ในเมืองชิงถงมีคนที่จำตู้เหิงได้ไม่มากนัก แต่คนที่ไม่รู้จักหลินเหรากลับมีเพียงหยิบมือ

หลังจากที่ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันไปไม่นาน ก็เจอกับเด็กในร้านของหอไป๋เว่ยที่รับหน้าที่ออกมาเลือกซื้อวัตถุดิบ

เพราะเหยาซูมักจะไปหอไป๋เว่ยบ่อยครั้ง เด็กในร้านจึงจำเขาได้

ชายคนนั้นได้เข้ามากล่าวทักทายหลินเหรา “นายกองหลิน วันนี้ไม่เข้าเวรหรือขอรับ? แล้วนี่กำลังจะไปที่ใด?”

หลินเหรามองปราดเดียวก็จำอีกฝ่ายได้ทันที จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเเสียงราบเรียบว่า “ส่งแขก”

เด็กในร้านลอบพินิจพิจารณาสตรีข้างกายของชายหนุ่มอยู่เงียบ ๆ โดยไม่ให้ล่วงเกินหลินเหรา แต่แล้วก็นึกถึงกิริยาอันแสนอ่อนโยนและมีมารยาทที่เหยาซูปฏิบัติต่อพวกเขาขึ้นมาได้ ตอนนี้จึงคิดว่าตัวเองน่าจะเข้าใจดีว่าสถานการณ์แบบนี้ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร

เขาเอ่ยถามอย่างกล้าหาญ “เหตุใดถึงไม่เห็นแม่นางเหยาล่ะ? ช่วงนี้โรงเตี๊ยมของเรามีสูตรอาหารใหม่สองสามอย่าง รอให้แม่นางเหยามาลิ้มลอง!”

ครั้นเอ่ยถามถึงเหยาซู หลินเหราจึงได้เบนความสนใจส่วนหนึ่งไปให้เขา “วันนี้นางอยู่บ้าน วันหน้าค่อยไปช่วยชิม”

ชายหนุ่มมีสีหน้าปกติ แม่นางที่ปิดหน้าด้วยผ้าคลุมหน้าสีขาวบางด้านข้างเองก็ไม่ได้แสดงความผิดปกติและไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาตลอดการพูดคุย เด็กในร้านคนนั้นจึงเพิ่งตระหนักได้ คาดว่าเขาคงคิดมากไป

ชายหนุ่มยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “งั้นข้าไม่รบกวนนายกองหลินแล้วดีกว่า ท่านทั้งสองค่อย ๆ เดินนะขอรับ!”

หลินเหราไม่ได้คิดมากอะไร เขาออกเดินไปตามถนนกับตู้เหิงอีกครั้ง

หลังจากที่เดินออกมาได้ไม่ไกลมากนัก นางก็พลันหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ “เดิมทีคิดว่าท่านแม่ทัพหลินจะเป็นคนที่เข้าถึงยากเสียอีก ไม่น่ามีคนเข้ามาพูดคุยกระชับสัมพันธ์ก่อนเช่นนี้ ดูท่าท่านแม่ทัพจะมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับคนในเมืองไม่น้อยเชียว”

หลินเหราเอ่ยอธิบาย “เมื่อครู่คนผู้นั้นเป็นคนของหอไป๋เว่ย อาซูมักจะไปกินข้าวที่หอไป๋เว่ยบ่อยครั้ง เด็กในร้านก็เลยจำได้”

หากตู้เหิงอยากจะพูดคุยกับใครจริงจัง ย่อมต้องพูดออกมาอย่างตรงประเด็น

หญิงสาวยิ้มอีกครั้ง “แม่นางเหยาไม่เพียงแต่จะงดงาม จิตใจก็ยังดีอีกด้วย ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพและแม่นางเหยารู้จักกันได้อย่างไรหรือ? แล้วแต่งงานกันตั้งแต่เมื่อใด?”

หลินเหราเอ่ยตอบ “ข้ากับอาซูแต่งงานกันโดยไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ทว่าพ่อแม่เป็นคนจัดการ แม่สื่อเป็นคนดำเนินงาน”

แบบนี้นี่เอง ตู้เหิงค่อย ๆ นำคำพูดของหลินเหรามาเทียบกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้วงความทรงจำของตนเอง

ฐานะเดิมและรูปลักษณ์หน้าตาภรรยาของหลินเหราไม่มีปัญหา เด็กทั้งสามคนก็ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วปัญหามันอยู่ตรงที่ใดกันเล่า?

นางต้องจากโลกนี้ไปหลังคลอดลูกคนที่สามไม่ใช่หรือ? แล้วยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหยาเฉาพี่ชายของนาง ชาติที่แล้วไม่เคยได้ยินคนชื่อนี้ด้วยซ้ำ…

หรือว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เหยาเฉา?

แต่วันนี้นางมาบ้านของเหยาเฉาด้วยความคิดริเริ่มของตนเอง แล้วก็ไม่เห็นถึงความผิดปกติอะไร

ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หลังจากปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า วันเวลาที่ตู้เหิงจะได้อยู่ในเมืองชิงถงก็เหลือไม่มากนัก หญิงสาวจึงอดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้

ครั้นคิดได้เช่นนี้ นางจึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างลังเล “วันนี้ข้าได้ยินท่านแม่ทัพเอ่ยถึงใครคนหนึ่ง ข้าน้อยไม่รู้ว่าควรถามหรือไม่…”

สายตาของหลินเหราสบตาของตู้เหิงพอดี จึงเข้าใจว่า “เจ้าหมายถึงอวี๋จือหรือ?”

ตู้เหิงพยักหน้าเล็กน้อย

ครั้นเห็นนางถามถึงอวี๋จือ หลินเหราจึงพูดมากขึ้น “อวี๋จือเป็นคนซูโจว เดิมทีตั้งใจจะเดินทางไปสอบในเมืองหลวง แต่จับพลัดจับผลูมาถึงเมืองชิงถง”

ตู้เหิงฉวยโอกาสพูดขึ้นว่า “เห็นท่านแม่ทัพบอกว่าเขาจะเข้าเมืองพอดี คาดว่าภายในสองวันนี้ ท่านพ่อคงจะส่งคนมารับตัวข้ากลับไป หากเขายินยอม ให้เขาร่วมเดินทางไปกับข้าน้อยก็ได้ ระหว่างทางจะได้ดูแลกันและกัน”

อวี๋จือผู้อ่อนต่อโลก ถ้าปล่อยให้เขาเข้าเมืองคนเดียว เกรงว่าหากเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นอีก ครั้งนี้เขาจะต้องไปสอบในช่วงฤดูใบไม้ผลิไม่ทันแน่นอน

ถ้าอยู่กับตู้เหิง คงทำให้วางใจไม่น้อย

ตู้เหิงกำลังจะเสนอหนทางแก้ไขปัญหาให้พวกเขา หลินเหรากลับพูดขึ้น “ถ้าอย่างนี้ก็ดีสิ เพียงแต่ต้องรบกวนแม่นางตู้เสียแล้ว ข้าน้อยขอขอบคุณแม่นางแทนอวี๋จือด้วย”

ตู้เหิงคลี่ยิ้มอีกครั้ง ดวงตาที่ไม่ได้ถูกปิดด้วยผ้าคลุมสีขาวนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ดูงดงามยิ่งนัก

นางเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “บุญคุณที่ช่วยชีวิตข้าจะไม่ตอบแทนได้อย่างไร เหตุใดท่านแม่ทัพต้องขอบคุณข้าด้วย?”

หลินเหรากลับเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “มันคนละเรื่องกัน แม้ว่าตอนนี้จะกำจัดโจรภูเขาได้แล้ว แต่การปล่อยอวี๋จือเข้าเมืองคนเดียว อาซูคงไม่วางใจเป็นแน่ การร่วมเดินทางไปกับแม่นางตู้ ยังพอปกป้องเขาจนถึงที่หมายได้ ข้าน้อยแซ่หลินผู้นี้จึงต้องขอบคุณแม่นางตู้”

เมื่อตู้เหิงเห็นว่าเขาไม่เคยหยุดเอ่ยถึงเหยาซูแม้แต่ประโยคเดียว ในใจทั้งรู้สึกจนปัญญา ทั้งอึดอัดอย่างมาก

ครั้นเห็นว่าจะถึงจวนผู้ตรวจการแล้ว นางจึงข่มอารมณ์ด้านลบไว้ และพูดกับหลินเหราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถ้าท่านแม่ทัพหลินอยากขอบคุณด้วยใจจริง ไม่ทราบว่าจะช่วยข้าสักเรื่องได้หรือไม่เจ้าคะ?”

หลินเหราพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เชิญกล่าว”

ตู้เหิงหยุดก้าวเดินและพูดกับหลินเหราว่า “การออกจากบ้านในครั้งนี้ ล้วนเป็นความบุ่มบ่ามทำตามอำเภอใจของข้าเอง จนเกือบนำหายนะมาสู่ตน ….ครั้นถึงบ้านแล้ว ท่านพ่อและท่านแม่คงอดตำหนิไม่ได้ ข้ากลับรู้สึกผิดอย่างมาก ถ้าท่านแม่ทัพสะดวก ช่วยหาขนมพื้นเมืองของชิงถงสักอย่างสองอย่างได้หรือไม่ อย่างน้อยก็ให้ข้าได้นำกลับบ้านไปขอโทษท่านพ่อท่านแม่?”

คำขอร้องของนางสมเหตุสมผล หลินเหราจึงไม่มีเหตุผลใดต้องปฏิเสธ

ชายหนุ่มตอบเพียงแค่ว่า “ที่แม่นางตู้กล่าวมา ข้าน้อยแซ่หลินผู้นี้จะทำอย่างสุดความสามารถ”

ตู้เหิงพยักหน้า “ยามท่านแม่ทัพเข้าเวรค่อยเจียดเวลาออกไปช่วยหาก็ได้ หากไม่สามารถหาสิ่งใดได้ก็ไม่เป็นไร ถึงตอนนั้นอาซู่ก็คงจะมอบเงินจำนวนหนึ่งให้ท่านแม่ทัพ”

หลินเหราตอบ “อื้อ” หนึ่งครั้ง โดยไม่พูดสิ่งใดอีก

ตู้เหิงถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกว่าเมื่อสองสามวันก่อนตัวเองคงจะหุนหันพลันแล่นเกินไป

ตอนนี้ภรรยาของหลินเหรายังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาและภรรยาจะไม่ได้มีความรู้สึกดี ๆ ให้กันเท่าไร แต่คงจะมีอะไรเกินเลยกับตัวเองไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่ได้ตาบอด ย่อมมองออกว่าหลินเหรามีใจให้เหยาซู

ตอนนี้ทำได้แค่ค่อย ๆ คิดหาหนทาง รักษาความสัมพันธ์ให้มั่นคงเสียก่อน แล้วค่อยวางแผนอื่น ๆ ต่อไป

เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงจวนผู้ตรวจการ ตู้เหิงพูดกับหลินเหราว่า “วันนี้ต้องขอบคุณท่านแม่ทัพที่อุตส่าห์มาส่ง ข้าไม่รบกวนช่วงเวลาที่ท่านแม่ทัพจะได้อยู่ร่วมกันกับทุกคนแล้วดีกว่า”

หลินเหรามาส่งนางถึงในจวน จากนั้นก็หมุนตัวตรงกลับบ้าน

เพียงแต่ตอนที่ย่างเท้าเดินกลับไปนั้น กลับเร่งฝีเท้าอย่างเห็นได้ชัด

………

ยังไม่ทันที่หลินเหราจะเข้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงตะโกนรบเร้าจะออกจากบ้านของเหยาเอ้อหลางและอาจื้อดังออกมา จากนั้นก็ตามมาด้วยคำห้ามปรามของเหยาซู

น้ำเสียงของหญิงสาวเต็มไปด้วยความจนปัญญา “ต้องกินข้าวกันแล้ว จะออกไปเล่นอีกทำไมกัน? หลินจื้อ ห้ามสร้างปัญหาตามพี่คนรองเด็ดขาด!”

บางทีอาจเพราะความรีบร้อน นางไม่แม้แต่จะเรียกชื่อเขาว่าอาจื้ออย่างที่เคยเรียก แต่กลับเรียกชื่อเต็มของเขาแทน

อาจื้อไม่พูดอะไร แต่แล้วก็ได้ยินเสียงออดอ้อนอันนุ่มนวลของเหยาเอ้อหลางอีกครั้ง “ท่านอาขอรับ ให้เราออกไปเล่นเถิด เล่นแค่ประเดี๋ยวเดียว ก่อนที่ท่านอาเขยจะกลับมา เราก็คงกลับมาถึงแล้ว!”

เหยาซูปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ได้!”

หลินเหราไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหยาเอ้อหลางและอาจื้อถึงต้องอ้อนวอนขอออกไป และเหยาซูมีอะไรจะต้องปฏิเสธ แต่หลังจากที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน เขาก็เลือกที่จะสนับสนุนเหยาซูโดยไม่มีเงื่อนไข “ข้ากลับมาแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องออกไปแล้ว”

ทันทีที่เหยาเอ้อหลางเห็นอาเขยก็ตะลึงงันทันใด

แม้ว่าความหวังในการจะได้ออกไปเล่นข้างนอกจะถูกทำลาย แต่การได้เจอกับหลินเหราไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงดีอกดีใจเป็นอย่างมาก “ท่านอาเขย! ท่านกลับมาแล้ว…”

หลินเหราเข้าใจว่าเหตุใดเหยาซูถึงไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาออกไปเล่นข้างนอก

ตอนนี้เด็กทั้งสองคนกำลังควบม้า นั่งอยู่บนหลังม้าหน้าคนหนึ่งหลังคนหนึ่ง แม้แต่ขาก็ยังเหยียบไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่กลับจับเชือกบังเหียนไว้

สภาพเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะออกไปเล่นข้างนอก แต่ต้องการออกไปขี่ม้าด้วย!

มิน่าเล่าเหยาซูจึงไม่ยอมให้ออกไปแม้แต่ก้าวเดียว

ครั้นหลินเหราเข้ามาในลานบ้าน ก็รีบดึงหน้าตึงทันที “หลินจื้อ ที่พ่อเคยบอกไว้ ลืมหมดแล้วใช่หรือไม่?”

เดิมทีที่อาจื้อกล้าปีกกล้าขาแข็งเช่นนี้เป็นเพราะมีญาติผู้พี่คอยสนับสนุน ครั้นได้ยินผู้เป็นพ่อกล่าวเช่นนั้น ก็รู้สึกอ่อนยวบลงทันที จากนั้นก็พูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “ไม่ ไม่ลืมขอรับ ท่านพ่อไม่อยู่ ห้ามขี่ม้า”

หลินเหราเลิกคิ้วสูง

เด็กชายกระโดดลงจากหลังม้าทันที สร้างความตกใจให้เหยาซูจนเกือบหัวใจวายตาย “เจ้าลูกคนนี้ ช้า ๆ หน่อยสิ! ม้าสูงถึงเพียงนั้น แข้งขาหักขึ้นมาจะทำอย่างไร?”

อาจื้อขยี้จมูกเล็กน้อย ไม่กล้าลูบคมผู้เป็นพ่อและไม่ปริปากพูดแต่อย่างใด

หลินเหรายังคงแสดงสีหน้าเคร่งขรึม แต่เหยาเอ้อหลางกลับไม่กลัวเขา ตรงกันข้ามยังพูดอย่างดีใจว่า “ท่านอาเขย อาจื้อบอกว่าท่านอาจะพาเขาและน้องสาวไปขี่ม้า เมื่อไรจะพาข้าไปด้วยล่ะขอรับ?”

เจ้าลิงจอมซนผู้ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเช่นนี้ เกรงว่าคงต้องถูกเฆี่ยนตีสักยกถึงจะทำตัวดีขึ้น เพียงแต่วันนี้เขายังไม่ได้สร้างปัญหาใหญ่โต ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องลงมือกับเขา

หลินเหราคิดเช่นนี้ จากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไปอุ้มเหยาเอ้อหลางด้วยมือข้างเดียว “เรื่องขี่ม้าวันหน้าค่อยว่ากัน เจ้าลงมาก่อนเถอะ”

เหยาเอ้อหลางตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็หัวเราะ “ฮ่า ฮ่า” ออกมา เขาคิดว่าหลินเหราจะพาเขาออกไปเล่น แต่กลับถูกแขนที่แข็งแรงของอาเขยกอดรัดไว้ แล้วหนีบอยู่ใต้วงแขนอย่างไร้ความปรานี

การถูกกอดรัดเอาไว้เช่นนี้ทำให้เด็กน้อยรู้สึกทรมาน เหยาเอ้อหลางจึงเตะขาประท้วง “ท่านอาเขยปล่อยข้าลง! ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!”

ครั้นเห็นตัวเองขี่ม้าไม่ได้ ญาติผู้พี่คนรองก็ขี่ม้าไม่ได้ อาจื้อจึงดีอกดีใจยิ่งนัก

แต่เขายังจดจำคำขู่เมื่อครู่ของหลินเหราได้ เนื่องจากกลัวว่าท่านพ่อจะลงโทษที่เขาไม่เชื่อฟัง จึงพยายามกลั้นยิ้มมุมปากไว้ ไม่ให้เผยรอยยิ้มออกมา

เหยาซูมองอยู่ด้านข้างด้วยความขบขันไม่น้อย

เหยาซูยิ้มและพูดกับหลินเหราว่า “ดีนะท่านกลับมาเสียก่อน ขืนช้ากว่านี้ บ้านของเราคงได้ถูกเด็กทำลายจนไม่มีเหลือแน่”

เหยาเอ้อหลางยังคงร้องลั่นไม่หยุด และยังอ้อนวอนเหยาซู “ท่านอา ข้าผิดไปแล้ว รีบให้ท่านอาเขยปล่อยข้าลงเถอะขอรับ!”

เหยาซูไม่เพียงแต่จะไม่ขยับเขยื้อน ตรงกันข้ามยังเดินตรงไปหาแล้วออกแรงดีดหน้าผากของเหยาเอ้อหลาง “ฝันไปเถอะ! เมื่อครู่ใครใช้ให้เจ้าไม่เชื่อฟังเองเล่า ตอนนี้คนที่สยบเจ้าได้กลับมาแล้ว ยังจะซนอีกหรือไม่?”

เหยาเอ้อหลางไม่ได้เจ็บมากอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับตั้งใจร้องเสียงหลงราวกับถูกตีจนปางตาย

เหยาซูทั้งโกรธทั้งขบขัน นางยื่นมือออกไปดีดเขาอีกครั้ง “แม่ของเจ้ากำชับข้าไว้แล้ว! เอ้อหลางไม่เชื่อฟัง ให้ลงมือตีได้เลย! ไม่ถึงตายก็พอ”

…………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ดูท่าทางยัยคุณหนูจะแผนสูงอยู่นะคะ อย่าการ์ดตกเชียวอาเหราอาซู หน้าสวย ๆ จะไว้ใจได้กา ตาหวาน ๆ จะไว้ใจได้กา

รู้สึกหวงอวี๋จือแล้วสิ ยิ่งเป็นหนุ่มซื่ออยู่ กลัวเป็นหมากเบี้ยตัวหนึ่งให้ยัยคุณหนูนี่

อาเขยมาแล้ว เจ้าเด็กซนเตรียมโดนลงโทษเรียงตัวได้เลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)