บทที่ 200 ไฟเผาเด็กชายเด็กหญิง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 200 ไฟเผาเด็กชายเด็กหญิง

ใช่สิ!

นางมีอะไรคุ้มค่าพอที่จะต้องภาคภูมิใจกัน

นางก็เป็นเพียงหัวแก้วหัวแหวนในชนเผ่าชนเผ่าหนึ่งเท่านั้น! คนอื่นนั้นคนหนึ่งเป็นท่านอ๋อง คนหนึ่งเป็นพระชายา ยังมีอีกคนที่ตัวตนลึกลับ แล้วก็ไม่ใช้เจ้านายที่จะไปหาเรื่องได้ง่ายๆ

“พ่อใหญ่พ่อรองพ่อสามล่ะ?”

“พวกท่านผู้อาวุโสกำลังปรึกษาเรื่องต่างๆอยู่ขอรับ”

“งั้นพวกข้าเข้าไปก่อนนะ พวกเจ้าให้คนไปบอกพวกเขาสักคำ มีแขกสำคัญมาถึง การต้อนรับจะขาดตกบกพร่องไม่ได้

“ขอรับ!”

จากนั้นฮัวหยู่อันก็เดินพาพวกเขาเข้าไป

หลานเยาเยาที่เดินอยู่ด้านหลังกับเย่แจ๋หยิ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปชิดๆกับเย่แจ๋หยิ่ง ถามด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า : “เสี่ยวฮัวฮัวมีพ่อตั้งมากมาย แล้วคนไหนเป็นพ่อแท้ๆกันแน่?”

“ล้วนไม่ใช่”

“หากว่าไม่ใช้ งั้นทำไมต้องเรียกพวกเขาว่าพ่อด้วยล่ะ? แล้วยังจะเรียกตามลำดับด้วย” และจากในน้ำเสียงของเสี่ยวฮัวฮัวฟังออกว่า พวกผู้อาวุโสเหล่านั้นเหมือนจะดีกับนางมาก

หานแสที่เดิมทีเดินอยู่ด้านหน้าพวกเขา ก็ก้าวเท้าช้าลงทันใด ได้ยินข้อสงสัยของหลานเยาเยาจึงพูดขึ้นว่า :

“เพราะว่าพ่อแท้ๆของฮัวหยู่อันคือหัวหน้าชนเผ่า แม่ก็เป็นฮูหยินหัวหน้าเผ่า หลังจากที่นางเกิด พ่อแม่ก็ตายทั้งคู่ ดังนั้นผู้อาวุโสสามคนนั้นจึงช่วยกันเลี้ยงนางมาจนโต กล่าวกันว่าอนาคตของนางคือผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าชนเผ่า”

น้ำเสียงของหานแสแผ่วเบา แต่ในน้ำเสียงกลับเผยถึงการเหน็บแนมและไม่ใยดี

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

เพียงแต่……

“ทำไมเจ้าถึงรู้อย่างแจ่มแจ้งขนาดนี้? ราวกับว่าเจ้าก็เคยเป็นคนในชนเผ่านี้ด้วย”

“ไม่อยากเป็น!”

เพียงได้ยินคำพูดของหลานเยาเยา หานแสก็หรี่ตาลงอย่างเกรี้ยวกราด พูดออกไปสามคำด้วยความโมโห แล้วก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

“คนคนนี้……จริงๆเลย พวกเราคุยกันอยู่ดีๆ ก็จะเข้ามาพูดแทรกให้ได้ พูดแทรกจบยังจะโกรธอีก แปลกประหลาด”

เพียงแค่……อยู่ดีๆ ทำไมเขาจึงโกรธ?

หลานเยาเยาหันหน้าไปคิดจะปรึกษาเย่แจ๋หยิ่งต่อ แต่กลับเห็นเย่แจ๋หยิ่งมองไปที่แผ่นหลังของหานแสเหมือนกำลังวิเคราะห์อยู่ หลานเยายจึงรู้สึกหมดความสนใจขึ้นมาทันที

ได้ เช่นนั้นก็เดินทางของตัวเองดีดีเถอะ?

ฮัวหยู่อันพาพวกเขากลับมาถึงบ้านที่เป็นของนางเอง นั้นเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสทั้งสามสั่งให้คนช่วยกันสร้าง เป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดงดงามที่สุดในชนเผ่าหยินไห่

“คุณหนู ดูนี่สิ ที่นี่คือที่ที่ข้าอาศัยอยู่เมื่อก่อน กว้างขวางพอหรือไม่?”

“ดีมากจริงๆ!”

แม้ว่าจะใหญ่โตไม่ได้ครึ่งหนึ่งของจวนอ๋องเย่ และไม่ได้อลังการโอ่อ่าเหมือนจวนอ๋องเย่ แต่กลับมองออกได้ว่า ที่นี่ถูกสร้างด้วยความตั้งใจเป็นอย่างมาก

ก่อนหน้านี้รู้จากโม่ซางมาว่าพวกผู้อาวุโสนั้นมีความรักความเอ็นดูเสี่ยวฮัวฮัวเป็นพิเศษ ยังพูดอีกว่าเมื่อนางอายุครบสิบแปดปีก็จะสนับสนุนให้นางเป็นหัวหน้าชนเผ่า

คิดไม่ถึงว่าพวกผู้อาวุโสจะเอ็นดูนางถึงขั้นที่แม้แต่บ้านที่ให้อยู่ก็เป็นหลังที่ดีที่สุด

ขณะที่นางกำลังดีใจแทนฮัวหยู่อันอยู่นั้น ข้างหูก็ได้ยินเสียงอันเย็นชาของหานแสแว่วมา

“คิดว่าอยู่มาสิบกว่าปีก็จะกลายเป็นของเจ้าแล้วงั้นหรือ? ไร้เดียงสา”

น้ำเสียงที่ฟังดูถากถางนั้นออกมาจากปากของหานแส ทำให้ฮัวหยู่อันจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ดุดัน

“เจ้า……เจ้าอิจฉาละสิ!”

บ้านทำไมจะไม่เป็นของนางแล้ว?

ไม่รู้อะไรสักอย่าง ยังกล้าพูดมั่วซั่วอีก

อารมณ์ดีๆโดนทำลายแล้ว ฮัวหยู่อันรีบลากหลานเยาเยาไปชมบ้านของตัวเอง เหนื่อยจะสนใจกับคนไม่ดีอย่างหานแสที่พูดจาดีดีออกมาไม่เป็น

เย่แจ๋หยิ่งและหานแสไม่ได้เข้ามาด้วย แต่ยืนอยู่ที่ประตู

หลานเยาเยาที่เข้าไปด้านในแล้ว มองไปที่ประตูด้วยความสงสัยแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถามฮัวหยู่อันว่า : “เจ้ามีความแค้นกับหานแสหรือ?”

ตั้งแต่เข้ามาถึงในชนเผ่า หานแสก็ดูแปลกไปกว่าเมื่อก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าดวงตาแสดงออกว่าเกลียดทุกอย่างที่เป็นที่นี่ แต่กลับยังมองดูไปรอบๆ

“ไม่มีนะ!”

ฮัวหยู่อันก็สงสัย

“ที่จวนอ๋องเย่ก็เพิ่งได้พบเขาครั้งแรก ครั้งต่อมาที่พบกันก็ที่โรงเตี๊ยมเมื่อวาน ข้าก็ไม่เคยพูดคุยกับเขา แล้วจะมีความแค้นได้เช่นไร”

ฮัวหยู่อันก็อึดอัดใจ

ดูท่าทางเงียบสงบของเขา ทั้งยังมีโรคร้ายติดตัว การพูดจาก็ควรจะอ่อนโยนหน่อยจึงจะถูกต้อง ทำไมถึงพูดจาให้คนเกลียดเช่นนั้นนะ?

“อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่ถูกชะตากับที่นี่ละมั้ง!”

เดิมทีหานแสก็แปลกประหลาดพออยู่แล้ว หลังจากที่เข้ามาในชนเผ่าก็ยิ่งประหลาดขึ้นไปอีก”

คาดว่านานไปคงจะเข้าใจคนได้มาขึ้น!

โฉมหน้าที่แท้จริงของหานแสค่อยๆเปิดเผยออกมาทีละหน่อยแล้ว

ในไม่ช้า ก็มีคนรับรองยกน้ำชามาให้ ฮัวหยู่อันรอทางซ้ายทางขวา ก็ยังไม่เห็นพวกผู้อาวุโสเข้ามา

รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย จึงจับคนหนึ่งคนมาถาม :

“พ่อใหญ่พวกเขาทำไมถึงยังไม่มา?” ถกปัญหากัน ถกกันครึ่งวันแล้วยังไม่เสร็จอีกหรือนี่?

“นี่……ข้าก็ไม่รู้ อาจใกล้จะเสร็จแล้ว คุณหนูรออีกนิดนะเจ้าคะ!” คนที่โดนถามพูดแบบไม่แน่ใจ เหมือนว่าฮัวหยู่อันจะไม่ทันสังเกตว่ามีอะไรไม่ปกติ

แต่หลานเยาเยากลับเลิกคิ้วขึ้นมา พูดกับตัวเองว่า :

ได้ยินว่าเด็กชายเด็กหญิงที่จะโดนเซ่นไหว้หนีไปแล้ว พวกเขาคงไม่ได้กำลังคุยกันเรื่องนี้หรอกมั้ง?”

เมื่อหลานเยาเยาพูดถึงเรื่องนี้ ฮัวหยู่อันก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที

“ข้าจะไปหาพวกเขาเดี๋ยวนี้”

เรื่องขออาฝูและอาโม่ นางจะต้องถามให้ชัดเจน

ทั้งๆที่การเลือกเด็กชายเด็กหญิงจะมีการเลือกไว้ล่วงหน้าหนึ่งปี อาฝูและโม่ซางก็ถูกบันทึกในรายชื่อว่าจะไม่ต้องเป็นเด็กชายเด็กหญิงแล้ว แต่ว่าในระยะเวลาอันสั้นที่นางออกไป ทำไมพวกเขาถึงได้กลายเป็นเครื่องเซ่นไหว้ไปได้?

ในนั้นต้องมีเรื่องอะไรที่นางไม่รู้เป็นแน่

“คุณหนู ท่านออกไปไม่ได้นะเจ้าคะ” คนผู้นั้นรีบร้อนสกัดกั้นไว้

“ทำไม?” ฮัวหยู่อันไม่เข้าใจ

กลับเป็นหลานเยาเยาที่อธิบายคำถามแทนนาง

“ยังต้องถามอีกหรือ? พ่อของเจ้าสองสามคนนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้กำลังพูดคุยกัน แต่กำลังทำเรื่องอื่นอยู่ และยังไม่สามารถให้เจ้ารู้ได้ด้วย”

คาดว่าก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาที่ชนเผ่า ผู้อาวุโสพวกนั้นได้รู้เบาะแสมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงสมรู้ร่วมคิด คิดจะถ่วงเวลาฮัวหยู่อันไว้

“อะไร?”

คราวนี้ ฮัวหยู่อันรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อขึ้นมาทันที เรื่องอะไรที่ถึงขั้นต้องปิดบังนางไว้?

ดังนั้นนางจึงรีบหันไปถามคนผู้นั้นทันที : “รีบพูดมา ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน?”

“คุณ คุณหนู……”

“เจ้าจะพูดรือไม่พูด? ไม่พูดข้าจะตีจนกว่าเข้าจะพูด” เมื่อคำพูดนั้นหลุดไป ฮัวหยู่อันก็กำหมัดขึ้นและตีไปทันที

“คุณหนู อย่า อย่าตีเลย พวกผู้อาวุโสอยู่ที่แท่นบูชา”

“แท่นบูชา? พวกเขาทำอะไรอยู่ที่แท่นบูชา?”

จะไปอยู่ที่แท่นบูชาได้เช่นไร?

มีเพียงตอนที่จะเซ่นไหว้เท่านั้น พ่อใหญ่พวกเขาถึงไปที่นั่น

อีกทั้ง อาฝูและโม่ซางพวกเขาก็หนีไปแล้ว พวกเขาเอาอะไรมาเซ่นไหว้?

“เสี่ยวฮัวฮัว เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ไปเลยแล้วจะได้รู้?”

หลานเยาเยาเริ่มรู้สึกว่าไม่รู้จะพูดไงดีแล้ว ไปที่แท่นบูชาหากไม่ไปทำการเซ่นไหว้จะไปทำอะไรได้อีก? หรือจะให้ไปที่นั้นเพื่อกินเลี้ยงดื่มเหล้าฉลองหรือไง?

“อ่ออ่อ พวกเรารีบไป”

……

แท่นบูชาของชนเผ่าหยินไห่ตั้งอยู่ที่ปากทางเข้าของหุบเขาจิ้น และทางเข้าหุบเขาจิ้นที่ใหญ่โตนี้กลับมีหินงอกซ้อนเรียงรายกันอยู่ เหลือเพียงทางเข้าเป็นทางโค้งเล็กๆเท่านั้น

แท่นบูชาทำด้วยการตีโคลน เป็นลักษณะกลมๆ ด้านหน้าสุดของแท่นบูชาจะวางโต๊ะไว้ตัวหนึ่ง ด้านบนให้ผ้าสีขาวคลุมแท่นเซ่นไหว้ บนโต๊ะมีเทียนที่ถูกจุด ผลไม้และหัวหมู

ระหว่างการเซ่นไหว้ กองฟืนที่วางไว้ ด้านบนกองฟื้นจะมีไม้อยู่สองอัน มีชายหนึ่งหญิงหนึ่งถูกมัดไว้ที่ท่อนไม้ และใช้ผ้าขาวคลุมหัวพวกเขาไว้

และตรงหน้าแท่นบูชา คนในชนเผ่ากำลังร้องเพลงที่เศร้าโศก เล่นดนตรีที่โศกเศร้า เต้นระบำเซ่นไหว้ด้วยระบำที่แสนเศร้า ในมือผู้อาวุโสทั้งสามท่านถือไม้เท้าเซ่นไหว้แล้วก็ท่องงึมงำด้วยภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง

ในไม่ช้า

เพลงจบ การเต้นหยุด เสียงสิ้นสุดลง

บทเซ่นไหว้ที่พวกผู้อาวุโสท่องงึมงำก็จบลงแล้ว หลังจากนั้นผู้อาวุโสที่สุดก็โบกไม้เท้าเซ่นไหว้ ตะโกนด้วยเสียงสูงและยาวว่า :

“การเซ่นไหว่เริ่มขึ้น จุดไฟ”

คบเพลิงสำหรับจุดไฟได้เตรียมไว้นานแล้ว รอเพียงแค่คำสั่งจากผู้อาวุโสที่สุด คนที่มีหน้าที่จุดไฟโดยเฉพาะหยิบเอาคบเพลิงเดินไปทางเด็กชายเด็กหญิงที่โดนมัดไว้

ขณะที่คบเพลิงกำลังจะถูกโยนเข้าไปที่กองฟืน ฮัวหยู่อันก็มาทันเวลาพอดีพร้อมตะโกนเสียงดัง :

“เดี๋ยวก่อน