บทที่ 219 รอจนถึงวันที่ท่านกลับมา
พริบตาเดียว ชิงหลานเฟยก็เฝ้าเตียงน้ำแข็งมานานสองเดือนเต็มแล้ว
นางทรมานจากการมีวิญญาณไม่ครบส่วน ทั้งพลังบำเพ็ญที่มีตอนนี้ก็ยังไม่ถึงครึ่งของแต่ก่อน เมื่อถูกไอเย็นยะเยือกจากเตียงน้ำแข็งมานาน กายนางจึงเย็นลงเรื่อย ๆ วันเวลาผ่านไปใบหน้ายิ่งซีดขาว
นางรู้ว่าร่างกายนางยังไม่สมบูรณ์ อาจจะรั้งอยู่ได้ไม่นาน จำต้องคอยรวมเศษวิญญาณ ไม่เช่นนั้นร่างจะไม่อาจทนไหว ถูกทำลายสลายจนไม่เหลืออะไร
วันนี้นางรู้สึกร่างร้อนรุ่นราวกับสุมไฟ แม้กายนางจะเย็นเฉียบก็ตาม ภายในกายนางรู้สึกร้อนรุ่ม แต่ก็มีไอเย็นเสียดเข้ากระดูก ทรมานจนต้องยกแขนกอดตนเอง กัดริมฝีปากข่มจนซีดขาว
ร้อนจัง….. ไม่สิ หนาวจัง ทรมานจนเหมือนจะตาย
“หลานเฟย กลับมา กลับมาก่อน…..”
ไม่รู้ว่าเสียงนั้นมาจากไหน มันเต็มไปด้วยความกังวลและพลังลึกล้ำ ส่งเข้ากระทบร่างนาง
ภายในหัวรู้สึกปวดแปลบขึ้นมา ร่างบางพลันเกร็งขึ้นทันที นางเหยียดร่างตรง ก่อนจะหมดสติไปแล้วค่อย ๆ ฟุบลงมา
ร่างที่ฟุบลงบนเตียงน้ำแข็งค่อย ๆ แข็งอย่างช้า ๆ ชั้นน้ำแข็งเริ่มก่อตัวที่ปลายนิ้ว พริบตาเดียวทั้งแขนก็แข็งไป สถานการณ์เริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่นานน้ำแข็งก็ลามไปกว่าครึ่งร่าง ทั้งยังไม่หยุดขยายส่วน
ทันใดนั้น แสงสีทองส่องสว่างก็แผ่ออกจากเตียงน้ำแข็ง ละลายน้ำแข็งบนร่างนางทันที ชายหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่กว่าร้อยปีราวกับตายไปแล้วขนตากระตุก จากนั้นเปลือกตาก็ค่อย ๆ เปิดขึ้น
แสงแปลกประหลาดส่องอยู่ในนัยน์ตาสีหมึกดำอยู่ชั่วขณะ ก่อนมันจะค่อย ๆ สงบลง
เป็นตอนนั้นเองที่มีเรื่องประหลาดเกินขึ้นบนแดนเมฆาสวรรค์ ฟ้ากว้างไร้เมฆสักก้อน หากแต่พลันมีเสียงฟ้าคำรามลั่น ลมแรงกรรโชก ฝนพลันกระหน่ำลงมา เป็นเช่นนั้นอยู่นาน เกิดความโกลาหลไม่หยุดหย่อน
“ในที่สุดเขาก็ฟื้นแล้ว…..”
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ร่างกายเขาถึงจะตอบสนองได้
ม่อจิ่งอวี้ลืมตาขึ้น หลังจากนอนมึนอยู่ครู่หนึ่งนัยน์ตาก็มีจุดศูนย์รวม เขาลองขยับแขนน้อย ๆ รู้สึกถึงสัมผัสนิ่มมือ สีหน้าเขาผงะตกใจไปบ้างแล้วหันไปมอง ภาพใบหน้างามที่คุ้นตาจนราวกับจะสลักลึกลงในกระดูกฉายชัดในสายตาลึกถึงจิตใจในทันที
เขาใช้ชีวิตเหมือนคนตายมานับร้อยปี ครึ่งแรกหมดไปกับหารหลับลึก ครึ่งหลังคือการที่ร่างกายเขาพยายามฟื้นฟูบาดแผล ร่างกายไม่อาจฟื้น หากแต่จิตใจนั้นยังคงอยู่
เขายังไม่ลืมน้ำเสียงที่จู่ ๆ ก็ได้ยินเมื่อหลายเดือนก่อน มันเป็นน้ำเสียงคุ้นเคยจนเขาอยากหลั่งน้ำตา
เป็นเสียงเฟยเอ๋อร์ของเขา คนที่เขารักลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ
มันไม่ใช่ความฝัน มันสมจริงนัก นางกุมมือเขาไว้ คอยอยู่ข้างกายเขา พูดคุยกับเขา แม้เข้าจะไม่อาจตอบกลับหรือขยับร่างได้ แต่ในใจก็มีพลังมากมาย ยินดีจนใกล้จะฟื้นคืนสติในอีกไม่นาน
อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะเสียงของเฟยเอ๋อร์ที่ทำให้เขาฟื้นคืนสติรวดเร็วเช่นนี้ นางคอยกล่าวปลอบประโลม มอบพลังความแข็งแกร่งให้เขา
แล้วมีหรือที่จะไม่รู้สึกดีได้
แม้ตอนนั้นเขาจะบาดเจ็บหนักจนต้องนอนราวกับคนตายมานาน แต่เขาก็ไม่เคยเสียใจที่ทำเช่นนั้น
นับตั้งแต่คราแรกที่ได้พบนาง เขาก็สัญญากับตนเองแล้วว่าจะรักเพียงนาง ปกป้องเพียงนาง ใช้ชีวิตอยู่ตายกับนาง ไม่แยกจากกันตลอดไป
“เฟยเอ๋อร์…..” เขาร้องเรียกเสียงเบา พยายามไม่ทำให้ร่างน้อยตรงหน้าตกใจ
น้ำเสียงทุ้มน่าฟังแหบห้าวอยู่บ้างเนื่องจากไม่ได้เอ่ยคำมานาน
หากแต่น้ำเสียงลึกซึ้งนั้นกลับไม่อาจทำให้ร่างที่ฟุบอยู่ข้างเตียงกระดิกสักนิด ม่อจิ่งอวี้อดกังวลไม่ได้ เขาลังเลอยู่บ้าง แต่ก็เอื้อมมือไปไล้หน้านาง
หากแต่เพิ่งแตะโดนก็ต้องตกใจที่มันเย็นเฉียบเหลือเกิน
ทำไมเป็นเช่นนี้เล่า?
เขาเลื่อนมือไปแตะข้อมือนาง พลันเข้าใจทันที เป็นเพราะเขาฟื้นขึ้น ทำให้หัวใจที่มีน้ำแข็งห่อหุ้มระบายพลังออกมา แช่แข็งทุกอย่างรอบกาย เปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นก้อนน้ำแข็ง นางเองก็เช่นกัน
รู้เช่นนี้ม่อจิ่งอวี้ก็ไม่รีรอ แม้จะเพิ่งฟื้น ร่างกายยังขยับได้ไม่เต็มที่ แต่การอุ้มร่างเล็กก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างไร
ใช้แรงไม่มาก เขาก็ช้อนร่างชิงหลานเฟยขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด ให้ร่างนางแนบอก จากนั้นก้มลงจุมพิตริมฝีปากเย็นเฉียบนั้น ดูดเอาไอเย็นในกายนางออก
อยู่ใกล้กันเช่นนี้ทำให้เห็นใบหน้าซีดของชิงหลานเฟยค่อย ๆ มีสีเลือดกลับคืนมา ใบหน้างามล่มเมืองยิ่งดูงามจับตาขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่อาจละสายตา
ม่อจิ่งอวี้เป็นห่วงคนในอ้อมแขน หมายจะดึงเอาไอเย็นในร่างนางออกมาเท่านั้น หากแต่จุมพิตยาวนานพลันกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างในร่างเขาขึ้นมา
นัยน์ตาเขาล้ำลึกขึ้น เขาไม่ได้ใกล้ชิดกับเฟยเอ๋อร์มานานแล้ว…..
และเมื่อปีศาจในร่างเขาเริ่มกางกรงเล็บ เขาก็ไม่อาจหักห้ามมันไว้ได้อีก เริ่มบุกรุกเข้าไปในปากของหญิงสาว ตักตวงเอาความหวานล้ำภายในที่เป็นของเขา
“อึ่ก…..”
ชิงหลานเฟยเพิ่งจะฟื้นคืนสติก็ตกใจเกือบสำลัก ใบหน้าเขาอยู่ใกล้มาก ทั้งลมหายใจนางยังถูกเขาฉกชิงไป
นางเหม่อลอยไปอย่างหาได้ยาก ถูกครอบงำโดยแรงจูบทรงพลังที่บุกรุกไม่หยุดยั้ง ก่อนนางจะกะพริบตาไม่อยากเชื่อ “จิ่งอวี้….. เป็นท่าน….. จริงหรือ?”
นางฝันไปหรือไร?
เมื่อครู่เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่เลย
แล้วตอนนี้….. เขากลับฟื้นขึ้นมาอยู่ตรงหน้านางดูสบายดีนัก ทั้งยังชิงจูบนางตอนนางไม่รู้สึกตัวอีกหรือ?
เขากอดนางเป็นการตอบกลับ เป็นอ้อมกอดที่วงแขนรักแน่นจนนางแทบจะรวมร่างกับเขา กลายเป็นหนึ่งเดียวไม่แยกจากกันอีก
ชิงหลานเฟยยกสองมือขึ้นโอบรอบเอวเขา ใบหน้าเล็กซุกเข้าที่ซอกคอ ดีใจที่ได้สิ่งที่สูญหายกลับคืนมา นางพลันพึมพำเสียงเบา “ข้ารู้….. ข้ารู้ว่าท่านต้องกลับมา ว่าท่านไม่มีทางทิ้งข้าไว้”
“เจ้าตัวโง่งม ข้าจะทนทิ้งเจ้าไปได้หรือ?” ม่อจิ่งอวี้ถอนหายใจพลางกระซิบบอก จุมพิตที่กระหม่อมนางด้วยความรักใคร่
“ขอข้าดูหน่อย”
ชิงหลานเฟยบิดร่างออกจากอ้อมกอด แต่ยังกุมมือเขาไว้ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ดวงตาน่ามองและใบหน้าไร้ที่ตินั่นก็ยังมองเพียงนาง ไม่อาจละสายตาจากนางไปได้
นางส่งสายตาอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรักตอบกลับไป ทำเอาใจเขาแทบละลาย
ม่อจิ่งอวี้เอ่ยเสียบแหบห้าว “เฟยเอ๋อร์ อย่าจ้องข้าแบบนั้น”
“ข้าอยากมองท่านแบบนี้ตลอดไป” ชิงหลานเฟยว่า ไม่ปิดบังความคิดถึงที่นางมีสักนิด
ม่อจิ่งอวี้จึงกล่าว “เจ้าก็รู้ว่าข้าต้านทานเจ้าไม่ได้เลย”
“แล้วท่านต้านทานอะไรอยู่หรือไร?” ชิงหลานเฟยเลิกคิ้ว สองแขนนางโอบรอบคอเขาหลวม ๆ ทิ้งน้ำหนักตัวไปทางเขาเต็มที่
หากแต่การกระทำไร้จุดประสงค์ของนางกลับทำให้ชายหนุ่มถูกนางทำให้หลงใหลอย่างไม่อาจต้านทาน
ม่อจิ่งอวี้หัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ยเสียงแหบขึ้น “ข้าเพิ่งฟื้น ไม่ได้เคลื่อนกายขยับตัวนาน ยังไม่คล่องแคล่วเท่าไหร่ หากเจ้าต้องการจริง ๆ ข้าก็ทำให้เจ้าสมใจได้ แต่เกรงว่าฝีมือข้าคงจะขึ้นสนิมเพราะนอนนิ่งไปนาน….. อาจเผลอทำเจ้าเจ็บได้”
เขาพูดอะไรของเขา? เผลอทำข้าเจ็บหรือ…..?
ชิงหลานเฟยชะงักไป ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเข้าใจคำที่เขากล่าว ใบหน้านางแดงฉ่าขึ้นมาทันทีราวกับจะมีเลือดหยดออกมาก็มิปาน นางกัดริมฝีปากด้วยความเขินก่อนโพล่งขึ้น “คนบ้า! ใครว่าข้าคิดถึงเรื่องเช่นนั้น!”
นางอาจจะเขินมาก ผลักอกเขาออกเต็มแรงด้วยความรังเกียจ หมายจะออกให้ห่างจากชายหนุ่มให้ได้
ม่อจิ่งอวี้หัวเราะเสียงดัง รั้งร่างนางไว้ในอ้อมกอดแม้ร่างน้อยจะดิ้นขลุกขลัก ก่อนจะเอ่ยปลอบโยนนางขึ้น “เอาล่ะ ๆ เจ้าไม่คิด ข้าคิดคนเดียวก็ได้? ใครใช้ให้เฟยเอ๋อร์ของข้างามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ เห็นแล้วทนไม่ไหว เป็นต้องอยาก…..”
“ยังไม่เลิกพูดอีก!?” ด้วยเกรงว่าใบหน้าไร้ที่ติของเขาจะยังพ่นคำไร้สาระอันใดออกมาอีก นางจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ทันที ไม่ให้เขาพูดจนจบประโยค
เขากล้าเอ่ยคำนัก ก็เพราะช่างพูดเช่นนี้ ตั้งแต่เด็กฟันยังไม่ทันขึ้นไปจนถึงแก่หง่อมอายุเป็นร้อยปีบนแดนเมฆาสวรรค์ต่างก็ถูกปากหวาน ๆ ของเขาลวงหลอกเสียสิ้นท่า
ม่อจิ่งอวี้จ้องหน้าแดง ๆ ของนางที่เกือบตายเพราะความเขินแล้วก็ไม่หยอกนางอีก จับข้อมือนางยกขึ้น ประทับจุมพิตลงบนหลังมือเนื้อเนียน เกิดเป็นความรู้สึกจั๊กจี้ที่หลังมือหญิงสาว
จากนั้นยกมือนางขึ้นทาบอกที่ใจกำลังเต้นเป็นจังหวะ ก่อนจะจ้องตานางด้วยแววตาอ่อนโยน “เฟยเอ๋อร์ ขอบคุณเจ้าที่กลับมาอยู่เคียงข้างข้าอีกครั้งหนึ่ง”
ชิงหลานเฟยตาเป็นประกาย “ท่านโง่งมจริง ไม่เห็นต้องขอบคุณอะไร”
“หากไม่ได้เจ้า ข้าก็อาจหลับเช่นนี้ไปอีกร้อยปี หรืออาจไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ได้” ม่อจิ่งอวี้ ว่าพลางยิ้มหยันตนเอง “ไม่คิดเลยว่าข้าจะหลับไปร้อยปีเต็ม ๆ”
และในช่วงหนึ่งร้อยปีนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นมากมายเหลือเกิน
เงียบกันไปครู่หนึ่ง ม่อจิ่งอวี้ก็พลันจับมือนางแน่น “ข้าซาบซึ้งในนัก ในร้อยปีนี้ สิ่งที่ทำให้ข้ายังไม่ยอมแพ้และอดทนต่อไป พยายามลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็คือเจ้า….. และลูก ๆ ของเรา”
ชิงหลานเฟยได้ยินแล้วพลันชะงักค้างไป ใบหน้าซีดขาวลงเล็กน้อย “ท่าน….. ว่าอะไรนะ?”
ลูก ๆ ของเราหรือ?
เด็กน้อยทั้งสองจากไปนานแล้ว
เพื่อช่วยจิ่งอวี้เมื่อครานั้น ไม่ใช่เพียงนางที่ต้องจ่ายราคาไป แต่คู่แฝดที่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกก็ยังถูกสังเวยไป ถูกเอาชีวิตด้วยสองมือของมารดาใจดำผู้นี้
ชิงหลานเฟยพลันน้ำตารื้นขอบ ลูก ๆ ของเรา….. จากไปแล้ว