บทที่ 220 ป้าเฝิง

บทที่ 220 ป้าเฝิง

เมื่อประโยคของชายวัยกลางคนหยุดลงกลางคัน รอบ ๆ ตัวเขาก็เงียบลงกะทันหัน ตอนนี้ไม่ว่าพวกเขาจะโง่แค่ไหน พวกเขาก็พอจะเดาตัวตนของโจวอี้ได้แล้ว

โง่งม กระอักกระอ่วน

นี่คือการแสดงออกของทุกคนในเวลานี้

พวกเขาไม่คาดคิดว่าหมอโจวที่โด่งดังจะอายุน้อยขนาดนี้ นับประสาอะไรกับการที่พวกเขาจะเข้าใจผิดว่าหมอโจวเป็นคนไข้ที่มาต่อคิวรอพบหมอ

“เหอะ ๆ!” โจวอี้ยิ้มและเดินตรงเข้าไปในห้องให้คำปรึกษา

เวลานี้เหลียนซานกำลังรออยู่ในห้อง เมื่อเห็นโจวอี้เข้ามา เธอก็ต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม “คุณหมอโจว คุณมาแล้ว วันนี้มีผู้ป่วยมากมายมารอคุณ”

“คนเยอะขนาดนี้ได้ยังไง” โจวอี้ถาม

“ตอนนี้โรงพยาบาลทุกแห่งในมณฑลเจียงซูทราบว่าโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิงมีแพทย์หนุ่มชาวจีนที่เก่งกาจมาก ซึ่งเชี่ยวชาญในการรักษาโรคที่ยาก ๆ ดังนั้นผู้ป่วยที่โรงพยาบาลอื่น ๆ ไม่สามารถรักษาให้หายได้จึงได้รับการแนะนำให้มาที่เรา” เหลียนซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พูดได้ว่าคุณได้รับความนิยมในวงการแพทย์ของมณฑลเจียงซูเชียวนะ”

นิยม?

โจวอี้ไม่อยากได้ยินคำนี้จริง ๆ

เมื่อชื่อเสียงโด่งดังเกินไป มันจะดึงดูดทั้งสิ่งที่ถูกและผิดเข้ามา

สิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือการรักษาคนไข้อย่างเงียบ ๆ และดูแลลูกสาวของเขาให้อยู่อย่างสุขสงบ เขาไม่อยากมีปัญหาอะไรอีก เขาเบื่อกับการถูกมุ่งร้ายหรือถูกโจมตีจากผู้อื่น

“ดื่มชาก่อนนะหมอโจว”

เหลียนซานส่งชาหอมกรุ่นให้โจวอี้

โจวอี้จิบชาเล็กน้อย จากนั้นก็วางถ้วยลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปที่ด้านหนึ่งของห้อง แล้วคว้าเสื้อกาวน์สีขาวมาสวม “เริ่มกันเลย”

“ค่ะ!” เหลียนซานตะโกนออกไปที่ประตูทันที “ผู้ป่วยหมายเลข 1 เข้ามาได้ค่ะ”

มันไม่ใช่เรื่องง่ายของโจวอี้เช่นกันกับการต้องมานั่งในโรงพยาบาลเพื่อวินิจฉัยผู้ป่วยโรคยากจำนวนมากขนาดนี้ เคสแปลก ๆ มากมายหลายประเภททำให้เขาต้องขมวดคิ้ว

ช่วงนี้มีผู้ป่วยด้วยโรคแปลก ๆ ที่หาสาเหตุไม่ได้

โชคดีที่ผู้ป่วยเหล่านี้มีอาการคงที่มาบ้างแล้วเพราะการรักษาจากโรงพยาบาลอื่น ดังนั้นโจวอี้จึงขอให้เหล่าผู้ป่วยที่เขาวินิจฉัยไม่ได้กลับออกไปนอนรอที่วอร์ดก่อน และเรียกผู้ป่วยคนอื่น ๆ มาวินิจฉัยต่อไป

เขาไม่ได้พักเที่ยง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเขาทำงานจนไม่ได้พักเลย

จนกระทั่งเวลา 15.30 น. ผู้ป่วยทั้งหมดก็ได้รับการวินิจฉัยสำเร็จบ้าง และไม่สำเร็จบ้าง

“หิวไหม? คุณไปกินข้าวก่อนก็ได้ แล้วถ้ามีอะไรผมจะโทรหา” โจวอี้บอกเหลียนซานที่กำลังหิว

“หมอโจว ไปโรงอาหารกับฉันเถอะ! วันนี้คุณยังไม่ได้พักเที่ยงเลย ฉันคิดว่าคุณคงหิวเหมือนกัน” เหลียนซานเตือนด้วยความเป็นห่วง

“ผมยังไม่หิว” โจวอี้โบกมือ

“อืม ถ้างั้นฉันจะเอาอาหารมาให้คุณที่นี่ก็แล้วกัน” เหลียนซานรู้สึกหมดหนทาง ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้คำปรึกษา

โจวอี้ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะกินอะไรได้

ผู้ป่วยที่เขาส่งตัวกลับแผนกผู้ป่วยในมีอาการแปลก ๆ ที่เขาหาสาเหตุไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอซึ่งเขาเอาออกมาไม่ได้

เขาโทรหาอาจารย์แต่ก็ไม่มีใครรับสาย

ด้วยความสิ้นหวัง เขาทำได้เพียงโทรหาถงหู่ และขอให้อีกฝ่ายเอาโทรศัพท์ไปให้แม่เฒ่าเทียนจี้คุย

“เสี่ยวอี้! เกิดอะไรขึ้น?” เสียงแม่เฒ่าเทียนจี้ถามออกมาจากปลายสาย

“คุณย่าโจว ผมเจอคนไข้ในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีน แต่ผมวินิจฉัยไม่สำเร็จ ผมบอกไม่ได้ว่าพวกเขาบางคนเป็นโรคอะไร ผมเลยอยากถามคุณย่าว่าพอจะรู้จักใครที่เก่ง ๆ ในด้านการแพทย์แผนจีนในสำนักโอสถของเราบ้างไหม ผมอยากขอคำปรึกษาจากเขาสักหน่อย”

“ฉันรู้จักคนมากมาย! แต่พวกเขาอยู่ที่ภูเขาชางหลาง หรือไม่ก็กระจายไปทั่วโลก ฉันไม่มีข้อมูลติดต่อน่ะสิ”

“งั้นผมควรทำยังไงดี”

“ขอฉันคิดแป๊บนึงนะ! จริงสิ ถามป้าของเจ้ายังไงล่ะ เสี่ยวอี้! เธอคนนั้นมีชื่อเสียงมากในวงการแพทย์จีน เจ้าสามารถหาข้อมูลติดต่อของเธอได้ถ้าถามใครสักคน” จู่ ๆ แม่เฒ่าเทียนจี้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แต่ป้าของเจ้าเป็นคนที่มีอารมณ์แปลก ๆ ถ้าเจ้าติดต่อได้ อย่าลืมพูดอะไรที่ดี ๆ หน่อยล่ะ”

“ป้า? ผมมีป้าอีกคนเหรอ?” โจวอี้ประหลาดใจ

“แน่นอน! อาจารย์ของเจ้าในฐานะประมุขน่ะไม่ได้โดดเดี่ยวนะ จริง ๆ แล้วเธอยังมีพี่น้องอีกเข้าใจไหม? แต่คนเหล่านั้นทุกคนต่างเก็บตัวอยู่ทุกที่เพื่อร่ำเรียนวิชาแพทย์ มันยากที่จะตามหาพวกเขาสักหน่อย”

“คุณย่าโจว บอกผมทีว่าป้าของผมคือใคร”

“ป้าของเจ้าชื่อเฝิงอาเหม่ย ดูเหมือนว่าเธอจะเปิดคลินิกการแพทย์ในเมืองหลวง ถ้าถามใครสักคนก็จะรู้เอง”

“ขอบคุณครับ!”

โจวอี้วางสายโทรศัพท์ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโทรหาหยางเฉิงโซ่ว

“โจวอี้ นายจะตามหาเฝิงอาเหม่ยเพื่ออะไร เธอเป็นคนแปลก ๆ และไม่ชอบติดต่อกับคนแปลกหน้า” หยางเฉิงโซ่วถามด้วยความประหลาดใจ

“เธอเป็นป้าของผม ผมพบคนไข้เคสยากที่ผมบอกไม่ได้ว่าเป็นโรคอะไร ผมเลยต้องขอคำแนะนำจากเธอ”

“พี่สาวเฝิงเป็นป้าของนาย? นี่เธอเป็นศิษย์สำนักโอสถด้วยงั้นเหรอ?” หยางเฉิงโซ่วถึงกับประหลาดใจ

“ใช่! คุณไม่รู้เหรอ?”

“ไม่รู้น่ะสิ! อย่าว่าแต่ฉันเลย เกรงว่าหมอทุกคนในเมืองหลวงก็คงไม่มีใครรู้เหมือนกัน” หยางเฉิงโซ่วยิ้มอย่างขมขื่น แต่เขามีข้อมูลติดต่อของเฝิงอาเหม่ย ดังนั้นเขาจึงบอกข้อมูลให้กับโจวอี้

ถนนเหยียนหนาน

อาคารแบบจีนโบราณขนาดไม่ใหญ่นักแห่งนี้ไม่ใช่ร้านอาหาร แต่เป็นคลินิกแพทย์ที่อยู่บริเวณชานเมือง

กลิ่นหอมจาง ๆ ของสมุนไพรอบอวลไปทั่วทุกมุมของอาคาร

ที่มุมด้านในสุดมีโต๊ะวินิจฉัยโรคอยู่ด้วย หลังโต๊ะวินิจฉัยมีหญิงคนหนึ่งอายุมากกว่า 40 ปี ผมที่ขมับเป็นสีขาว และตอนนี้ไม่มีคนไข้มาใช้บริการ เธอจึงถือตำราทางการแพทย์โบราณและอ่านมันด้วยความสนใจ

กริ๊ง…

เสียงโทรศัพท์มือถือทำให้เธอพลันขมวดคิ้ว

หลังจากโทรศัพท์ดังติดต่อกันหลายครั้ง เธอก็เอื้อมมือไปคว้ามันมาอย่างช้า ๆ โดยไม่ได้ดูหมายเลขของผู้โทรเข้า เธอรับสายและถามขึ้นทันทีว่า “ใคร?”

“คุณคือหมอเฝิงอาเหม่ย?”

“ใช่”

“สวัสดีครับป้าเฝิง ผมโจวอี้”

เฝิงอาเหม่ยเลิกคิ้วขึ้นทันที จากนั้นเธอก็นึกถึงไอ้เจ้าเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่เธอเคยเห็นวิ่งไปรอบ ๆ ภูเขาด้วยบั้นท้ายที่เปลือยเปล่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว

หากนับดูแล้ว เหมือนว่าเด็กคนนั้นจะอายุยี่สิบห้าในปีนี้ใช่ไหมนะ?

ตอนนี้เขาคงเติบใหญ่เป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว

“นายเองเหรอ โทรมาทำไม?” เฝิงอาเหม่ยถามอย่างเกียจคร้าน

“ป้ารู้จักผมด้วยเหรอครับ?”

“ใช่ เพราะนายมีไฝที่บั้นท้าย มันสังเกตได้ง่าย ๆ เลย”

“…”

โจวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่เขามีไฝที่บั้นท้ายจริง ๆ แล้วเธอรู้ได้อย่างไร? เธอเคยเห็นเขาเปลือยมาก่อนเหรอ? แต่ทำไมเขาถึงจำป้าคนนี้ไม่ได้เลย?

หรือว่า!

แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร แต่เธอกลับสามารถเห็นไฝที่บั้นท้ายของเขาที่อยู่ปลายสายได้?

“คุณป้า ผมพบผู้ป่วยโรคแปลก ๆ ที่ซับซ้อน หลังจากตรวจดูแล้ว ผมไม่ทราบอาการของเธอ ผมจึงถือวิสาสะติดต่อป้า และหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะสักหน่อย”

“เล่ามา!”

“คือแบบนี้…”

โจวอี้เล่าอาการของผู้ป่วย และสุดท้ายก็พูดว่า “ผมรู้ว่าไม่มีผีในโลก ดังนั้นมันไม่สามารถเป็นผีไปได้หรอก แต่เมื่ออาการป่วยของเธอเกิดขึ้นแบบนี้ มันก็เกือบจะเหมือนผี”

“นายแน่ใจเหรอว่าเสียงของเธอจะเปลี่ยนเมื่ออาการกำเริบ?” เฝิงอาเหม่ยถาม

“ผมไม่แน่ใจ เพราะผมไม่ได้เห็นเองกับตา อาการดังกล่าวที่ผมเล่าให้ป้าฟัง ผมได้รับทราบมาจากคำบอกเล่าของสมาชิกในครอบครัวของเธออีกที”

“งั้นก็รอจนกว่าเธอจะอาการกำเริบอีกครั้ง ถ้าอาการกำเริบนั้นเป็นไปตามที่นายว่า มันก็หมายความว่าเธอเป็นโรควิญญาณฝัน คนที่ป่วยเป็นโรคนี้จะเหมือนฝัน แต่เป็นฝันที่ไม่ธรรมดา เวลาผู้คนฝันนั้นจะเป็นตัวของตัวเองใช่ไหม แต่ในความฝันของคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ เขาจะกลายเป็นคนอื่นในความฝันนั้น ดังนั้นเวลาที่ผู้ป่วยพูด เสียงก็จะเปลี่ยนไปเป็นเสียงของคนอื่น” เฝิงอาเหม่ยกล่าว

โรควิญญาณฝัน?

ทำไมเขาไม่เคยเห็นบันทึกโรคนี้ในตำรามาก่อน?

โจวอี้รู้สึกงงงวย แต่เขาก็ยังกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของป้าเฝิงมากครับ ผมจะลองวินิจฉัยใหม่ถ้าคนไข้มีอาการกำเริบอีกรอบ”

“อืม!”