บทที่ 219 ความเหนื่อยล้า
บทที่ 219 ความเหนื่อยล้า
ยามดึก
รถหรูแปดคันจอดอยู่หน้าบ้านบรรพบุรุษตะกูลหวง เมื่อประตูรถคันหนึ่งถูกผลักเปิดออก ชายสี่คนที่เคยดื่มกับหวงไห่เทาก็ลงจากรถ แต่ละคนมีบอดี้การ์ดหลายคนซึ่งดูเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่มาก
“เข้าไปเลยไหม” หวงไห่เทาถามเพื่อน ๆ ด้วยรอยยิ้ม
“ดี” หลี่เซียวลี่พยักหน้า เขาอยากจะได้ยาต้มอี้เฉินมาใช้เต็มทีแล้ว
และเพื่อป้องกันไม่ให้คืนนี้เสียเปล่า เขาก็ได้โทรหาเพื่อนสนิทของเขาอีกหลายคน และขอให้คนเหล่านั้นมาที่จินหลิง หากคำนวณเวลาแล้ว เหล่าเพื่อนของเขาน่าจะมาถึงในชั่วโมงกว่า ๆ
“ทุกคนไม่จำเป็นต้องพาบอดี้การ์ดเข้ามา บ้านบรรพบุรุษตระกูลหวงของเราปลอดภัยมาก” หวงไห่เทากล่าวด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
หลายคนสบตากันและพยักหน้าเห็นด้วย
ขณะที่ชายทั้งสี่เดินตามหวงไห่เทาไปที่ประตูบ้าน พวกเขาก็เห็นว่ามีชายฉกรรจ์หลายสิบคนที่มีบางอย่างคล้ายกับเหน็บอยู่ที่เอว เห็นได้ชัดว่ามีอาวุธซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าของคนเหล่านั้น
ตลอดข้างหน้า
พวกเขารู้สึกตกใจเพราะพบว่าไม่เพียงมีกลุ่มคนพกอาวุธมากกว่าโหลที่สนามหน้าบ้านเท่านั้น แต่ยังมีชายพกอาวุธอีกจำนวนมากที่คอยลาดตระเวนบ้านบรรพบุรุษของตระกูลหวงทั้งหมด มากกว่าสี่สิบคน
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงกลุ่มคนพกอาวุธที่พวกเขามองเห็นได้ชัดเจน
ใครจะไปรู้ว่ามีอีกกี่คนที่ซ่อนอยู่อย่างลับ ๆ?
ในไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงห้องที่เต็มไปด้วยตู้และชั้นวางของ ซึ่งทั้งหมดถูกประดับด้วยขวดหยกที่ถูกแกะสลักอย่างสวยงาม มองเพียงแวบแรกก็รู้สึกตื่นตา
“ไห่เทา นี่คือยาต้มอี้เฉินหรือเปล่า” หลี่เซียวลี่ถาม
“ใช่ ยาต้มอี้เฉินสี่พันขวด”
“ฉันขอถามได้ไหมว่าจะทำยาต้มอี้เฉินทั้งหมดกี่ขวด”
“เบื้องต้นจะทำทั้งหมดหนึ่งหมื่นขวด และฉันขายไปแล้วหนึ่งพันขวด ดังนั้นยังเหลืออีกเก้าพันขวด หลังจากที่มันหมดลงแล้ว ฉันอาจจะไม่ได้ขายอีก เพราะคนคนนั้น… ไม่อยากจะทำมันสักเท่าไหร่” หวงไห่เทากล่าวอย่างหมดหนทาง
“ไม่ทำอีกแล้วเหรอ?” หลี่เซียวลี่งงงวย
“เขาไม่ได้ขาดแคลนเงิน! ฉันต้องอ้นวอนให้เขาทำ และเขาก็ตกลงอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่” หวงไห่เทายิ้มอย่างขมขื่น
ตอนนี้หวงไห่เทาทั้งแอบดีใจและแอบหดหู่
เขารู้ความคิดของโจวอี้ ตอนแรกที่โจวอี้ต้องการทำยาต้มอี้เฉินขายเป็นเพราะต้องการเงินจำนวนมากมาเพื่อสร้างโรงเรียนในจินหลิง ไม่อย่างนั้นโจวอี้คงไม่มีทางเต็มใจทำยาต้มอี้เฉินออกมาขายแน่ ๆ
แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้โจวอี้กลับได้รับเงินมากกว่า 3.3 พันล้านหยวน สิ่งนี้ทำให้เขาพูดไม่ออก โชคดีที่โจวอี้ตัดสินใจทำยาต้มอี้เฉินก่อนที่จะได้รับมัน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าโจวอี้คงไม่ต้องการทำเงินจากยาต้มอี้เฉินอีกต่อไปแล้ว
ช็องเซลิเซ่ ลานติง วิลล่า
เมื่อโจวอี้กลับถึงบ้าน เขาก็แค่ล้างหน้าและบ้วนปาก จากนั้นก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง
การทำยาต้มอี้เฉินอย่างต่อเนื่องทำให้เขาหมดแรง ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือการนอน
อย่างไรก็ตาม ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากที่เขาหลับไป โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
เขารับโทรศัพท์ด้วยสภาพงัวเงีย แต่เมื่อเห็นหมายเลขที่โทรเข้ามา เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นทันที
“คุณยังไม่นอนอีกเหรอ?” โจวอี้ถามปลายสาย
“อืม”
“โทรมามีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไร… ฉันวางสายล่ะ”
“อืม” โจวอี้ตอบรับ ก่อนจะโยนโทรศัพท์มือถือทิ้งและนอนต่อ
เมืองภาพยนตร์ซือซี
ถังหว่านนั่งอยู่บนเตียงในชุดนอน มองดูโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าหงุดหงิด
เธอรอให้โจวอี้โทรหาหรือไม่ก็ส่งข้อความมาไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ แต่ท้ายที่สุดมันกลับกลายเป็นว่าเธอรอเก้อ ถ้าเธอไม่ได้รู้จากลูกสาวว่าช่วงนี้โจวอี้กำลังยุ่งอยู่กับงาน เธอคงคิดว่าโจวอี้กำลังจะละทิ้งภรรยาและลูกสาวไปจากจินหลิงแล้ว
แต่!
การที่เขาวางสายไปง่าย ๆ แบบนี้คืออะไร?
จะไม่พูดอะไรอีกสักสองสามคำกับฉันเลยเหรอ?
ไม่ใช่ว่าคืนนั้นก่อนที่ฉันจะออกจากบ้านมาถ่ายละคร คุณยังต้องการที่จะ…
ถังหว่านนอนไม่หลับทั้งคืน
อย่างไรก็ตาม โจวอี้ไม่รู้เรื่องความว้าวุ่นใจของถังหว่าน เขานอนหลับสนิทมากจนทำอาหารเช้าไม่ทัน เมื่อเขาลืมตา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของลูกสาวก็ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย
“ลูกสาวที่รัก ทำไมวันนี้หนูตื่นเช้าจัง” โจวอี้โอบลูกสาวไว้ในอ้อมแขนและจูบใบหน้าอันบอบบางของเด็กน้อย
“พ่อจ๋า มันสายแล้ว! เกือบจะแปดโมงแล้วนะ หนูกินข้าวเสร็จแล้ว” ถังเหมียวเหมี่ยวแสร้งทำเป็นรังเกียจและเช็ดบริเวณที่โดนโจวอี้จูบ จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “พ่อจ๋า วันนี้หนูต้องไปโรงเรียนไหม? พ่อจะลาหยุดให้หนูอีกไหม?”
“เกือบแปดโมงแล้ว? สายขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย?” โจวอี้ลุกขึ้นมองดูเวลา ตอนนี้มันเป็นเวลาก่อนแปดโมงเช้าเพียงสองนาทีเท่านั้น “ลูกสาวพ่อ ใครทำอาหารให้ลูกล่ะเช้านี้?”
“ป้าเหม่ยทำอาหารให้ตอนที่เห็นว่าพ่อยังนอนอยู่บนเตียง” จู่ ๆ ถังเหมียวเหมี่ยวก็กระซิบที่หูของโจวอี้ “พ่อจ๋า อาหารเช้าที่ป้าเหม่ยทำไม่ดีเท่าของพ่อเลย”
“ฮ่า ฮ่า เอาไว้พรุ่งนี้พ่อจะทำอาหารเช้าให้นะ” โจวอี้พอใจกับสิ่งที่เด็กน้อยพูด เขารีบอาบน้ำแต่งตัว ลงไปทักทายผู้คนในห้องนั่งเล่น และพาลูกสาวไปโรงเรียน
วันนี้เป็นวันจันทร์
เขาไม่เพียงส่งลูกสาวไปโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังไปทำงานที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิงด้วย
เขาขอลาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและไปที่นั่นเพียงวันเดียว
ดังนั้นเขาจึงต้องทำงานชดเชยเป็นเวลาสองวัน เพื่อรักษาผู้ป่วยเคสยากที่ถูกส่งมายังโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิง
08.30 น.
โจวอี้มาถึงห้องให้คำปรึกษา ทว่าวันนี้เขาต้องประหลาดใจเพราะมีคิวยาวออกมานอกห้อง อย่างน้อย ๆ มองดูแล้วก็มีอยู่หลายสิบคน…
คนพวกนี้ถูกส่งมาผิดแผนกหรือเปล่า?
นี่คือห้องให้คำปรึกษาสำหรับผู้ป่วยเคสยากร้ายแรง ไม่ใช่ห้องให้คำปรึกษาธรรมดา ปกติแล้วคิวที่ยาวขนาดนี้จะมีให้เห็นได้เฉพาะหน้าห้องให้คำปรึกษาทั่วไปไม่ใช่เหรอ?
โจวอี้กำลังจะเดินไปถึงประตูห้องให้คำปรึกษา ทว่าก็มีเสียงดังขัดขึ้นมา
“เฮ้ ๆๆ นายกำลังทำอะไร? รู้จักการเข้าคิวไหม?” ชายวัยกลางคนตะโกนใส่โจวอี้ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
โจวอี้หันไปมองอีกฝ่ายที่อยู่ข้างหลังเขาเพียงไม่กี่เมตร ก่อนจะชี้มาที่ตัวเองแล้วถามว่า “คุณหมายถึงผมเหรอ?”
“ก็พูดถึงนายน่ะสิ! นี่นายสติไม่ดีรึไงถึงยังไม่รู้ตัวอีก!” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความโกรธเคือง
“ถูกต้อง เราเข้าคิวที่นี่มานานแล้ว ทำไมคนหนุ่มอย่างนายถึงไม่รู้กฎ ถ้าต้องการพบหมอโจว นายต้องลงทะเบียนก่อน จากนั้นก็ต้องต่อคิวด้วย เข้าใจไหม?” ป้าวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ ๆ กันก็พูดขึ้นมาด้วยความโกรธ
โจวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เขาพบว่าหลายคนมองมาที่เขาอย่างเดือดดาลและรังเกียจ ฉากนี้ทำให้เขายิ้มอย่างขมขื่นทันที
“คุณแน่ใจเหรอว่าต้องการให้หมอโจวรักษาคุณ” โจวอี้ยิ้ม
“ไร้สาระ ถ้าเราไม่อยากให้หมอโจวรักษา เราจะมาต่อคิวตรงนี้เพื่ออะไร?” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างเย็นชา
“ถ้างั้นตอบผมที คุณต้องการขอให้หมอโจวรักษาให้ แต่ทำไมกลับไม่ให้เขาเข้าไปในห้องให้คำปรึกษาของเขาเองล่ะ?” โจวอี้ถาม
“พวกเราไม่ให้หมอโจวเข้าไปในห้องตอนไหน…!” ชายวัยกลางตวาดออกมา แต่ก็ต้องหยุดประโยคไว้กลางคัน