ต้วนหรูเฟิงที่ทะยานขึ้นมาดั่งจรวด
ที่ตั้งของนิกายอัคคีล่องลอยนั้น ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ใจกลางที่มีภูเขาไฟล้อมรอบ
แน่นอนว่าภูเขาไฟหลายลูกที่อยู่บริเวณนี้นอกจากลูกที่ตั้งติดกับพื้นที่ตรงกลางที่ยังคุกรุ่นอยู่เสมอ ลูกอื่นนั้นเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทไปแล้วทั้งสิ้น
เขตในกับเขตนอกของนายก็แบ่งแยกกันในพื้นที่ระหว่างภูเขาไฟที่ดับกับยังคุกรุ่นอยู่
พื้นที่ๆภูเขาไฟยังคุกรุ่นอยู่นั้น กล่าวไปยังเป็นเขตหวงห้ามของนิกายอัคคีล่องลอย ยังเป็นพื้นที่อันพิเศษของเขตใน เพราะมันเป็นสถานที่บ่มเพาะพลังของตัวตนในขอบเขตเซียนของนิกาย
โดยปกติแล้วพื้นที่ส่วนนี้จะอนุญาตให้แต่ผู้อาวุโสฝ่ายในระดับสูงๆเท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้ แน่นอนว่ายังต้องมีเรื่องที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น…
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา กฏดังกล่าวกลับต้องถูกละเว้นไปเพื่อคนๆหนึ่ง!
ยังเป็นคนแรกที่ไม่ได้บรรลุขอบเขตเซียน แต่สามารถมาฝึกฝนบ่มเพาะพลังในพื้นที่ต้องห้ามส่วนนี้ของนิกายอัคคีล่องลอยได้! นอกจากนี้นางยังเป็นศิษย์ปิดสำนักของประมุขนิกายอัคคีล่องลอย ที่รู้จักกันดีในนาม ‘แม่นางเฟิ่ง’
ตอนนี้หลายคนยังจดจำได้ดีว่ายามที่นางมาถึงนิกายเป็นครั้งแรก ทั้งหลายต่างพากันอิจฉากันขนาดไหน ยังซุบซิบนินทาว่าร้ายกันอย่างไร…
ทั้งหมดคิดว่าเพียงเพราะนางโชคดีที่มีอาจารย์เป็นประมุขนิกาย ทำให้สามารถลอบเข้าประตูหลังมาได้เช่นนี้ อีกทั้งยังร่ำลือกันว่านางมีวาจาประจบประแจงเป็นเลิศ ประมุขถึงกล้าละเว้นกฏดังกล่าวให้นางเข้ามาฝึกปรือในพื้นที่หวงห้าม อันเป็นสถานที่ๆมีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นที่สุด…
ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้ประมุขนิกายอัคคีล่องลอย เคยรับศิษย์ส่วนตัวไว้ 2 คน อนิจจาไร้ผู้ใดได้รับอภิสิทธิ์ดั่ง แม่นางเฟิ่ง สักคน! ไม่อาจเข้ามาฝึกฝนบ่มเพาะในพื้นที่ต้องห้ามของนิกายแบบนาง..
อย่างไรก็ตามหลังจากวันนั้นผ่านมาไม่กี่ปี ก็ไม่มีใครกล้ากล่าวนินทาว่าร้าย แม่นางเฟิ่ง ผู้นี้อีกต่อไป และไม่มีใครกล้าคิดว่านางไร้คุณสมบัติบ่มเพาะในพื้นที่อันประเสริฐแห่งนี้แม้คนเดียว!
ล้อกันเล่นหรือไร!
จากความสำเร็จที่นางเผยออกมาทุกวันนี้ นางถูกลิขิตมาแล้วเต็มสิบส่วนว่าต้องบรรลุขอบเขตเซียนได้แน่ๆ อีกทั้งพลังฝีมือในภายภาคหน้าย่อมไม่มีทางต่ำต้อยไปกว่าประมุขนิกายและยอดฝีมืออันเป็นเสาหลักของนิกายแน่นอน
นั่นเพราะให้เป็นประมุขนิกายและอาวุโสขอบเขตเซียนทั้งหลาย ตอนที่ทั้งหมดมีอายุเท่านาง ไม่มีผู้ใดมีความสำเร็จได้ถึงครึ่งของนางสักคน!
ดังนั้นไม่ว่าจะสูงหรือต่ำในนิกาย ไม่มีใครหาญกล้าว่าร้ายนางสืบไป
ในบริเวณใจกลางของพื้นที่ต้องห้ามของนิกาย มีลานแห่งหนึ่งถูกสร้างไว้อยู่กลางภูเขา
ในลานเต็มไปด้วยแปลงดอกไม้อันเขียวขจี มีไม้ดอกไม้ประดับงดงามยากจะเห็น ปลูกเรียงรายกันเป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกสงบเงียบนัก
ถัดจากลานก็เป็นบ้านหลังหนึ่ง และยามนี้ก็ปรากฏร่างสตรีในชุดสีแดงเพลิงปานเทพธิดาอัคคีเปิดประตูเดินเข้ามาในลานอย่างเงียบงัน
ผมยาวสลวยของนางทอดยาวลงมาถึงเอวบางดั่งม่านน้ำตก รูปโฉมพวงพักต์แลดูสมบูรณ์ไร้ตำหนิ แม้นกล่าวว่าธิดาสวรรค์จุติลงมาเกิดยังไม่เกินเลย
คิ้วโค้งงาม ดวงตากระจ่างใส จมูกเล็กโด่งสัน ริมฝีปากอวบอิ่มขึ้นสีดั่งอิงเถา ทั้งหมดลงตัวปานภาพวาดที่รังสรรมาจากเซียนสวรรค์…
ไม่ใช่คำกล่าวเกินเลยแม้แต่น้อย หากจะบอกว่าสตรีชุดแดงนางนี้ เป็นโฉมงามล่มเมือง!
“ยังอีกแค่ก้าวเดียว…”
สตรีนางนั้นพึ่งออกมาจากบ้านและยืนอยู่ในลานได้ไม่นาน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า “พี่ใหญ่ต้วน…อีกไม่นานเทียนหวู่จะไปหาท่านแล้ว…ท่านอาจารย์กล่าวไว้ตราบใดที่ข้าทะลวงถึงขอบเขตเซียนเมื่อใด ท่านอาจารย์จะวางใจให้ข้าออกจากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากลับไปยังทวีปเมฆาล่อง…พี่ใหญ่ต้วนท่านรอข้านะ อีกแค่ก้าวเดียวข้าก็จะทะลวงผ่านจุดรอคอยสุดท้ายและบรรลุเซียนแล้ว…”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด หากแต่สตรีโฉมงามนางนั้นกลับแหงนมองฟ้าทิศใต้ ด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง
สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเลื่อนลอยท่วมท้นไปด้วยคะนึงหา…คล้ายใจของนางลอยละลิ่วปลิวเหินข้ามเมฆไปยังแดนไกล
อย่างไรก็ตามไม่นานกลับมีร่างหนึ่งมาเยือนถึงที่ทำให้นางหลุดออกจากห้วงคิดแสนหวาน และผู้ที่พึ่งมาถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น สื่ออวิ๋น ประมุขนิกายอัคคีล่องลอย
สื่ออวิ๋นนั้นเป็นสตรีที่แลดูสง่างามทั้งเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงส่งมากบารมี ใบหน้าของนางสะอาดหมดจดทั้งยังเต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบ เผยให้เห็นว่าครั้งยังเยาว์นางก็ไม่ได้งดงามด้อยไปกว่าสตรีที่เรียกหาตัวเองว่า เทียนหวู่ เลย
“เทียนหวู่”
ทันทีที่สื่ออวิ๋นปรากฏตัวนางก็เดินมาหยุดข้างสตรีในชุดแดงเพลิงและเรียกหาทันที ยังผลให้สตรีชุดแดงต้องหลุดจากภวังค์กลับมามีสติอีกครั้ง
“อาจารย์”
ต่อหน้าสื่ออวิ๋น สตรีในชุดแดงเพลิงเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ เพราะนางมีอย่างทุกวันนี้ได้ทั้งหมดเป็นเพราะอีกฝ่าย
“เจ้าเตรียมตัวเอาไว้…อีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู จะมาเยือนนิกายเราและต้องการประลองกับเจ้า”
สื่ออวิ๋นยกมือขึ้นปรากฏสารม้วนหนึ่ง ยื่นส่งไปให้สตรีชุดแดง
“ตระกูลซือถู? ตระกูลซือถูในเมืองหลวงน่ะหรือ?”
สตรีชุดแดงรับสารท้าประลองมาด้วยความสงสัย
“มิผิด เป็นตระกูลซือถูในเมืองหลวง…หากแต่แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูผู้นี้ ข้าได้ยินมาว่ามันมิใช่ธรรมดา ยามประลองกับมันเจ้าก็อย่าได้ประมาทไป”
สื่ออวิ๋นกล่าวเตือน
“อื้อ”
สตรีชุดแดงพยักหน้ารับเบาๆ ค่อยคลี่สารท้าประลองออกอ่าน เมื่อเห็นคำว่า ‘ต้วน’ นางอดไม่ได้ที่จะอื้ออึงไปเล็กน้อย
“ท่านต้วน? ชื่อเต็มไม่ระบุ..ท่าทางจะหยิ่งยะโสไม่น้อย”
สตรีชุดแดงกล่าว
“มิว่ามันจะเป็นผู้ใด จะหยิ่งยะโสหรือไม่…ข้าก็เชื่อมั่นในตัวเจ้า”
สื่ออวิ๋นกล่าว
ขณะเดียวกันทางด้านเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง ซือถูหังก็ได้กลับมาหาต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
“ปรมาจารย์ต้วน ข้าได้ส่งสารท้าประลองให้ท่านแล้ว…อีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ ท่านจะประลองกับ แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอยอย่างเป็นทางการ”
หลังจากพบต้วนหลิงเทียน ซือถูหังก็เปิดประตูเห็นภูผากล่าวรายงานทันที
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นลูกตาค่อยทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่งถามว่า “ศิษย์สตรีของนิกายอัคคีล่องลอยที่ร้ายกาจคนนี้ นางแซ่ เฟิ่ง งั้นเหรอ?”
“ใช่”
ซือถูหังพยักหน้า
“แซ่เฟิ่งจากทวีปมนุษย์…หรือจะเป็นเทียนหวู่กัน?”
กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทราบว่าไฉนอยู่ดีๆถึงบังเกิดความคิดนี้ขึ้นมา
“ท่านรู้จักชื่อแซ่เต็มๆของแม่นางเฟิ่งผู้นี้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยถามซือถูหังออกไป
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้”
ซือถูหังส่ายหัวไปมา “ที่จริงอย่าว่าแต่ข้าเลยท่านปรมาจารย์ต้วน น่ากลัวว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศฝูเฟิง…กระทั่งคนในนิกายอัคคีล่องลอยเอง ก็ไม่ได้ล่วงรู้ถึงชื่อแซ่เต็มๆของนางด้วยซ้ำ…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับอีกรอบ ก่อนที่จะส่ายหัวไปมาเบาๆ ล้มเลิกความคิดที่แม่นางเฟิ่งจะเป็น เฟิ่งเทียนหวู่ ออกไปทันที
‘ไม่น่าเป็นเทียนหวู่ไปได้ แม้ศักยภาพของเทียนหวู่จะดี แต่นั่นก็แค่ในทวีปเมฆาล่อง…ถึงนางจะมีรากฐานดีเพียงไหน แต่ก็ไม่น่าจะยกระดับพลังฝึกปรือขึ้นมาได้พรวดพราดหลังมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อย่างเหลือเชื่อแบบนี้’
เมื่อคิดถึงความสำเร็จที่ร่ำลือกันของ แม่นางเฟิ่ง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนก็ขจัดความสงสัยที่ว่านางอาจจะเป็นเฟิ่งเทียนหวู่ไปหมดสิ้น
อย่างไรก็ตามพอนึกถึงเฟิ่งเทียนหวู่ขึ้นมา ใจต้วนหลิงเทียนก็อดรู้สึกเศร้าไปเสียไม่ได้ ‘เทียนหวู่ เจ้าไปอยู่ไหนแล้ว…รู้หรือไม่ว่าพี่ใหญ่ต้วนกำลังตามหาเจ้าอยู่’
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนคล้ายจมอยู่ในห้วงอารมณ์ และท่าทางจะเป็นเอามากไม่น้อย ซือถูหังก็ไม่กล้ารบกวนอะไรเร่งเดินจากไปอย่างเงียบๆทันที
มันรู้ดีว่าตอนนี้สิ่งที่มันควรทำที่สุดคือไม่รบกวนเวลาของปรมาจารย์ต้วน
ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เผ่าพันธุ์มังกร
เผ่าพันธุ์มังกรนั้น สถานที่อยู่ของพวกมันเป็นอะไรที่ลึกลับสำหรับผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกเต๋าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านัก อย่างไรก็ตามต่อให้รู้…ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะเข้าไปได้!
ทว่าสำหรับบางคน การบุกมาเยือนรังมังกรถึงที่แบบนี้ ก็ง่ายดายเสมือนเดินชมสวนว่างร้างผู้คน…
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพร้อมร่างชราในชุดคลุมลมดำ บุกเข้ามาถึงที่ซ่อนเผ่าพันธุ์มังกรดื้อๆ! อย่างที่ไม่คิดจะปกปิดอะไรแม้แต่น้อย ยังคล้ายจะบุกเข้ามาอย่างดุดันด้วยซ้ำ!!
นั่นเพราะความเร็วในการพุ่งร่างเข้ามาของทั้งคู่มันเหนือชั้นเกินไป จนผู้ที่เฝ้าปากทางเข้ารังมังกร ไม่แม้แต่จะตอบสนองอันใดได้ทัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนล่วงล้ำเข้าถิ่นที่อยู่ของมันไปแล้ว…
ร่างที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงจากขอบฟ้าไกลไม่ใช่ใครอื่นนอกจากต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาครามและกู่มี่ หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีพลังสามารถสูงส่ง…
แต่เดิมด้วยความเร็วของต้วนหรูเฟิง สมควรบุกมาถึงรังมังกรในเวลาอันสั้นหลังจากที่ออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง
ทว่าขณะที่เดินทางมาถึงครึ่งทาง กลับต้องเจอปัญหาบางอย่าง
‘ไม่คิดเลยว่าคนของลัทธิบูชาไฟ จะลงมาจากภูมิภาคเบื้องบนมาเยือนภูมิบาคเบื้องล่างแบบนี้…หากเข้าใจไม่ผิด คนที่มันประกาศตามหาไปทั่วก็คือลูกสะใภ้ของข้าอย่างเค่อเอ๋อ เป็นแน่!’
แม้จะบุกเข้ามาถึงรังมังกรแล้วแต่ต้วนหรูเฟิงก็ไม่ได้สนใจอะไรในเผ่าพันธุ์มังกรแม้แต่น้อย
จิตใจยังจมอยู่กับความคิดยามเผชิญหน้ากับคนองลัทธิบูชาไฟก่อนหน้า
คนกลุ่มนั้นของลัทธิบูชาไฟนับว่าพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วเลย แต่ละคนล้วนอ่อนด้อยกว่ากู่มี่แค่เล็กน้อยเท่านั้น…หากทั้งกลุ่มกลุ้มรุม กระทั่งกู่มี่ก็ไม่น่าจะเอาชนะพวกมันได้
และหลังจากที่ต้วนหรูเฟิงลงมือด้วยตัวเองจัดการคนทั้งกลุ่มจนตกตายเกือบหมด และเหลือคนสุดท้ายไว้ใช้ทักษะลี้ลับควาญวิญญาณ จึงได้ทราบว่าพวกมันไม่ใช่ตัวตนสำคัญอันใดในลัทธิบูชาไฟ
แน่นอนว่าในเมื่อมันไม่ใช่คนสำคัญอะไรในลัทธิบูชาไฟ พวกมันก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์มากนัก
ต้วนหรูเฟิงพบว่า พวกมันลงมายังภูมิภาคเบื้องล่างคราวนี้ เพราะกำลังตามหาคนสำคัญของลัทธิบูชาไฟที่หายตัวไปนานปี…ธิดาเทพ
จากเบาะแสที่ต้วนหลิงเทียนบุตรชายของมันทิ้งไว้ที่ทวีปเมฆาล่อง ทำให้ต้วนหรูเฟิงอนุมานได้ว่า ธิดาเทพที่ลัทธิบูชาไฟกำลังตามหาสมควรเป็นเค่อเอ๋อ ที่ได้ถูกสตรีนางหนึ่งที่กล่าวว่าเป็นพี่สาวและอ้างว่ามาจากลัทธิบูชาไฟพาตัวไปแล้ว
ถึงแม้มันจะไม่เคยเห็นเค่อเอ๋อมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ไม่รู้จักเรื่องราวของนางอะไร
นั่นเพราะมันมักจะได้ยินภรรยากล่าวถึงเค่อเอ๋ออยู่บ่อยครั้ง ว่าลูกสะใภ้คนนี้เติบโตมาด้วยกันกับต้วนหลิงเทียน ทั้งเรื่องราวต่างๆความเป็นมาของนาง ภรรยามันก็เล่าให้ล่วงรู้หมดสิ้น
ฟุ่บ!
สายลมหอบหนึ่งพัดมาฉับไว ปรากฏเป็นร่างชายชราในชุดคลุมสีแดงฉานผุดโผล่ขึ้นมาปิดกั้นต้วนหรูเฟิงและกู่มี่เอาไว้
ต้วนหรูเฟิงได้สังเกตเห็นถึงการมาของคนผู้นี้แต่แรก จึงหยุดคิดเรื่องราวอะไร และหยุดร่างลง
“ข้าล่ะกำลังสงสัยอยู่นัก ว่าผู้ใดมันกล้าบุกรุกเผ่าพันธุ์มังกร…ที่แท้ก็เป็นเจ้าเองหรือ เจ้าเฒ่ากู่มี่”
ชายชราในชุดคลุมสีแดงเลือดหันไปมองกู่มี่ด้วยความสนใจทันที เห็นชัดว่ามันรู้จักกันกับกู่มี่มาก่อน
หลังจากนั้นมันก็เบนตาไปมองยังร่างต้วนหรูเฟิงที่ลอยร่างอยู่ด้านหน้ากู่มี่ ถึงแม้มันจะไม่รู้จักมักคุ้นกับต้วนหรูเฟิง แต่ก็ไม่ยากอะไรที่จะเดาฐานะของอีกฝ่ายออก จากการสังเกตเห็นท่าทางเรียบๆร้อยๆของกู่มี่ที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังแบบนี้
“ยินดีที่ได้พบ ท่านจ้าวตำหนักเมฆาคราม”
หลังจากคาดเดาความเป็นมาของชายวัยกลางคนเบื้องหน้าออก ชายชราก็ค่อยโค้งคารวะกล่าวทักอีกฝ่ายอย่างสุภาพ
ต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาคราม ใช้เวลาไม่ถึง 40 ปีด้วยซ้ำ ในการก้าวขึ้นมาถึงจุดๆนี้!
ระยะเวลา 40 ปี สำหรับเผ่าพันธุ์มังกรแล้ว เสมือนนอนหลับฝันไปตื่นหนึ่งเท่านั้น!
หากทว่าเพียงระยะเวลาอันสั้น ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากลับบังเกิดยอดคนเช่นนึ้นมาได้ ยอดคนที่ว่าไม่ใช่ใครอื่นเป็นต้วนหรูเฟิงเอง!
ใช้เวลาไม่ถึง 40 ปี ต้วนหรูเฟิงก็สามารถครองอำนาจในตำหนักเมฆาครามได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และนั่นคือขุมพลังที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเผ่าพันธุ์มังกรของมันเลย เสมือนจ้าวในที่แจ้งกับผู้ยิ่งใหญ่ในความมืดก็ไม่ปาน
ถึงแม้ต้วนหรูเฟิงจะอายุน้อยกว่ามันเป็นรอบๆ แต่มันไม่กล้าละเลยท่าทีปฏิบัติต่ออีกฝ่ายแม้แต่น้อย
เพราะมันรู้ดีว่าพลังฝีมือของต้วนหรูเฟิงเหนือล้ำกว่ามันไปมาก กระทั่งยังเทียบได้กับผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรของพวกมันด้วยซ้ำ!
ทั้งพลังและสถานะของต้วนหรูเฟิง คือตัวตนที่ทัดเทียมกับผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรอย่างแท้จริง!