเจ้ามันน่ารังเกียจนัก พวกเจ้าก็รู้ดีว่า ฐานพักของข้าอยู่ในบริเวณใกล้นี่ นักผจญภัยพวกนั้นก็ตบเท้าเข้ามาหา ถึงแม้จะอย่างนั้น พวกเจ้าเองไม่ใช่รึไง ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้พวกมันน่ะ?”

หัวหน้าหมู่บ้านยกหัวขึ้น

“อ่า ตะ-แต่เรื่องนั้น”

“พูดความจริงออกมา!”

“โอ้ ท่านตัวตนผู้ยิ่งใหญ่……การอาศัยอยู่ในหุบเขานั้นลำบากอย่างมาก หากไม่มีใครเข้ามาหา มาเยี่ยมเยียนและจ่ายค่าที่พักเลย พวกเราก็จะอยู่กันไม่ได้ พะ-พวกเราไม่มีทางเลือกเพื่อเอาชีวิตรอด ได้โปรดเมตตาพวกเราด้วย!”

ผมตะคอกทันที

“อ๋อ ชีวิตพวกแกอยู่กันอย่างยากลำบาก ดังนั้นเลยตัดสินให้ชีวิตข้าอยู่ในภัยคุกคามแทนสินะ? พวกแกกล้าดียังไงกัน ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เลยสินะ”

ผมยกมือขวาขึ้น พอผมทำแบบนั้น โกเลมที่ล้อมรอบชาวบ้านอยู่ก็ก้าวเข้ามา พื้นสั่นสะเทือนเมื่อ โกเลมทั้ง 30 ตัวก้าวพร้อมเพรียงกัน ชาวบ้านตื่นตระหนก บางส่วนก็หวีดร้องออกมา

“อ้ากกก,ไว้ชีวิตเราด้วย!”

“ให้อภัยเราด้วยเถอะ!”

แหมตัวผมนี่ แม้จะเจ็บปวดที่ต้องเห็นอย่างนี้ แต่ในฐานะมนุษย์ ไม่มีเหตุผลสำหรับเขาที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับนักผจญภัยที่มาได้รับคำขอปราบปรามจอมมาร คิดแบบนั้นมันไม่ผิดเลยสำหรับการรับรู้ว่า จอมมารเป็นเหมือนลาสบอสของมนุษย์

“ได้โปรดเถอะ ตัวตนอันยิ่งใหญ่! พวกเราขออภัย! พวกเราจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว…….”

“แม้ข้าจะฆ่าพวกเจ้าจนหมดสิ้น ความโกรธก็ไม่อาจบรรเทาลงได้!”

ผมเห็นเหงื่อของหัวหน้าหมู่บ้านไหลลงคออย่างชัดเจน

ผมตั้งใจพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล

“⎯⎯⎯ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย”

“โอ้!”

หัวหน้าหมู่บ้านยกมือทั้งสองขึ้น

“ขอบคุณ ขอบคุณมากๆ!”

“จงจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ข้ามิใช่ผู้ที่ใจกว้างอย่างไม่มีประมาณ เมื่อพวกเจ้าก่ออาชญากรรมทำผิดไป พวกเจ้าต้องแสดงความสำนึกผิดก่อน”

“โอ้ แน่นอน มันต้องเป็นเช่นนั้น! บอกมาเถิดพวกเราควรทำอย่างไรดี”

ผมหยิบออร์บสีฟ้าออกมา แล้วโยนเบาๆ หัวหน้าหมู่บ้านรับไว้อย่างเงอะๆงะๆ

“สิ่งนี้ คืออะไร……?”

“กลุ่มนักผจญภัยจะมายังหมู่บ้านของเจ้า ทำเหมือนทุกทีที่เจ้าทำ ให้ที่พักให้อาหารพวกเขา แต่ถึงอย่างนั้นจงแตะที่ออร์บนี่สี่ครั้ง ทันทีที่พวกเขามาถึง ”

ผมยิ้ม

“หากเจ้าทำเช่นนั้น ลูกน้องที่ไว้ใจได้ของข้าที่แทรกซึมอยู่ในหมู่บ้านพวกเจ้ายามราตรี จะลอบสังหารพวกนักผจญภัยเหล่านั้นเอง หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะไม่เสียทั้งรายได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหักหลังข้าด้วย เจ้าไม่ต้องมอบชีวิตแทนคำขอโทษ”

ใช่แล้ว นักผจญภัยที่บุกเข้ามาจากตอนนี้จะมีเลเวลที่สูงขึ้น ถ้าหากผมสามารถสร้างระบบแบบนี้ไว้กับหมู่บ้านรอบดันเจี้ยนก่อนพวกเขามา เมื่อนั้นผมก็ไม่ต้องจัดการกับพวกเขาเหล่านั้น หัวหน้าหมู่บ้านได้สรรเสริญถึงความใจกว้างของผมทั้งน้ำตา

ผมรู้ดีว่า หากไม่ให้ผลประโยชน์เพิ่มให้เลย พวกเขาก็อาจฉีกสัญญาโดยง่าย ถ้าพวกเขาตัดสินแล้วว่า ปาร์ตี้นักผจญภัยสามารถจัดการผมได้ เขาก็ไม่ลังเลที่จะย้ายฝั่ง

“นี่คือ สัญญาของข้า ถ้าเจ้าละเมิดสัญญานั้น ข้าก็จะฆ่าพวกเจ้าทิ้งทั้งหมด”

ผมยังเพิ่มสิ่งพิเศษให้ สิ่งที่จะสร้างกำไรอย่างแน่นอน สิ่งที่จะป้องกันมิให้ทรยศผม

“หากเจ้ายังรักษาสัญญานี้ไว้ได้ เมื่อนั้นข้าจะให้การคุ้มครองความปลอดภัยแก่พวกเจ้า”

“ความปลอดภัย?”

“ข้าได้ยินมาว่า หมู่บ้านนี้พบอันตรายจากมอนสเตอร์บ่อยครั้งนี่”

“ใช่ครับ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ชายหนุ่มแข็งแรงในหมู่บ้านโดนก็อบลินกัดตาย”

“หากเจ้าเลือกที่จะรักษาข้อเสนอ ข้าสัญญาว่า หมู่บ้านเจ้าของไม่ถูกโจมตีด้วยมอสนเตอร์อีก”

“จะ-จริงหรือครับ!?”

สีหน้าของชายแก่เปลี่ยนไป จากที่เกือบจะถูกโกเลมฆ่า ตอนนี้เขาได้รับข้อเสนอที่จะปกป้องจากมอนสเตอร์แทน

ผมถลึงตาใส่

“ข้าเป็นราชาแห่งเหล่ามอนสเตอร์ นี่เจ้าสงสัยคำพูดข้ารึ??”

“ไม่! แน่นอนว่าไม่! มะ-มัน มันช่างเป็นข้อเสนอที่ยิ่งใหญ่มาก”

“จงรู้ไว้ว่า ข้าเป็นผู้ยุติธรรม”

ผมดึงลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะตะโกนออกมา

“นามของข้าคือ ดันทาเลี่ยน! ข้าเป็นจอมมารลำดับที่ 71 ข้าเป็นนายเหนือหัวแห่งโรคระบาดทั้งหลายและเหล่ามอนสเตอร์”

ข้านั้นใจกว้างเสมอให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา และโหดร้ายต่อศํตรู หากพวกเจ้ากลายเป็นลูกน้องผู้จงรักภักดี เมื่อนั้นข้าจะมอบผลประโยชน์และความปลอดภัยให้!”

ผมสงสัยว่า การแสดงได้ผลไหม

“จากนี้ไปมอนสเตอร์จะไม่โจมตีพวกเราแล้ว!”

“พวกเราปลอดภัยแล้ว!”

“มาแสดงความสรรเสริญฝ่าบาทดันทาเลี่ยนเถอะ ฮูเร่ ฮูเร่!”

ชาวหมู่บ้านนั้นกู่ร้องเชียร์พร้อมเพรียงกัน ถึงอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่า งานเสร็จแล้ว

เกือบทั้งสัปดาห์ ผมไปรอบทั่วทุกหมู่บ้านใกล้ดันเจี้ยน มี 12 หมู่บ้านเล็กๆที่ตอบรับผม โกเลม30ตัวนั้นทรงพลังมาเกินกว่า หมู่บ้านเล็กๆจะรับมือไหว แต่ยิ่งกว่านั้นคือ ข้อเสนอเรื่อง กำจัดภัยคุกคามของมอนสเตอร์นั้นเย้ายวนใจพวกเขาเป็นอย่างมาก

ผมมองหาหมู่บ้านที่เป็นเหมือนระบบเตือนภัยผู้บุกรุกล่วงหน้า รวมถึงผมยังบอกมอนสเตอร์รอบๆดันเจี้ยนของผมว่า

‘นับแต่นี้อย่าโจมตีผู้คน! เพราะมันเป็นข้อตกลงกัน การทำแบบนี้มีแต่ผลดีและประโยชน์มากมาย’

มีหลายครั้งที่มอนสเตอร์รอบดันเจี้ยนพยายามสู้กลับ พวกมันแตกต่างจากมอนสเตอร์ที่ผมซื้อมาจากระบบ พวกมอนสเตอร์ป่าเถื่อนนั้นดุร้ายโดยกำเนิด แต่มันไม่เป็นปัญหาใหญ่ ผมจึงกำจัดและกวาดล้างพวกที่ต่อต้านด้วยโกเลม

มันเป็นอย่างนั้นได้เพราะไม่มีตัวไหนคู่ควรกับระดับจอมมารลำดับ71 เลยด้วยซ้ำ อย่างเก่งที่สุดก็เป็นแค่กลุ่มก็อบลินระดับต่ำ

เสียงถอนใจดังออกมา นี่คือ สาเหตุที่ทำไมดันเจี้ยนของดันทาเลี่ยนนั้นจึงปรากฏออกมาในช่วงต้นเกมของ เท่านั้น

“เอาล่ะ ในที่สุดก็เสร็จงานแล้ว!”

หลังจากได้รับคำมั่นสัญญาจากเหล่ามอนสเตอร์ที่อยู่รอบๆ ผมยืดเหยียดกาย ความรู้สึกสบายอกสบายใจหลังทำงานเสร็จโผล่ขึ้นในอก ตอนนี้ผมพักได้แล้ว!

แต่ผมยังมีคำถามหนึ่งเหลืออยู่

‘มันแปลกดีที่ พวกก็อบลินนั่นสู้ไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว’

ไม่สำคัญว่า เผ่าก็อบลินจะเลเวลเท่าไหร่ ผมก็ยังแอบคาดหวังว่า จะได้ต่อสู้อย่างสมเหตุสมผลบ้าง แต่พวกมันไม่สามารถ แม้แต่จะแตะต้องผมเพียงปลายเล็บ

ไม่ทันเริ่มสู้พวกมันก็ถูกกำจัดโดยโกเลมทันที

อ่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ควรบ่นกับสิ่งดีสินะ

ผมสังเกตโกเลมของตัวเองก็พบว่า พวกมันแข็งแกร่งขึ้น ในตอนนี้ เลเวลเฉลี่ยของโกเลมใต้บัญชาของผมคือ 5 เมื่อมันเลเวลอัพ จะมีการสุ่มค่าสแคทเพิ่มขึ้น 1 โกเลมระดับต่ำของผมที่มีค่าสแตทเริ่มต้นคือ 7/5/5 (HP/พลังโจมตี/พลังป้องกัน) ตอนนี้เลเวลอัพ แล้วพวกมันก็มีค่าสแตทราวๆ 7/7/7แล้ว

หากอ้างอิงกับ สแตทของริฟ หัวหน้านักผจญภัยหมู่บ้านเจลเซ่น ที่เป็น 6/5/2 สำหรับนักผจญภัยแร๊งFที่เก่งกว่า ค่าสแตทของริฟไม่ได้พิเศษตรงไหน โกเลมของผมนั้นแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับ นักผจญภัยแร๊งEได้แล้วตอนนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เลเวลเฉลี่ยของแฟรี่คือ 3 สามารถที่จะกำจัดปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊งEได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ

‘ถึงปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊งEก็อาจโผล่มาตอนผมไม่อยู่ก็ตาม แต่ลอร่าก็สามารถจัดการพวกเขาได้โดยง่าย’

ความกังวลของผมจางหายไป ไม่มีทางที่ดันเจี้ยนที่มีแต่นักผจญภัยแร๊งF อยู่ๆจะมีนักผจญภัยแร๊งCหรือD มาเยี่ยมเยียนหรอก

ผมทิ้งการบริหารจัดการดันเจี้ยนให้ลอร่าก่อนจะออกไปพักร้อนในโลกปีศาจ

ณ ตอนนั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สิ่งที่ทำไปจะให้ผลกระทบใดกลับมา

* * *

ลาพิสกลืนน้ำลาย

บุคคลที่สงบนิ่งและสงวนทีท่าอยู่ตลอดเวลากลับตกอยู่ในความประหม่า

มีสุภาพบุรุษผมสีเทา นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ต่อหน้าเธอ ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยชุดแมนเทิ่ลสีดำ แต่ใบหน้าซีดของเขาทำให้เขาดูเหมือนเป็นคนผอมอย่างมาก มันให้ความรู้สึกเหมือนมีโรคร้ายไหลซึมออกมาจากตัวเขา ยิ่งไปกว่านั้น น้ำเสียงสงบของเขานั้นราวกับว่าทำให้ผู้คนที่อยู่รอบๆตกอยู่ในอาณัติ

คนผู้นี้คือ หัวหน้าสูงสุดของบริษัทเคียนคุสก้า

อิวาร์ ล็อดบรอค(Ivar Lodbrok)

ท่ามกลางหมู่แวมไพร์ เขานั้นเป็นหนึ่งในแวมไพร์ลอร์ดที่แสนหายาก สัตว์ประหลาดที่เหนือสัตว์ประหลาดอื่นที่อาศัยอยู่มานานกว่า 2,000 ปี

“ลาพิส ลาซูลิ เธอดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วนะ ว่าทำไมตอนนี้ถึงต้องมาอยู่หน้าเรา”

“ค่ะ,หัวหน้า”

ลาพิสก้มหัวต่ำลงตามมาตรฐานปกติ

“ดิฉันเชื่อว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับจอมมารดันทาเลี่ยนค่ะ”

“ดูเหมือนตัวเธอจะยังขาดไปอย่างมาก”

วิธีที่ลาพิสก้มหัวโค้งเป็นมุมที่สมบูรณ์ดีแล้ว แต่ยังไม่อาจทำให้เขาพอใจ มุมปากอีวาร์ขยับขึ้นเล็กน้อย การแสดงสีหน้านั้นมันไม่ใช่ทั้งความสบายใจหรือความเมตตาสงสาร

หากจะเป็นอะไร มันคงเป็นความประทับใจแรกพบที่น่าหน่าย มีเพียงมุมปากของเขาที่ขยับ ไม่มีส่วนใดของใบหน้ากระตุกเลยแม้แต่น้อย

“ก่อนหน้านี้,โทรุเคล(Torukel)ไปหาเขาเป็นการส่วนตัว แต่ถึงอย่างนั้น ก็ถูกปิดประตูใส่หน้า ภายใต้ข้ออ้างที่ว่า เขาจะทำการค้ากับเธอเท่านั้น,ลาซูลิ อย่างที่คาดไว้สำหรับพวกคนกลางคืน”

“…….”

อิวาร์ยั่วยุทางอ้อมด้วยการถามเป็นนัยว่า เธอได้ล่อลวงจอมมารด้วยเทคนิคของผู้หญิงกลางคืน

คำเยาะเย้ยตรงยังลาพิส ลูกครึ่งซัคคิวบัส แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดกับลาพิส เธอยังคงโค้งหัวให้อยู่ คล้ายกับการเยาะเย้ยถากถางพวกนั้นเป็นเหตุการณ์ประจำวันสำหรับเธอ

ซัคคิวบิ กะหรี่แห่งโลกปีศาจ

ยิ่งไปกว่านั้น ยังข้ามสายเลือดไปผสมกับเลือดสกปรกๆของมนุษย์อีก

“โอ้? ดูเหมือนตัวเธอจะรู้จักการจัดการอารมณ์”

“ดิฉันเป็นพนักงานของเคียนคุสก้าค่ะ”

อิวาร์หัวเราะออกมา

“ถูกแล้ว เธอเป็นอย่างนั้นจริง นี่ถ้าหากพวกพ่อค้าของเคียนคุสก้าเป็นอย่างนี้กันหมด คงไม่ยากต่อการทำกำไร และการสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้คน

ในเรื่องนั้น เธอสอบผ่าน

แล้วนี่เราจะไม่ยกย่องกับพนักงานปีศาจระดับ 4 ดาดๆที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากความกล้าล้วนๆได้อย่างไรเล่า?”

เสียงของบางอย่างหล่นลงที่พื้นสะท้อนดังไปทั่วทั้งห้อง

“เธอเงยหน้าขึ้นได้”

ลาพิสเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า ถุงกระเป๋าขนาดใหญ่ตกลงตรงข้างเท้าอีวาร์ มันเป็นถุงเงินที่ใช้ในบริษัทเคียนคุสก้า เพื่อพิจารณาดูจากขนาดแล้ว แน่ชัดว่าต้องมีเงินมากกว่า 100 โกลด์อยู่ในนั้น

“นี่คือรางวัลของตัวเธอ รับไปสิ”

ตอนนี้อิวาร์นั่งบนเก้าอี้ ถุงเงินนั้นวางอยู่ระหว่างขาของเขา การที่เขาบอกให้เธอมารับรางวัลไปจากตรงนั้น นั่นหมายถึง เขากำลังบอกให้เธอ ‘คลาน’ มาหาเขาเพื่อรับรางวัล

แม้แต่กับกะหรี่ข้างถนน ยังไม่มีอะไรหยาบคายได้ถึงเพียงนี้

เจตนาที่จะทำให้อับอาย

“ค่ะ”

ถึงกระนั้น ลาพิสก็ยังตอบรับอย่างเยือกเย็น

เธอคลานสี่ขาไปบนพื้นไปหาแวมไพร์ลอร์ดราวกับสัตว์ ชุดยูนิฟอร์มบริษัทเคียนคุสก้าที่แนบกับร่างทำให้ก้นของเธอถูกขับเน้น อิวาร์มองเธอคลานเข้าหาเขาด้วยความเพลิดเพลิน

แม้จะเป็นอย่างนั้น เธอก็ยังมุดหัวเข้าไปในหว่างขาของอิวาร์ เธอยังคงหยิบถุงเงินมาด้วยความเคารพ ก่อนจะหมุดหัวต่ำลงไปอีก

“ขอบคุณมากค่ะ”

เมื่อนั้นเอง ในขณะที่เธอกำลังจะดึงเงินออกมา อิวาร์ก็พูดขึ้น

“ถอดออกซะ”

เสียงเย็นกระซิบข้างหูเธอ