บทที่ 174 แม่นางตู้ก็คงจะกลับบ้านได้เร็วขึ้นใช่หรือไม่

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

เหยาซูยิ้มแห้งก่อนจะเอ่ยถามเขาแผ่วเบาว่า “ท่านไม่รู้สึกร้อนเลยหรือ…”

เมื่อหลินเหราได้ยินก็สะบัดผ้าห่มที่คลุมตัวพวกเขาสองคนออกไปด้านข้าง

เหยาซูจึงดึงแขนตนเองออก “ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ขะ…แขนข้าถูกกดไว้ต่างหากเล่า”

หลินเหราจึงลืมตาโพลงขึ้น กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งสมองถึงตื่นตัวขึ้น

เขาถาม “เพราะว่ากอดข้า ก็เลยร้อนหรือ?”

เหยาซูรีบพยักหน้า “อื้อ”

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ทำในสิ่งที่นางคาดไม่ถึง เขาสลัดแขนของตัวเองออกจากการผูกมัดของเหยาซูเอง จากนั้นก็ขยับไปด้านข้างให้มีช่องว่างระหว่างสองคนเพิ่มขึ้น สายลมเย็น ๆ จึงได้พัดผ่านเข้ามา ทำให้เหยาซูรู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย

เพียงแต่ไม่นานต่อจากนั้น เขาก็ยื่นแขนทั้งสองข้างที่คล้ายกับปลอกเหล็กมากอดเหยาซูไว้

หลังจากหาท่าที่สบายตัวขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงหลับตาลงอีกครั้ง ส่วนปากก็ยังคงพูดอย่างมีเหตุผล “ในเมื่อกอดข้าแล้วร้อน งั้นข้าจะกอดเจ้า ตกลงหรือไม่?”

เหยาซูสงสัยว่าหลินเหรากำลังลอบกินเต้าหู้นางด้วยการแกล้งทำเป็นสะลืมสะลือตื่นไม่เต็มที่ แต่เมื่อก้มมองระหว่างทั้งสองคน หลินเหราที่กำลังเปลือยกายท่อนบนกอดรัดตัวเองอย่างแน่นหนา ไม่ว่ามองยังไงก็ดูเหมือนนางเอาเปรียบอีกฝ่ายแทนเสียอย่างนั้น

ใบหน้าของหญิงสาวร้อนผ่าว นางไม่สนใจแล้วว่าการกระทำต่อจากนี้ของตนจะปลุกให้หลินเหราตื่นอีกหรือไม่ เหยาซูพลันผลักแขนของเขาออกพลางพูดเสียงเบาว่า “ท่านปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ข้าจะลุกแล้ว”

ในใจของเหยาซูคาดหวังให้ซานเป่านั้นตื่นขึ้นมาร้องไห้สักสองสามครั้งเสียด้วยซ้ำ จะได้ช่วยให้มารดาของเขาหลุดจากสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ แต่ถึงกระนั้นเวลาเด็กทารกตัวน้อยนอนหลับก็เหมือนกับลูกหมูที่โดนวางยาสลบ หลับลึกหลับจริง ต่อให้ผู้อื่นพูดคุยอย่างไรก็ไม่สามารถปลุกเขาได้

หลินเหรากอดภรรยาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พูดเสียงแหบแห้งว่า “ลุกขึ้นไปทำอะไรเล่า? ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ไม่ใช่หรือ?”

เหยาซูโกรธจนอยากจะตีเขาเสียเหลือเกิน ครั้นเห็นหลินเหราเล่นแง่จึงได้ตีเขาอย่างจริงจังสองครั้ง “ต่อให้เช้ากว่านี้ข้าก็ต้องไปทำอาหาร! ยามอู่จะต้องไปส่งอาหารให้กับพี่รองด้วย”

หลินเหราเคยถูกตีจนชินไปแล้ว ดาบและกระบี่ในสนามรบก็ไม่เคยเกรงกลัว เหยาซูจึงตีไปบนไหล่ของเขาหลายครั้งจนหลินเหรารู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ เล็กน้อย

แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังกลัวเหยาซูจะโกรธอยู่ดี จึงทำได้แค่ปล่อยแขนแล้วสังเกตสีหน้าของนาง

ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะโกรธจริง ๆ หลินเหราจึงวางใจ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ยามอู่เราจะไปด้วยกัน เดี๋ยวตื่นแล้วข้าค่อยไปทำให้ เจ้านอนพักเถอะ”

เหยาซูสะดุดกับคำพูดของเขา “ปัญหามันอยู่ที่ใครทำอาหารหรือ? ขืนอืดอาดเช่นนี้ก็สายกันพอดี”

ชายหนุ่มไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา ตรงกันข้ามกลับโน้มน้าวนางด้วยท่าทีนิ่งสงบ “สายก็สายไปสิ ไฉนต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้นด้วย?”

เนื้อตัวของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ หลินเหรากลับมีเนื้อตัวสะอาดและเย็นสบายไม่มีเหงื่อเลยแม้แต่น้อย

ระหว่างที่กำลังถกเถียงกันไปมานั้นเขาก็ขยับเข้ามาใกล้อย่างฉับพลัน จากนั้นก็สูดดมหลังใบหูของเหยาซูก่อนจะพูดว่า “อาซู เจ้าช่างหอมยิ่งนัก”

ในเมื่อเหยาซูสลัดไม่หลุดก็เลยปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม ได้แต่ปล่อยให้เขากอดต่อไป

แต่ครั้นเห็นหลินเหรากอดตัวเองโดยคิดไม่ซื่อ เหยาซูจึงฉุนโกรธ “หอม? ถ้าหอมท่านก็ดมเยอะ ๆ เสียสิ!”

หญิงสาวเลื่อนแขนที่ยังขยับได้ของตัวเองมาขยี้ใบหน้าของหลินเหรา ใช้แขนเสื้อจงอีปิดใบหน้าของเขาไว้ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงดุร้าย “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ? ยังได้กลิ่นอีกไหม? ดีแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่อุดรูจมูกสุนัขของท่าน!”

หลินเหราผ่อนแรงลง เหยาซูจึงได้คืบจะเอาศอก กดทั้งร่างของเขาลงไป จากนั้นก็ใช้แขนอุดปากอุดจมูกของเขาต่อไม่ยอมปล่อย

ชายหนุ่มพลันหัวเราะออกมาเสียงเบา “ถ้าข้าเป็นสุนัข แล้วเจ้ากับพวกเด็ก ๆ จะเป็นอะไร?”

เหยาซูยิ้ม แล้วใช้แขนอีกข้างกดลงไปอุดปากของหลินเหราไว้อีกครั้ง “ดูสิว่าต่อไปท่านจะเห่าหอนออกมาอีกหรือไม่! ผิดที่ข้าเองที่ไม่รู้จักสั่งสอนสุนัขให้ดี เดี๋ยวพอท่านตายข้าก็จะได้พาเด็ก ๆ ไปแต่งงานใหม่!”

หลินเหราปล่อยให้นางวุ่นวายอยู่บนร่างกายของตัวเอง ไม่ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย

รอจนกระทั่งเหยาซูเหนื่อยในที่สุด เหงื่อออกจนเนื้อตัวเปียกปอนอีกครั้ง จึงได้พบว่าหลินเหราปล่อยนางนานแล้ว แต่เป็นตนเองที่ยังกดและรังแกอีกฝ่ายอยู่เป็นนานสองนาน

หญิงสาวกระแอมไอเบา ๆ หนึ่งครั้งและยืดตัวขึ้น “เอาล่ะ ไม่อยากทะเลาะกับท่านแล้ว ข้าควรไปทำอาหารได้แล้ว…”

ในขณะที่พูดเหยาซูก็เมินหน้าออกไป จึงเห็นซานเป่าที่ไม่รู้ว่าตื่นนอนตั้งแต่เมื่อไหร่นั่งอยู่เงียบ ๆ บนเตียงและสบสายตากับนาง

เมื่อซานเป่าเห็นมารดากำลังมองมาทางตน มุมปากจึงแย้มยิ้มจนเผยให้เห็นฟันขาวเท่าเมล็ดข้าวโพดสองซี่ ก่อนจะส่งเสียงออกมา “แอะ!”

เด็กทารกทำท่าจะพุ่งเข้ามา เหยาซูจึงรีบลงจากตัวของหลินเหราและรับซานเป่ามาอุ้มทันที

รอจนนางปลอบเด็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับเห็นชายหนุ่มยังคงอยู่ในท่าเดิมและนอนอยู่อย่างนั้น

เหยาซูจึงเอ่ยถาม “ท่านจะนอนต่ออีกใช่หรือไม่?”

ชายหนุ่มตอบ “อื้อ” หนึ่งครั้ง ราวกับว่าเสียงนั้นออกมาทางโพรงจมูก ทั้งทุ้มต่ำและแหบแห้งมาก

เห็นได้ชัดว่าเขารับปากแล้ว แต่ปากยังพูดต่ออีกประโยคว่า “ข้าจะค่อย ๆ ลุกแล้วกัน”

ใบหน้าของเหยาซูร้อนผ่าวเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังไปสวมเสื้อตัวนอกทิ้งท้ายด้วยประโยคหนึ่งก่อนออกจากห้องไป “ท่านเฝ้าซานเป่าแล้วกัน ข้าจะไปทำอาหาร”

เหลือเพียงซานเป่าที่ถูกทิ้งเอาไว้ กำลังสบสายตากับพ่อของเขา

เที่ยงวันกลับกลายเป็นหลินเหราที่ต้องทำอาหาร

….

ยามที่พวกเขาสองสามีภรรยาพาซานเป่ามาถึงบ้านของเหยาเฉานั้น กลับพบคนที่ไม่สมควรจะปรากฏตัวผู้หนึ่ง

สองวันที่ผ่านมานี้ทุกคนในจวนผู้ตรวจการต้องขึ้นเขาไปปราบโจร เหยาซูทำได้แค่เป็นห่วงหลินเหราและพี่รองของตัวเอง จนลืมการมีตัวตนของตู้เหิงไปเสียสนิท

ตอนนี้นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีจอกชาที่ยังไม่ได้แตะจอกหนึ่งวางอยู่ข้างมือ กำลังพูดคุยกับเหยาเฉาและพี่สะใภ้รองเหยาด้วยท่าทีนิ่งเฉย ช่างคล้ายกับสตรีผู้สูงศักดิ์มากโดยแท้จริง

เมื่อเห็นทั้งสองคน หญิงสาวจึงลุกขึ้นกล่าวทักทาย “ท่านแม่ทัพหลิน แม่นางเหยา”

หลินเหราพยักหน้า เหยาซูก็ได้แต่ยิ้มและตอบกลับว่า “แม่นางตู้”

ปกติแล้วพี่สะใภ้รองเหยาเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่าย ไม่เคยนวยนาดพูดช้า ๆ เหมือนกับตู้เหิงเช่นนี้ ทว่านางมักใช้คำพูดที่เหมาะสมเสมอ กอปรกับอากัปกิริยาที่สง่างามและการแต่งกายอย่างประณีต ทำให้ดูสูงส่งเทียบเท่ากับอีกฝ่าย

กว่าเหยาซูจะมาถึงที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย พี่สะใภ้รองเหยาจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกในที่สุด

หญิงสาวรีบกล่าวทักทายน้องเขยและน้องสามีทันที “มาแล้วหรือ? เหตุใดถึงได้นำข้าวของมามากมายเพียงนี้…”

ในขณะที่พูดพี่สะใภ้รองเหยาก็รับกล่องข้าวจากมือของหลินเหรา ก่อนวางลงอีกด้าน

เหยาซูจึงได้พูดขึ้นว่า “ในบ้านมีกล่องข้าวไม่เพียงพอ จึงใส่อาหารมาให้แค่พี่สะใภ้รองเท่านั้น ประเดี๋ยวข้าจะให้เอ้อหลางและสหายผู้น้องอวี๋จือไปกินข้าวที่บ้านของเรา”

ในห้องนอนของเหยาเฉามีโต๊ะขนาดไม่ใหญ่มากนัก นั่งได้สี่คนพอดิบพอดี พี่สะใภ้รองเหยาและเหยาซูจึงแยกกันนั่งประกบข้างทั้งสองด้านของตู้เหิง แล้วให้หลินเหราเบียดอยู่ฝั่งตรงข้าม

เมื่อตู้เหิงเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับสายตาของหลินเหราพอดี ไม่นานนางก็หลบสายตาไป

ครั้นเห็นเหยาเฉาที่สามารถลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงได้แล้วมีสีหน้าที่ดีขึ้น เหยาซูจึงเอ่ยถามว่า “พี่รองดูดีขึ้นมากเลยนะเจ้าคะ ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง?”

เขายิ้มเล็กน้อย “ดีขึ้นมากแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ไฉนจะต้องแห่กันมามากมายเพียงนี้ด้วย?”

เหยาเฉานอนหลับไปนาน ตื่นมาก็ต้องกินยา สีหน้าในตอนนี้จึงดีกว่าก่อนหน้ามากทีเดียว เขาแค่เสียเลือดมากเกินไป อาการซีดจางจึงได้แสดงออกมาในชั่วพริบตาเดียว

พี่สะใภ้รองเหยารินชาให้พวกเขาพลางพูดขึ้นว่า “ท่านหมอบอกว่าเสียเลือดมากเกินไป แต่หากบำรุงอย่างดี ก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร”

เหยาซูพยักหน้าแต่เมื่อไม่เห็นเด็ก ๆ จึงเอ่ยถามขึ้น “ต้าเป่าและเอ้อเป่าบอกมาจะมาเยี่ยมลุงรองของพวกเขาไม่ใช่หรือ? ตอนนี้วิ่งไปไหนเสียแล้วล่ะ?”

พี่สะใภ้รองเหยาจึงรีบพูดขึ้น “ก็แค่มาเยี่ยมไม่ใช่หรือ! ทันทีที่เอ้อเป่าเห็นลุงของนางนอนอยู่บนเตียง ก็ร้องไห้โฮด้วยความเสียใจอยู่พักใหญ่ เห็นเด็กสาวตัวน้อยน้ำตาตกข้าก็ปวดใจ โชคดีที่สหายอวี๋มีวิธี เลยปลอบใจเอ้อเป่าได้อยู่หมัด ข้าเห็นเขาอุ้มเด็ก ๆ ได้ก็เลยขอร้องเขา พาสามพี่น้องไปอ่านหนังสือในห้องหนังสือ…”

เหยาซูคลี่ยิ้ม จากนั้นก็หันไปพูดกับหลินเหราว่า “ข้าบอกแล้วว่าคนที่เอ้อเป่าโปรดปรานที่สุดก็คือลุงของนาง วันนั้นท่านก็ได้รับบาดเจ็บ ไม่เห็นนางจะร้องห่มร้องไห้มากเช่นนี้เลย”

หลินเหรามองไปทางเหยาเฉาที่นั่งอยู่บนเตียงแวบหนึ่งและพูดกับเหยาซูว่า “งั้นก็เป็นเรื่องดีน่ะสิ”

อารมณ์ความรู้สึกของเหยาเฉาเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมาฉับพลัน

เมื่อครู่เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้แทบขาดใจอยู่บนเตียง มั่นใจได้เลยว่าทำให้เขาปวดหัวไม่น้อย หลังจากปลอบใจอยู่นานก็เพิ่งได้พูดอธิบายกับเด็กน้อยว่าลุงแค่บาดเจ็บตามร่างกายเท่านั้น อีกสองวันก็คงดีขึ้นและลงจากเตียงได้แล้ว แต่เด็กน้อยกลับไม่เชื่อ

ต่อมาอวี๋จือนั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวนี้จึงเดินเข้ามา พร่ำอธิบายกับอาซืออยู่เป็นนาน เด็กหญิงตัวน้อยจึงได้พยักหน้าทั้งน้ำตา เชื่อว่าลุงของตนจะไม่ตาย

หลินเหราเกลียดการพูดจาบั่นทอนจิตใจเป็นที่สุด เหยาเฉาจึงพูดได้แค่ว่า “เจ้าควรเป็นพ่อที่ใจกว้างหน่อยนะ ข้าว่าแม้แต่สหายอวี๋จือ ในใจของอาซือก็ยังอยู่สูงกว่าเจ้าอีก”

ชายหนุ่มไม่สนใจอะไรนอกจากยกชาจอกหนึ่งขึ้นมา “โจรภูเขาก็ถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว อวี๋จือก็คงจะเข้าเมืองได้ ข้าจะร้อนใจทำไม?”

พี่สะใภ้รองเหยาเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมา “อาเหรามีจิตใจที่ดีมาก”

หญิงสาวพูดพลางหันไปพูดกับเหยาซูต่อว่า “อาซูเจ้าไม่รู้อะไร หลังจากที่น้องเขยกลับมา เอ้อหลางเห็นเขาก็เอาแต่ตะโกนบอกทุกวันว่าอยากจะเป็นเหมือนกับอาเขย จะไปเป็นทหาร จะลงสนามรบ จะเป็นวีรบุรุษ…ไม่เอ่ยถึงพี่รองเลยแม้แต่น้อย จึงได้พูดจาบั่นทอนจิตใจแบบนี้อย่างไรเล่า!”

เหยาซูดีใจอยู่เป็นนมนาน คิดว่าตัวเองคงจะเข้าใจพวกเขาน้อยเกินไปจึงไม่รู้ว่าปกติแล้วทั้งสองคนมีลักษณะที่แตกต่างกัน คนหนึ่งก็มีกิริยาสง่างาม อีกคนก็เข้าถึงได้ยากอาจเป็นเพราะเวลาเด็ก ๆ ชอบใครก็มักจะยื้อแย่งหึงหวงกัน

พวกเขาต่างมีความสุขและสมัครสมานสามัคคีกัน ตู้เหิงเป็นคนนอกเพียงคนเดียว จึงมั่นใจว่าคงจะแทรกเข้าไปไม่ได้

โชคดีที่นางคาดเดาสถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในสถานการณ์นี้นอกจากหลินเหราแล้วทุกคนที่เหลือก็เห็นนางเป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น

หญิงสาวไม่สนใจและไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น

กลับเป็นพี่สะใภ้รองเหยาที่รู้สึกเฉยเมยกับแขกผู้นี้ จึงเอ่ยกับตู้เหิงก่อนว่า “ตอนนี้พวกโจรได้ถูกกำจัดหมดแล้ว แม่นางตู้คงจะกลับบ้านได้เร็วขึ้นใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

…………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เห็นสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกันก็วางใจ หมดห่วงเรื่องมือที่สามแทรกได้เลยค่ะ

ยัยคุณหนูนี่จะมาเพื่อ? มาเป็นก้างคนอื่นเหรอคะ เชิญนั่งบนตั่งเย็นไปคนเดียวเถอะค่ะ

ไหหม่า(海馬)