บทที่ 218 ยอดเขาใจสงบ จุดสูงสุดบนแดนเมฆาสวรรค์

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 218 ยอดเขาใจสงบ จุดสูงสุดบนแดนเมฆาสวรรค์

ไม่ใช่แค่เก่งกาจ แต่จะหาใครที่จะพูดประจบได้คล่องปากไปมากกว่าเขานั้นไม่มีอีกแล้ว

มีวิชาไหลไปตามลมเช่นนี้ หากมีการแข่งขันประจบสอพลอให้ลง ไป๋จือเยี่ยนก็คงชนะเลิศอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่มีหรือที่โหลวจวินเหยาจะสัมผัสความเสแสร้งในคำเหล่านั้นไม่ได้? เขาทำเสียงจิ๊ปากแล้วไม่สนใจไป๋จือเยี่ยนอีก เดินมานั่งข้างชิงอวี่ นิ้วเรียวเอื้อมไปหยิบถ้วยชาบนโต๊ะมารินชา จากนั้นก็ยกขึ้นจิบ

ชิงอวี่ชะงักไปเล็กน้อย มองถ้วยในมือเขานิ่ง

หากจำไม่ผิด นางเพิ่งจะใช้มันดื่มไปนี่

เหมือนโหลวจวินเหยาจะสัมผัสถึงสายตานาง เขายกยิ้มขึ้นแล้วหันมามอง “เจ้ามองอะไร?”

“….. เปล่า”

ช่างเถอะ อาจจะแค่อุบัติเหตุ

“สถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไร? หลายวันผ่านไปแล้ว ชิงเทียนหลินยังไม่พบข้า เขาคงไม่ค้นตัวข้าต่อแล้วกระมัง” ชิงอวี่จ้องหน้าพลางเอ่ยคำ

โหลวจวินเหยาหัวเราะเบา ๆ “เจ้าอย่าวางใจ เจ้าน่าจะรู้ดีว่าเขาดื้อดึงเช่นไร รอให้เรื่องเงียบอีกสักหน่อยแล้วค่อยวางแผนเถอะ”

“แล้วเรื่องสำนักละอองหมอกเล่า? เสี่ยวเป่ยรู้หรือไม่ว่าข้าสบายดี? เจ้าเด็กโง่นั่นเป็นห่วงข้ามาตลอด หากไม่ได้ยินข่าวคราวจากข้าก็คงเป็นกังวลมาก” ชิงอวี่หรี่ตาลงเอ่ยเสียงเบา

“ไม่ต้องเป็นห่วงไป เด็กคนนั้นฉลาด เขาย่อมรู้ว่าเจ้าไม่เป็นอะไร” โหลวจวินเหยาเอ่ยปลอบน้ำเสียงอ่อนโยน

“อืม” ชิงอวี่พยักหน้าน้อย ๆ

โหลวจวินเหยาวางมือทับมือเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ ไล้นิ้วเบา ๆ ไปตามสะเก็ดแผลที่นางได้มาตอนร่วงจากหน้าผา มันเป็นแผลตื้น ๆ เท่านั้น ไม่นานก็หาย เหลือเพียงรอยจางแทบมองไม่เห็น

ชิงอวี่สะดุ้ง ดึงมือออกตามสัญชาตญาณ หากแต่ชายหนุ่มกลับเปิดปากถามทันที “ช่วงที่เจ้าอยู่ในสำนักละอองหมอกพบอะไรบ้างหรือไม่? หาเศษวิญญาณของอาหลานพบบ้างไหม?”

“อืม ข้าเข้าไปในสถานที่ต้องห้าม รู้สึกได้ถึงสัมผัสคุ้นเคย แต่ไม่มีเวลาก็เลยไม่ได้ลองค้นหาดูให้ดี ต้องลองเข้าไปอีกสักครั้งหนึ่ง”

พูดจบแล้วก็เหมือนนางหันไปให้ความสนใจกับอย่างอื่น เพราะไม่ได้สังเกตเลยว่ามือนางยังถูกเขาไล้ไปมาเช่นนั้นเบา ๆ

“อืม ครั้งหน้าข้าจะไปกับเจ้า” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงเบา

“ได้”

ไป๋จือเยี่ยนที่ยังไม่จากไปเห็นภาพนั้นแล้วก็มุมปากกระตุก

เจ้าหมอนี่จะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว!

กล้าฉวยโอกาสกับนางอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้แล้วยังทำหน้าปกติธรรมดาได้อีก

ข้าทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว!

ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายใจจืดใจดำและเลือดเย็นนัก แต่พอได้เห็นเขาดูเป็นห่วงเป็นใยใส่ใจคนอื่นเช่นนี้จึงไม่คุ้นตาเท่าไหร่

แต่ก็นับว่าค่อย ๆ พัฒนาเป็นมนุษย์ปกติธรรมดามากขึ้นเรื่อง ๆ ไป๋จือเยี่ยนได้แต่หวังว่า….. อีกฝ่ายจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเช่นนี้ต่อไป!

บนแดนสูงสุด ณ แดนเมฆาสวรรค์ ในอากาศมีพลังวิญญาณสมบูรณ์ มีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายดั่งหมู่เมฆ ผู้คนจากแดนระดับล่างต่างทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียร หมายจะบำเพ็ญให้ถึงขั้นแล้วย้ายไปแดนแดนเมฆาสวรรค์เพื่อให้เข้าใกล้การเป็นยอดยุทธ์แห่งแดนขึ้นอีกก้าวหนึ่ง

อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลของแดนเมฆาสวรรค์นั้นแบ่งออกเป็น 5 ส่วน คือ แคว้นมาร สำนักเซียนแพทย์ อารามจันทร์กระจ่าง ชนเผ่าหมาน สมาพันธ์นักล่า แต่ละเขตแดนอยู่กันคนละฝั่ง แยกตัวเป็นอิสระออกจากกัน

นอกจากขุมหลังใหญ่ทั้งห้าแล้ว ยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่อยู่เหนือทั้งห้าเขตแดน มันมีนามว่ายอดเขาใจสงบ

ว่ากันว่าเฉพาะคนที่บำเพ็ญเพียรถึงขั้นแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถบรรลุหกรากฐานแห่งความสงบ อารมณ์ทั้งหมดถูกสะบั้นขาด กลายเป็นผู้ที่ไร้ความปรารถนาหรือความหลงใหลใด คนผู้นั้นจะได้เข้าไปยังสถานที่ลึกลับที่มีชื่อว่ายอดเขาใจสงบ

ไม่มีใครรู้ว่ายอดเขาใจสงบตั้งอยู่ตรงไหนกันแต่ แต่รู้กันว่ามันจะเปิดทุก ๆ หนึ่งพันปี จะบังเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น บันไดสวรรค์จะทอดตัวยาวลงมาจากชั้นฟ้า หากไต่มันไปเรื่อย ๆ ก็จะขึ้นไปถึงยอดเขาใจสงบได้

แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเพียงตำนานหรือเรื่องที่มีอยู่จริงนั้นก็ไม่มีใครรู้ เพราะตาเฒ่ายายแก่ทั้งหลายที่มีอายุถึงพันปีบนแดนเมฆาสวรรค์นั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ ทั้งยังไม่ค่อยเปิดเผยตัวตน เป็นพวกเก็บตัวสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร

ดังนั้นจึงไม่มีใครพิสูจน์ตำนานนี้ได้เลย

แต่ช่วงนี้มีคำร่ำลือแพร่มาจากที่ใดไม่อาจรู้ได้ ลือกันว่าปีนี้ทางเข้ายอดเขาใจสงบจะเปิด หากคำนวณเวลาแล้วก็ถึงพันปีพอดี ผู้คนทั้งหลายจึงเริ่มใจร้อนกระสับกระส่ายกันถ้วนหน้า

แคว้นมารนั้นเต็มไปด้วยคนประเภทที่ไม่กลัวอะไร ได้ยินว่ายอดเขาใจสงบกำลังจะปรากฏตัวก็ไม่รีรออยากลองเดินทางไปดู ต่างคนต่างตื่นตัวเต็มที่ หากแต่เมื่อผ่านไปนานเข้า ข่าวลือจางลงมาก ความกระตือรือร้นทั้งหลายก็สลายไป

“เจ้าวายร้ายพวกนั้นคงเพ้อฝันไปไกลกระมัง! ถึงยอดเขาใจสงบจะปรากฏขึ้นจริง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเขา? หรือเอาแต่คิดว่าจะพากันไปทดสอบพลังตนงั้นหรือ!?” สวินลั่วเดาะปากบ่นอุบ ใบหน้าไม่พอใจขณะก้าวเท้าเดินเข้ามาด้านใน

พริบตาที่ก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ สายตาก็พบกับคนสองคนที่อิงแอบแนบชิดกันจนเขาตวาดลั่นด้วยความตกใจ “พวกเจ้าทำอะไรระวังสายตาคนบ้าง! นี่มันกลางวันแสก ๆ นะ!”

สองคนนั้นมากไปแล้ว! ตัวติดกันทั้งวันยังไม่พอ ยังไม่สนใจรอบข้างว่าอยู่ในที่สาธารณะอีก หากเขามาช้ากว่านี้คงได้เปลื้องชุดกันไปแล้วกระมัง

เม่ยจีเลิกคิ้วดูเย้ายวน ริมฝีปากฉ่ำสีแดง นางแนบร่างเข้าสู่อ้อมกอดชายหนุ่มราวกับในร่างไร้กระดูก น้ำเสียงเกียจคร้านเอ่ยเสียงเร่าร้อน “ทำลายความสุขผู้อื่น ระวังจะถูกสวรรค์ลงโทษ”

“เพ้ย! พวกเจ้ามาทำบัดสีในที่สาธารณะเช่นนี้แต่กลับโทษข้าหรือ? รอนายท่านกลับมาจัดการก่อนเถอะ!” สวินลั่วว่า ใบหน้าดูถูกทั้งสอง

“ไม่รู้ว่านายท่านหนีไปเที่ยวเตร่ที่ไหน เขาไม่มีเวลามาสนใจพวกข้าหรอก” เม่ยจียืดตัวตรง ลุกขึ้นจากอ้อมกอดปีศาจน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองสันกรามงามราวกับรูปสลัก อดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้าไปประทับจุมพิตหนึ่งให้

การกระทำกะทันหันของนางทำเอาร่างปีศาจน้อยเกร็งไป นัยน์ตาที่เป็นสีแดงเลือดอยู่แล้วยิ่งมีสีเข้มขึ้นกว่าเดิม

ฝ่ามือใหญ่ที่วางทาบเอวนางเพิ่มแรงบีบขึ้นเล็กน้อยเหมือนเป็นเชิงเตือนนาง

ทว่าเม่ยจีทำท่าเหมือนไม่รู้ความ ยังเอ่ยคำพร้อมรอยยิ้มรุ่มร้อนใส่ “เจ้าไม่ต้องเกร็งหรอก ออกไปจากที่นี่แล้วเราค่อยมาต่อ”

สวินลั่วขมับเต้นตุบ กำมือแน่นจนกระดูกลั่น “หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไรข้าขอตัว”

เขาไม่คิดจะมายืนมองคนคู่นี้เกี้ยวพาแนบชิดกันหรอก คิดจะกลั่นแกล้งคนไร้คู่อย่างเขางั้นหรือ?

“เอาล่ะ เลิกแกล้งเจ้าก็ได้ ที่ข้าเรียกให้เจ้ามาที่นี่ย่อมมีเรื่องสำคัญ” เม่ยจีเก็บรอยยิ้มซุกซนแล้วเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าคงจะได้ยินข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วเรื่องยอดเขาใจสงบแล้วกระมัง?”

“อะไร? เจ้าก็เชื่อข่าวลือเช่นนั้นหรือ?” สวินลั่วมองนาง

“ข่าวลือ?” เม่ยจียกยิ้ม “เจ้ารู้ไหมว่าต้นข่าวมาจากที่ใคร?”

“เป็นใคร?”

“มาจากหัวหน้านักบวชชางเจี้ยนแห่งอารามจันทร์กระจ่าง เป็นคำทำนายเมื่อราวครึ่งเดือนก่อน เจ้าคิดว่าจริงไหมเล่า?” เม่ยจีเอ่ยถามสวินลั่ว

สวินลั่วนัยน์ตาทะมึนลง “เป็นคำทำนายจากชางเจี้ยนจริง ๆ หรือ…..”

สิบหัวหน้านักบวชแห่งอารามจันทร์กระจ่างนั้นนำโดยชางเจี้ยน ไม่เพียงในอารามจันทร์กระจ่าง แต่ทั่วทั้งแดนเมฆาสวรรค์จะหานักพยากรณ์ที่เก่งกาจไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว คำทำนายของเขาไม่เคยผิดมาก่อน ข่าวลือนี้จึงน่าเชื่อถือนัก

“หลังจากที่นายท่านหายตัวไปนานหลายปี แคว้นมารก็ไม่ใช่เช่นกาลก่อนแล้ว นอกจากชนเผ่าหมานที่รักสันโดษ ขุมอำนาจอื่น ๆ ทั้งยังสมาพันธ์นักล่าที่ดูแข็งขันที่สุดก็พากันกดข่มแคว้นมารมานาน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปแคว้นมารคงหายไปจากแดนแน่”

กล่าวถึงเรื่องนั้นแล้ว เม่ยจีก็หยุดไปเล็กน้อยแล้วว่าต่อช้า ๆ “ยอดเขาใจสงบอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของเราก็ได้”

สวินลั่วครุ่นคิดกับคำนางเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเข้าใจความหมายที่นางอยากสื่อ “เจ้าหมายความว่า….. เจ้าจะขอให้นายท่านไปปีนยอดเขาใจสงบนั่นหรือ?”

“ถูกต้อง”

สวินลั่วขมวดคิ้วส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก เจ้าไม่รู้สึกนิสัยนายท่านดีหรือไร? เขาไม่ใส่ใจชื่อเสียงจอมปลอมเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่คิดเสียเวลาไปกับมัน แล้วจะขึ้น ยอดเขาใจสงบ ได้ต้องบำเพ็ญถึงหกรากฐานแห่งความสงบ กลายเป็นคนไร้ความปรารถนาใดก่อนไม่ใช่หรือ? กลิ่นอายนายท่านชั่วร้ายแปดเปื้อนเกินไป เกรงว่าจะขึ้นบันไดสวรรค์สักขั้นก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“ไม่ลองแล้วจะรู้หรือ?” เม่ยจีส่งเสียงเหอะ ใบหน้าหยิ่งผยอง “ทั่วแดนเมฆาสวรรค์มีน้อยคนที่จะเทียบนายท่านของเราได้ หากนายท่านยังขึ้น ยอดเขาใจสงบ ไม่ได้ ก็คงไม่มีใครมีคุณสมบัติพอแล้ว”

น้ำเสียงนางเต็มไปด้วยความสรรเสริญและความนับถือที่มีต่อนายท่านผู้นั้น

นางพูดไม่ทันจบ ที่เอวก็ถูกหยิกแรง ๆ เข้าทีหนึ่ง

นางอ้าปากค้างไม่ทันรู้ตัว เมื่อเห็นว่าเขามีแววตาไม่พอใจก็รีบกอดปลอบเขาแล้วเอ่ยเสียงออดอ้อน “แต่แน่นอนว่าในใจข้ามีแต่เจ้าเท่านั้นที่ดีที่สุด”

ชายหนุ่มจึงเก็บสายตานั้นไป

สวินลั่วเห็นคนทั้งคู่แล้วหมดคำจะพูด “…” กำลังคุยเรื่องเคร่งเครียดกันอยู่ก็พากันเปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว

“สวินลั่ว นายท่านของเราคงจะไปหาแม่นางน้อยที่แดนระดับต่ำอีกนั่นล่ะ เจ้ามีหน้าที่ไปพาเขากลับมาแล้วแจ้งเรื่องนี้กับเขา” เม่ยจีเอ่ยต่อ

สวินลั่วยกนิ้วชี้ตนเอง “ข้า?”

เขาพ่นลมหายใจหยันทางจมูก “ทำไมข้าต้องไปยังแดนระดับต่ำที่น่ารังเกียจเสื่อมโทรมเช่นนั้นด้วย? ไปแล้วก็จำกัดนู่นห้ามทำนี่ ข้าไม่เหมือนกับนายท่านที่จะกดข่มพลังบำเพ็ญไว้ได้ง่าย ๆ หรอกนะ หากรั้งอยู่นานไปพลังข้าอาจจะหดหายเลยก็ได้ ข้าไม่ไปหรอก”

“ไม่ไปจริงหรือ?” เม่ยจีเลิกคิ้ว จากนั้นเอ่ยเสียงสบาย “ได้ยินว่าเร็ว ๆ นี้นายท่านเรียกเยี่ยจีให้ลงไปยังดินแดนระดับล่าง ไม่รู้ว่าจะให้ไปปกป้องแม่นางน้อยหรือไม่ นางอาจจะไม่กลับมาที่นี่แล้ว จะได้พบหน้านางก็คงยาก…..”

นางพูดยังไม่ทันจบ สวินลั่วก็เปลี่ยนสีหน้าทันควัน ไม่พูดอะไรแล้วหันหลังเดินจากไปแทน

เม่ยจีทิ้งตัวลงสู่อ้อมแขนปีศาจน้อยแล้วหัวเราะคิก “หมอนั่นใจง่ายเหมือนเคย พูดชื่อเยี่ยจีครั้งเดียวก็ยอมทำทุกอย่างแล้ว”

ปีศาจน้อยหลุบตาลงมองหญิงสาวแล้วเอ่ยเสียงรื่นหู “เยี่ยจีลงไปจริงหรือ?”

เม่ยจีหัวเราะลั่น ไล้นิ้วไปตามโหนกแก้มแกร่งของชายหนุ่ม “ข้าโกหกเขาต่างหาก”

“ระวังเขาจะกลับมาจัดการเจ้า”

“ข้าผู้นี้กลัวเขาหรือไร มีครั้งไหนที่เขาสู้ชนะข้าบ้าง? จะได้ถูกข้าอัดจนเละน่ะสิ” เม่ยจีเอ่ยเสียงพอใจนัก ใบหน้างามน่าหลงใหลเป็นพิเศษ

นัยน์ตาสีแดงของเขาจ้องนางไม่วางตา สายตารักใคร่ของเขาทำเม่ยจีพึงพอใจเป็นอย่างมาก นางตวัดแขนเข้าโอบคอเขาแล้วเอ่ยเสียงเย้ายวน “มาเถอะ เรามาต่อกันดีกว่า…..”