บทที่ 201 ต่างก็ไม่ง่ายต่อการจัดการ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 201 ต่างก็ไม่ง่ายต่อการจัดการ

เมื่อได้ยินเสียงของฮัวหยู่อัน ทุกคนก็รีบหันกลับมามองในทันที

“คุณหนูกลับมาแล้ว”

“มิใช่ว่าคุณหนูไม่ชอบที่จะมายังแท่นบูชายัญแห่งนี้หรอกรึ? เหตุใดจึงได้รีบมาทันทีที่กลับมาถึง?”

“ก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่อาฝูและโม่ซางถูกเผาเพื่อสังเวย คุณหนูเลยมาเพื่ออำลาโดยเฉพาะน่ะสิ!”

“……”

ทุกๆคนต่างซุบซิบกัน เหล่าผู้อาวุโสเหลือบมองฮัวหยู่อัน และรีบพูดกับคนที่กำลังจะจุดไฟว่า: “จุดไฟ!”

ในชั่วพริบตา เชื้อเพลิงก็ถูกโยนเข้าไปในกองฟืน ไฟลุกลามทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจ เปลวไฟเล็กๆก็ปะทุเป็นไฟอันใหญ่หลวงที่โหมกระหน่ำ

ในกองเพลิงกึกก้องด้วยเสียงร้องโหยหวน ของชายหญิงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดอันขื่นขม……

หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง หลังได้เห็นชายหญิงที่ถูกห้อยด้วยเชือกกำลังโดนเผาไหม้ ดิ้นทุรนทุรายอยู่ในกองเพลิง

ขณะที่ได้ยินเสียงโหยหวน ชาวเผ่าเหล่านั้นในชนเผ่า บางคนก็ดูไม่ใส่ใจเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาเพียงเฝ้ามองอยู่เงียบๆ ส่วนบางคนก็ดูมีความสุขเพลิดเพลินใจ

หลังจาก*เด็กชายเเละเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์แน่นิ่งไป ทุกคนในชนเผ่าก็เผยใบหน้ายิ้มปริ่มออกมา

“อาฝู โม่ซาง หลังจากได้เข้าไปยังหุบเขาจิ้นแล้ว ก็ให้พวกเจ้าควบคุมความอัปยศในที่แห่งนั้นไว้ด้วยเถิด หวังว่าพวกเจ้าสามารถนำความสงบมาแก่เผ่าของข้า”

“เหล่าผู้อาวุโสจะสลักชื่อของพวกเจ้าลงบนหินผา เฉกเช่น*เด็กชายเเละเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆอีกมากมายรวมไว้ด้วยกัน”

“อาฝูและโม่ซางช่างน่าสงสาร อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นเพื่อนรักของคุณหนู ไม่คิดว่าจะมาโชคร้าย กลับกลายมาเป็น*เด็กชายเเละเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ไปเสีย แม้จะเห็นหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย คุณหนูก็ไม่ได้เห็น”

ทุกๆคนก็ยังคงซุบซิบกัน

หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พลางครุ่นคิดข้อสงสัยอยู่ในใจ

ไม่ใช่ว่าอาฝูและโม่ซางได้รับการช่วยเหลือจากนางไปแล้วหรอกรึ?

ในเพลานี้ก็ได้เปลี่ยนผ้าผ่อน และได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีอยู่ที่โรงเตี๊ยม แล้วจะมาถูกสังเวยได้อย่างไรกัน?

หรือว่า……

การที่พวกเขาหนีไป เหล่าผู้อาวุโสจึงต้องเก็บเป็นความลับ จากนั้นก็หาคนอื่นมาแทนเขาทั้งสองเพื่อเป็นเครื่องสังเวย ดังนั้นชาวเผ่าจะได้คิดว่าคนที่กำลังถูกสังเวยนั้นคืออาฝูและโม่ซาง

เมื่อเป็นเช่นนี้……

แววตาของหลานเยาเยาก็เป็นประกาย เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแผ่นหลังที่แข็งทื่อ แล้วหยุดอยู่ด้านข้างของฮัวหยู่อันที่ดูโศกเศร้า จากนั้นก็สัมผัสแผ่นหลังของนาง

“เสี่ยวฮัว รีบร้องเรียกชื่อของอาฝูและโม่ซางเร็วเข้า แล้วก็ร้องไห้ประหนึ่งใจจะขาดดิ้นออกมา”

แน่นอนว่าฮัวหยู่อันมีท่าทีงุนงง ทำเอาหลานเยาเยาอยากจะขุดหลุมฝังคนเสียเหลือเกิน

“ก่อนที่เจ้าจะตกอยู่ในความสนใจของพวกเขา เร็วๆเข้า!” ร้อนใจจะเป็นจะตาย

แม้ว่าฮัวหยู่อันจะยังสับสน แต่นางก็รู้สึกว่าการที่หลานเยาเยาพูดเช่นนี้ จักต้องมีจุดประสงค์ของนาง จึงจะทำตามที่นางบอกมา

แต่ด้วยความที่นางได้อดกลั้นมาเนิ่นนาน จะร้องยังไงก็ร้องไม่ออก

“น้ำตามันไม่ยอมไหล!”

“มองมาที่ข้านี่ เจ้าเพียงแค่แกล้งร้องไห้ ร้องอย่างเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ”

เมื่อพูดจบ หลานเยาเยาก็แอบหยิบขวดยาหลั่งน้ำตาออกมาจากในระบบอย่างรวดเร็ว พร้อมหยดลงบนฝ่ามือ แล้วรีบป้ายตาฮัวหยู่อันในทันที

ดวงตาของฮัวหยู่อันเบิกกว้าง มันให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด พลางขยี้ตาตัวเองเบาๆ มันเหมือนกับน้ำที่ไหลเอื่อยๆอยู่ในลำธาร ไม่ยอมพรั่งพรูออกมา

“ไอ๊ย๊า ไอ๊ย๊า นี่ นี่มันมากไปแล้ว!”

“นี่ที่ว่า มันหมายถึงสิ่งใด หากยังไม่ร้องออกมาก็จะไม่มีเวลาแล้ว ช่างเถอะ ดูท่าแล้วเจ้าคงจะร้องไห้ไม่ได้ ข้าจะขุดหลุมฝังเจ้าเสีย ไม่ต้องกังวล”

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กัน ที่หลานเยาเยามีจอบอยู่ในมือ อีกทั้งเพลานี้ก็กำลังจะขุดดิน ทำเอาฮัวหยู่อันถึงกับเหงื่อตก

“ไม่เอาไม่เอาไม่เอา ข้าจะร้องไห้ จะร้องแล้ว”

ว่าแต่จอบมาจากแห่งหนใดกัน?

คงไม่ได้เอามาจากพื้นหรอกกระมัง

ใครจะไปรู้ ว่าหลานเยาเยาจะเหวี่ยงจอบลงไปบนพื้น และกระซิบว่า: “ใครผิดคำพูด ก็คงจะรู้ว่าเหวี่ยงจอบไว้ตรงนี้เพื่อเหตุใด หากไม่ใช่เพราะว่าข้าจะฝังใครสักคน”

ฮัวหยู่อัน: “……” ก็จะยังหยิบมันขึ้นมาอีกจริงๆด้วย!

ทันใดนั้น ฮัวหยู่อันก็ “ตุ๊บ” คุกเข่าลงบนพื้นและร้องไห้อย่างสิ้นหวัง

“กรี๊ด ฮึกฮึกฮึก……”

“อาฝู โม่ซาง ขอโทษ ข้ากลับมาช้าไป หากข้ากลับมาเร็วเสียกว่านี้เสียหน่อยก็คงดี จะได้เห็นหน้าพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ฮึกฮึกฮึก……” หลานเยาเยาก็ยังอยากจะขุดหลุมฝังนางอยู่ดี นางจะต้องร้องไห้อย่างสุดซึ้ง หลังจากนั้นก็ขอพรจากฟ้า ซึ่งตอนนี้มันเหมือนกับทำให้ฟ้าผ่าลงที่หลานเยาเยาจนไหม้เกรียม

พอมองเห็นฮัวหยู่อันที่ร้องห่มร้องไห้อย่างเศร้าโศก หลานเยาเยาก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้แก่นาง!

เสี่ยวฮัวก็ยังมีทักษะการแสดงอยู่บ้าง! ร้องไห้ออกมาได้อย่างแนบเนียน

เมื่อทุกคนได้ยินเสียงร้องของฮัวหยู่อัน ก็มีคนรีบเข้ามาปลอบนาง แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสามก็ยังมาตบไหล่ของนางด้วยความรักความเอ็นดู เพื่อที่นางจะได้ไม่โศกเศร้าจนเกินไป

แต่ทว่า!

ยิ่งพวกเขาปลอบโยน ฮัวหยู่อันก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้อง หลานเยาเยาเห็นว่ามีเวลาเหลือไม่มาก แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีนางก็โดนเบียดออกมาไกลมากแล้ว ส่วนฮัวหยู่อันนั้น ก็ถูกพยุงขึ้นและกลับเข้าในเผ่าไป

นางเห็นท่าทีของฮัวหยู่อันที่กำลังขอความช่วยเหลือจากที่ไกลๆ

หลานเยาเยาอยากที่จะช่วยแต่ก็ทำไม่ได้!

เพลานี้อยู่ในพื้นที่ของชนเผ่า พวกเขาไม่สามารถที่จะเผยตัวตนได้ ดังนั้นจึงต้องไม่ทำตัวให้เป็นที่สนใจ หากนางฟันฝ่าทุกสิ่งอย่าง เบียดตัวเข้าไปหาเสี่ยวฮัวเพื่อเอายาถอนพิษให้แก่นาง เช่นนั้นก็คงจะเป็นจุดสนใจจนเกินไป

ดูเหมือนว่า จะทำได้เพียงรู้สึกผิดต่อนางไปทั้งคืนทั้งวัน……

“หยู่อันพาเพื่อนมากันกี่คนรึ?”

เสียงของผู้มีอายุที่ดังขึ้น ได้ดึงสายตาของหลานเยาเยากลับมา

ปรากฏว่าเป็นผู้อาวุโสทั้งสาม พวกเขาไม่ได้กลับไปพร้อมกับคนอื่นๆ จึงได้เดินไปทางพวกเขา สีหน้าเดิมที่ไม่พึงประจักษ์ ก็ผ่อนคลายขึ้นมา

แต่อย่างไรก็ตาม!

ด้วยการถามทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจของพวกเขา สายตาของเย่แจ๋หยิ่งจึงมองไกลออกไปเหมือนไม่สนใจสิ่งใด

หานแสก็หันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว พลางเดินตามคนอื่นๆไป

เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสทั้งสามลำบากใจไปชั่วขณะ หลานเยาเยาจึงรีบชี้แจง:

“ผู้อาวุโสทั้งสามอย่าได้ใส่ใจ พวกเขานั้น เป็นพวกไม่ค่อยชอบพูดชอบจา ทั้งยังมีทักษะอันน้อยนิดและคิดว่าตนนั้นยิ่งใหญ่ แต่จริงๆแล้วก็เป็นเพียงแค่เสือกระดาษไร้ซึ่งอำนาจ”

เมื่อนางชักแม่น้ำทั้งห้า

“ตู้ม…”

เสียงระเบิดที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนั้น ทำให้หลานเยาเยารีบหันไปมอง และตกตะลึงไปชั่วขณะ คนที่ทำให้เสียงนั้นดังขึ้นมาก็คือหานแส

เขาใช้กำลังภายในตีก้อนหินขนาดใหญ่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อพวกเขาหันไปมอง เขาก็ตบฝุ่นบนเสื้อคลุมของตน แล้วจากไป

ผู้อาวุโสทั้งสาม: “……”

แบบนี้เรียกว่ามีทักษะอันน้อยนิดรึ? พวกเขาทั้งสามทำได้เพียงขยับเข้ามาหากันให้มากที่สุด

เอ่อ……

ชายผู้นี้เป็นบ้าอะไร?

หลานเยาเยาหมดคำจะพูด แต่ก็แอบดีใจ ที่โชคดียังมีเย่แจ๋หยิ่งอยู่ข้างๆ ทั้งยังไม่ฉีกหน้านาง แต่นางหารู้ไม่ว่าในช่วงที่ผู้อาวุโสทั้งสามมองไปทางเย่แจ๋หยิ่ง ต่างก็รู้สึกเหมือนถูกครอบงำด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น

สีหน้าของพวกเขาเเปรเปลี่ยนในทันใด แววตาสว่างวาบอย่างหวาดหวั่น

เพราะจริงๆแล้วคนที่น่าเกรงกลัวที่สุดก็คือเขา

ดูเหมือนจะไม่มีพิษไม่มีภัย แต่แววตานั้นล้ำลึกดั่งกระแสน้ำวน เหมือนกับว่าสามารถมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง และหมิ่นชังในทุกสรรพสิ่ง เป็นกำลังภายในที่มิอาจหยั่งรู้ได้ ซึ่งทำให้คนต่างหวั่นเกรงเมื่อได้พบเจอ

“ที่จริงแล้วมีผู้ทรงเกียรติมาเยี่ยมเยียน เป็นเหตุให้ก่อนหน้านี้มิได้ออกมาพบ ต้องขออภัยด้วย” ผู้อาวุโสใหญ่แสดงความรู้สึกผิด

ระหว่างทางก่อนที่จะเข้ามายังชนเผ่า ยามลับที่อยู่บนหอคอยของชนเผ่า ก็ได้เห็นฮัวหยู่อันพาคนจำนวนหนึ่งมาทางประตูใหญ่ของชนเผ่า

พวกเขาต่างนึกว่าเป็นเพียงคนทั่วๆไปที่ฮัวหยู่อันได้ผูกมิตรด้วย เช่นนั้นจึงกลับมาจัดการพิธีสังเวยต่อ ไม่ได้ส่งคนมาต้อนรับ

ไม่คิดเลยว่าคนเหล่านี้ จะไม่ใช่พวกที่ง่ายต่อการจัดการ