บทที่ 175 ยิ่งทำให้ผู้อื่นอยากยลโฉมนางมากขึ้น

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

ตู้เหิงพยักหน้า

เมื่อครู่นั้นนางไม่ได้พูดสิ่งใด เอาแต่นั่งเงียบ ๆ ไม่ปริปากพูดอยู่ด้านข้าง

กระทั่งนางเอ่ยปาก น้ำเสียงที่ไพเราะเสนาะหูดุจนกขมิ้นขับขานอยู่กลางหุบเขาว่างเปล่าก็ดังขึ้น “ท่านพ่อรู้ว่าข้าตกอยู่ในอันตราย อีกไม่นานน่าจะส่งคนมาที่นี่ คิดว่าคงจะอีกไม่กี่วันนี้”

พี่สะใภ้รองเหยาพยักหน้า ทั้งยังไถ่ถามถึงความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของนางด้วยความสนใจอีกด้วย

ยามที่ตู้เหิงไม่ได้ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่หลินเหรานั้น นางเป็นสตรีที่น่าหลงใหลมากคนหนึ่งทีเดียว

อายุของนางน้อยกว่าทุกคนที่นี่ แม้ว่าจะได้รับความรัก แต่คิดว่านางคงจะถูกสั่งสอนเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กจนโตจึงพอเข้าใจได้

เท่าที่เคยอ่านจากนิยายต้นฉบับ รู้ว่าในชาติที่แล้ว ตู้เหิงเป็นแค่เด็กสาวที่อ่อนต่อโลกมาก ถูกรังแกข่มเหงสารพัด ช่างน่าสงสารมากทีเดียว

เหยาซูไม่ได้รังเกียจนางมากนักจึงได้พูดอย่างจริงใจว่า “กลับบ้านแล้วก็อยู่กับบิดามารดามาก ๆ หน่อย ดูท่าตอนนี้บิดามารดาของเจ้าคงจะอกสั่นขวัญแขวนแย่แล้ว”

ตู้เหิงแย้มยิ้มที่แฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาด “ขอบคุณพี่สาวทั้งสองมาก”

เหยาซูไม่พูดกับนางให้มากความนัก

เมื่อชาติที่แล้วตู้เหิงน่าเวทนายิ่ง นิสัยใจคอเช่นนั้นยิ่งทำให้ผู้คนหลงรัก แต่ครั้นคิดได้ว่าเป้าหมายของนางคือหลินเหรา เหยาซูจึงตั้งใจไว้ว่าจะไม่ยอมเป็นสหายที่ดีกับอีกฝ่ายเด็ดขาด

ความคิดของเหยาซูนั้นง่ายมาก ขอแค่ตู้เหิงไม่สนใจหลินเหรา ทุกอย่างก็คงจะพูดกันได้

แต่ดูหมือนวันนี้ตู้เหิงตั้งใจจะมาเยี่ยมเหยาเฉาที่ได้รับบาดเจ็บด้วยใจจริง ไม่นานก็กล่าวลา

ประจวบเหมาะกับที่เหยาซูและหลินเหรากำลังจะกลับพอดี ทั้งสามคนจึงเดินออกมาจากห้องนอนของเหยาเฉาด้วยกัน

ครั้นเห็นนางมาเพียงลำพัง เหยาซูจึงเอ่ยถามว่า “แม่นางตู้ เหตุใดถึงไม่เห็นอาซู่ที่มักจะอยู่ข้างกายท่านตลอดเวลาเลยล่ะเจ้าคะ?”

ตู้เหิงส่ายหน้า “ข้าออกมาเอง แม่นมและอาซู่ออกไปแล้ว”

แม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน แต่การปล่อยให้สตรีผู้บอบบางออกมาเดินอยู่บนถนนเพียงลำพัง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เกรงว่าคงจะสร้างความยุ่งยาก…

คิดได้ดังนี้เหยาซูจึงพูดกับหลินเหราว่า “จวนผู้ตรวจการยังอยู่ห่างออกไปอีกช่วงหนึ่ง ท่านไปส่งแม่นางตู้เถอะ”

ตู้เหิงปฏิเสธอยู่สองครั้งสองครา ครั้นเห็นเหยาซูยังยืนกรานคำเดิม หลินเหราเองจึงไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอะไรได้แต่ยอมรับอย่างเงียบ ๆ

ทั้งสองคนจึงเดินนำหน้าไปก้าวหนึ่ง เหยาซูอุ้มซานเป่าและเดินไปเรียกอวี๋จือและพวกเด็ก ๆ ในห้องหนังสือ เตรียมจะเดินกลับบ้าน

กลับเห็นพี่สะใภ้รองเหยาวิ่งตามออกมาและเรียกรั้งตนเองไว้ “อาซู เจ้ารอก่อน”

เหยาซูหยุดก้าวเดินและพูดกับอาจื้อว่า “ต้าเป่าและเอ้อเป่าพาพี่รองและท่านอาอวี๋จือกลับบ้านไปก่อน อีกประเดี๋ยวแม่จะตามไป”

หลังจากที่จัดการเรียบร้อย นางก็เดินมาตรงหน้าพี่สะใภ้รองเหยา “พี่สะใภ้รองมีเรื่องอะไรหรือ?”

พี่สะใภ้รองเหยาลังเลเล็กน้อย ไม่รู้จะเอ่ยปากพูดอย่างไร

เหยาซูจึงยิ้มและพูดว่า “ปกติแล้วพี่สะใภ้รองพูดจาฉะฉานไม่ใช่หรือ? เหตุใดวันนี้ถึงได้เหนียมอายเช่นนี้เล่า?”

นางทำได้แค่เอ่ยปากอย่างนุ่มนวลว่า “เมื่อครู่ตอนที่พวกเจ้าไปแล้ว ข้าได้ยินพี่รองเจ้าบอกว่าแม่นางตู้คนนี้ กับอาเหราแล้วดูเหมือนนางจะ…”

เห็นได้ชัดว่าแม่นางตู้คนนี้ไม่ได้พูดคุยกับเหยาเฉาอย่างสนิทสนมกันเท่าไรนัก แต่กลับมาเยี่ยมเยือน

แม้ปากจะบอกว่ามาเยี่ยมเยือน กลับนั่งอยู่อีกด้านโดยไม่พูดสิ่งใด แต่ถ้าหากคิดถึงหลินเหรา พี่สะใภ้รองเหยาก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน

ทว่าเมื่อเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงตระกูลของแม่นางตู้เหิง นางก็คงพูดสิ่งใดไม่ได้

รอยยิ้มบนใบหน้าของเหยาซูดูจางลง

หญิงสาวพยักหน้าและพูดกับพี่สะใภ้รองเหยาว่า “พี่สะใภ้รอง ข้าเองก็ไม่อยากปิดบังพี่หรอก ก่อนหน้านั้นแม่นางตู้คนนี้ได้แสดงอากัปกิริยาออกมาอย่างชัดเจน ดูท่าจะสนใจอาเหรามากเสียด้วย เพียงแต่ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าอาเหราแต่งงานมีลูกแล้ว แต่หลังจากมาเยี่ยมถึงบ้านครั้งหนึ่ง ก็ไม่พูดอะไรที่ประเจิดประเจ้ออีก”

พี่สะใภ้รองเหยาขมวดคิ้วแน่น พูดอย่างไม่เข้าใจ “ตามหลักเหตุผล นางเป็นถึงคุณหนูในตระกูลขุนนาง ทั้งยังเป็นสตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวง ต้องเป็นสตรีแบบไหนหรือถึงไม่เคยเจอหนุ่มรูปงาม? ครั้นได้เห็นท่าทีในวันนี้ นางดูเหมือนจะไม่พอใจด้วยซ้ำ…ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เวลาที่คนทั่วไปเจอกับเรื่องที่น่าอึดอัดเช่นนี้ ต่อให้หลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น ไฉนเลยจะกล้าได้กล้าเสียเช่นนี้?”

นางอายุมากกว่าเหยาซูไม่กี่ปี เคยเจอเรื่องที่ไร้เหตุผลมาไม่น้อย ทว่าสำหรับเรื่องที่คุณหนูตระกูลขุนนางตกหลุมรักบุรุษในชนบทที่เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเช่นนี้ ตนเองก็เคยได้ยินแต่จากปากของนักเล่าเรื่องเท่านั้น

แม้จะบอกว่าน้องเขยของตนนั้นจะมากความสามารถ หน้าตาก็หล่อเหลาไม่น้อยไปกว่าสามีของนางแต่อย่างใด แต่ไม่ว่าอย่างไรแล้วลูกสาวของใต้เท้าเจ้าอาลักษณ์ก็สูงศักดิ์

ยิ่งไปกว่านั้น หลินเหราเองก็มีภรรยาและลูกแล้ว จะยอมให้ตู้เหิงจะมาเป็นอนุภรรยาของเขาหรือ?!

ช่างเหลวไหลสิ้นดี

เหยาซูยิ้ม “พี่สะใภ้รอง กิริยาในวันนี้ของแม่นางตู้สงบเสงี่ยมมากแล้ว! ขอแค่นางปล่อยวางความคิดเพ้อเจ้อนี้ลงได้ ก็เหมือนอย่างที่ท่านพูด นางเป็นหญิงที่ดีและบริสุทธิ์ ทั้งยังเป็นถึงลูกสาวของใต้เท้าเจ้าอาลักษณ์ ไฉนเลยจะหาสามีเป็นตัวเป็นตนไม่ได้!”

พี่สะใภ้รองเหยายากจะเอ่ยปากไปชั่วขณะ นางไม่ได้อยากเพิ่มความกลัดกลุ้มใจให้เหยาซู แต่โลกนี้อะไร ๆ ล้วนไม่แน่นอน นางไม่รู้ว่าโชคชะตาที่เลวร้ายนี้จะสิ้นสุดลงอย่างไร

แต่ก็ควรจะเตือนไว้ “อาซู อย่าหาว่าข้าพูดมากเลยนะ แม้จะบอกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ก็ต้องป้องกันไว้สักหน่อย อย่ารอให้เรื่องมันเกิดจนตกอยู่ในสถานการณ์อึดอัดใจ”

พี่สะใภ้รองเหยามีนิสัยเช่นนี้ ในใจของนางคิดว่าโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลไฉนเลยจะดีสู้ครอบครัวของตน ในเมื่อเหยาซูก็เป็นน้องสาวที่สามีของนางรักมากที่สุด ก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวของเซียงเวยเช่นกัน ครั้นอีกฝ่ายได้รับความไม่เป็นธรรมย่อมทนไม่ได้

เหยาซูเคยอ่านนิยายมาแล้ว ย่อมรู้ว่าความหลงใหลของตู้เหิงเกิดขึ้นที่ตรงไหน

หญิงสาวยิ้มและพูดว่า “พี่สะใภ้รอง ข้าเข้าใจ เพียงแต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงตระกูล แม่นางตู้ไม่มีทางทำอะไรเช่นนั้นเป็นแน่ เราปกปิดไว้คนภายนอกย่อมไม่มีทางล่วงรู้ได้”

อีกอย่าง ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือตู้เหิงไม่เคยพูดเลยว่าชอบหลินเหรา

พี่สะใภ้รองเหยาชื่นชอบนิสัยแบบนี้ของเหยาซูที่สุด ถึงคราวเข้มแข็งก็ไม่เคยอ่อนแอแม้แต่น้อย

นางพยักหน้าก่อนจะพูดเสริมว่า “ชื่อเสียงของลูกสาวนั้นย่อมสำคัญกว่าแน่นอน พี่สะใภ้รองไม่ต้องเป็นห่วง”

สะใภ้ทั้งสองยืนคุยกันอยู่อีกครู่หนึ่ง จนกระทั่งพี่สะใภ้รองเหยาปล่อยเหยาซูกลับบ้าน แต่ก่อนกลับก็ยังไม่วายกำชับว่า “นิสัยอย่างเอ้อหลาง ข้ากลัวว่าครั้นเจออาเหรา จะรบเร้าให้อาเขยสอนฟันดาบ อะไรที่ควรตีก็ตีนะ อย่าตามใจเด็ดขาด!”

เหยาซูหัวเราะจนเกือบหายใจไม่ทัน “พี่สะใภ้วางใจเถอะ! เวลาเอ้อหลางอยู่บ้านข้าเขาเชื่อฟังจะตายไป”

ที่นางพูดออกไปเพราะในใจก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่กลับไม่รู้ว่าหลังจากกลับถึงบ้านจะถูกหลานหักหน้าฉาดใหญ่

เหยาซูอุ้มซานเป่าขึ้นมาในอ้อมแขน หลังเดินเข้ามาในลานบ้านได้ไม่นาน ก็ต้องตื่นตระหนก “เอ้อหลาง เจ้าทำอะไรเนี่ย? รีบลงมาเดี๋ยวนี้!”

เหยาเอ้อหลางเด็กตัวแค่นี้ โตกว่าอาซือไม่เท่าไหรนัก ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าของหลินเหรา ไม่ได้จับเชือกบังเหียนในมือแต่อย่างใด

อีกด้านหนึ่งอาจื้อและอาซือก็พากันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านแม่ พี่รองขี่ม้าเองได้ ยอดเยี่ยมไปเลย!”

เหยาซูปวดหัวแทบจะระเบิด ครั้นเห็นอวี๋จือไม่ปริปากส่งเสียงใดอยู่อีกด้าน ก็ได้แค่ตะโกนเรียกเขา “สหายอวี๋ เจ้าเฝ้าไว้ก่อนนะ อย่าให้เอ้อหลางลื่นล้มเด็ดขาด!”

มารู้ตัวอีกทีอวี๋จือก็ก้าวเดินตามม้าสองก้าวและหยุดยืนข้างนางแล้ว

เหยาซูทำได้แค่วางซานเป่าลงในเปลก่อน จากนั้นก็ออกมาดูเอ้อหลางด้วยตัวเอง

หญิงสาวเร่งฝีเท้าย่างสองก้าวมาถึงด้านหน้าของม้า กลัวอย่างเดียวว่าเด็กชายจะตกลงมา ส่วนปากก็ยังไม่วายพูดสั่งสอน “เมื่อครู่ยังพูดกับแม่เจ้าอยู่เลยว่าเวลาเอ้อหลางอยู่บ้านอา เชื่อฟังมาก แล้วเหตุใดเวลาที่อาเขยไม่อยู่ คนรอบตัวก็ดูแลเจ้าไม่ได้เล่า?”

เหยาเอ้อหลางหัวเราะ “ฮิ ฮิ” ออกมาแล้วถามหาหลินเหรา “ท่านอาเขยไปไหนล่ะขอรับ? เหตุใดยังไม่กลับอีก?”

เหยาซูเบิกตากว้าง “รอให้อาเขยเจ้ากลับมาก่อนเถอะ ดูสิว่าข้าจะห้ามเขาไม่ให้จัดการกับลิงจอมซนอย่างเจ้าได้สักฉากหรือไม่!”

เมื่อเห็นเช่นนั้น อาจื้อที่อยู่ข้างกายก็รบเร้านาง “ท่านแม่ ข้าก็อยากขี่ม้าด้วย พี่รองสูงกว่าข้าไม่เท่าไร เขายังขึ้นเองได้เลย ข้าก็ต้องทำได้!”

อาซือกลับตะโกนเสียงดังว่า “ท่านพ่อบอกแล้ว ตอนเขาไม่อยู่ไม่อนุญาตให้ขี่ม้าเด็ดขาด”

อาจื้อไม่สนใจน้องสาว ตรงกันข้ามกลับพันแข้งพันขาเหยาซู ทำให้นางปวดหัวแทบจะระเบิด

อวี๋จือคอยเฝ้าเหยาเอ้อหลางอยู่อีกด้านตามหน้าที่ เมื่อเห็นดังนั้นก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “ดูท่าทางการมีลูกเยอะคงจะวุ่นวายจริง ๆ นั่นแหละ แม้แต่แม่นางเหยาผู้เฉลียวฉลาดก็ยังหมดหนทาง”

เดิมทีมีแค่อาจื้อและอาซือสองคน ยังพอเชื่อฟังเหตุผลของผู้ใหญ่บ้าง แต่ตอนนี้เพิ่มเหยาเอ้อหลางปีศาจตัวป่วนมาด้วยอีกคน แม้แต่อาจื้อที่เชื่อฟังที่สุดก็ถูกล่อลวงไปเสียแล้ว

หญิงสาวรู้สึกว่าการนอนของตัวเองในตอนเช้านั้นไม่เต็มอิ่ม จึงไม่มีสติมากพอที่จะรับมือกับเจ้าลิงจอมซนเหล่านี้ นางทำได้แค่พูดกับอวี๋จืออย่างจนปัญญาว่า “เจ้าเกลี้ยกล่อมเด็กเก่งไม่ใช่หรือ? ยังไม่ช่วยพูดให้ข้าอีก”

อวี๋จือกล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า “ข้าพูดเป็นที่ไหนกัน? ข้าเกลี้ยกล่อมได้แค่อาซือเท่านั้นเพราะนางรู้ความและเชื่อฟัง”

เด็กสาวตัวน้อยรู้ว่าตัวเองถูกชม พลันพูดจาอ่อนหวานน่าฟังทันใด “พี่อวี๋พูดถูกเจ้าค่ะ!”

เหยาซูรู้ว่าตัวเองหวังพึ่งอวี๋จือไม่ได้ ทำได้แค่รอให้หลินเหรากลับมาโดยเร็วเท่านั้น

ปกติเวลาที่หลินเหราอยู่บ้านพวกเขาจะไม่ค่อยแสดงออก แต่วันนี้ทันทีที่เขาออกไปได้ไม่นาน จึงสบโอกาสทำตามใจตัวเองในทันใด

แต่เจ้าพฤติกรรมทำตามใจตัวเองที่เหยาซูคาดหวังมาตลอด ตอนนี้กำลังพันแข้งพันขา เล่นเอาเดินเหินไม่สะดวกเลยทีเดียว

อีกด้านหนึ่ง เดิมทีเขาคิดว่าระยะทางจากบ้านมาถึงจวนผู้ตรวจการไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้วแต่ตู้เหิงกลับเดินเชื่องช้าเสียเหลือเกิน

นางเป็นคุณหนูใหญ่ผู้แสนบอบบางคนหนึ่ง เดินช้าย่อมเป็นเรื่องปกติ หลินเหราไม่ได้เอ่ยปากเร่งรัด ทำได้แค่เดินตามหลังอย่างช้า ๆ เท่านั้น

ทันใดนั้นก็ได้ยินตู้เหิงหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ท่านแม่ทัพหลินดูเหมือนมีเรื่องต้องไปจัดการนะเจ้าคะ? ส่งข้าแค่นี้ก็พอ ข้าจำทางได้”

หลินเหราเป็นคนที่ปฏิบัติหน้าที่เคร่งครัดจริงจัง เมื่อเขาบอกว่าจะพาตู้เหิงไปส่งยังที่หมายย่อมไม่มีทางทิ้งไว้กลางทางแล้วจากไปเด็ดขาด

ชายหนุ่มพูดแค่ว่า “ไม่มีเรื่องอะไรต้องไปจัดการหรอก”

ตู้เหิงยิ้มและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ต้องรบกวนท่านแม่ทัพหลินเสียแล้ว”

ทั้งสองคนเดินอยู่บนถนน บุรุษก็หล่อเหลา สตรีก็งดงาม ดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อย

ตู้เหิงจะต้องปิดผ้าคลุมหน้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ภาพที่ดูขมุกขมัวใต้ผ้าผืนนั้น ยิ่งทำให้ผู้อื่นอยากยลโฉมนางมากขึ้น

…………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อาซูอย่าเพิ่งวางใจนะคะ เล่นฝากปลาย่างไว้กับแมวแบบนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะเดือดร้อนเอานะคะ พี่สะใภ้รองก็เตือนแล้ว

ไหหม่า(海馬)