บทที่ 177 คงไม่ได้ดูแค่หน้าตาหรอกกระมัง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

เหยาเอ้อหลางรีบขอโทษทันที และเริ่มพูดมากขึ้นอย่างเชื่อฟัง ครั้นเห็นท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น ก็ทำให้ไม่มีผู้ใดลงมือกับเขาลง

อาจื้อและอาซือต่างไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษเท่าไรนัก วันนี้เหยาเอ้อหลางมาถึงบ้าน ไม่เพียงแต่เหยาซูที่รู้สึกปวดหัว แม้แต่หลินเหราก็คิดเช่นกันว่าบ้านของเขาเล็กเกินไป เมื่อมีเด็กเพิ่มมาอีกคนก็เลยรู้สึกว่าแออัดจนเหยียดมือเหยียดเท้าไม่ค่อยสะดวก

วันข้างหน้าเมื่อซานเป่าโตขึ้น เด็ก ๆ คงจะเสียงดังโวยวายเบียดเสียดกันอยู่ในเรือนแห่งนี้ แล้วจะอยู่กันอย่างไรเล่า?

หลินเหราเองก็คิดไม่ถึง ครั้นซานเป่าวิ่งได้ อาจื้อก็คงจะโตแล้ว เกรงว่าคงต้องออกไปร่ำเรียนข้างนอกเร็วขึ้น ไฉนเลยจะอยู่เล่นกับน้องชายและน้องสาวอยู่ในบ้านได้ทั้งวัน

เขาทำได้แค่หนีบตัวเจ้าหลานชายผู้ดื้อรั้นคนนี้ไว้ กระทั่งเดินมาถึงห้องโถงด้านหน้าจึงปล่อยเขาลงดี ๆ

เหยาเอ้อหลางถูกหนีบจนปวดกระดูกไปหมด แต่ครั้นได้กลิ่นหอมของอาหารกลับทิ้งเรื่องความเจ็บปวดไว้ด้านหลังทันที “วันนี้ท่านอาทำอะไรกินหรือขอรับ?”

อวี๋จือและอาซือยกอาหารมาจัดวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อากาศรอบตัวค่อนข้างอบอุ่น อาหารก็เพิ่งยกลงจากเตาได้ไม่นานจึงไม่ได้เย็นชืดเร็วเท่าไรนัก

เขายื่นหน้าเข้ามามอง เห็นปลากะพงนึ่งหนึ่งตัว เนื้อไก่พะโล้ฉีกหนึ่งจาน และก็ผัดผักอีกสองจาน

เด็กชายสูดดมกลิ่นเข้าเต็มปอด “อาหารพวกนี้ช่างอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก!”

เหยาซูยิ้มและพูดว่า “ยังไม่ไปล้างมืออีก? รอให้พวกเจ้าเล่นจนหนำใจแล้วค่อยมากินข้าว วันนี้อาเขยของเจ้าเข้าครัวเองเชียวนะ ชิมดูสิว่าอร่อยหรือไม่”

เหยาเอ้อหลางและอาจื้อเดินออกไปด้วยกัน ขณะล้างมืออยู่ข้างบ่อน้ำนั้นเขาพลันกระซิบกระซาบกับลูกพี่ลูกน้องของตน “ท่านอาเขยเก่งมากจริง ๆ แม้แต่อาหารก็ทำเป็น แต่ไม่รู้ว่าอร่อยหรือไม่?”

อาจื้อพูดอย่างมั่นใจว่า “อร่อยแน่นอน เดี๋ยวท่านพี่ชิมก็รู้เอง”

หลังจากที่เด็กสองคนล้างมือเสร็จแล้วก็เดินกลับมายังห้องโถงด้านหน้า เหยาเอ้อหลางพุ่งตัวมานั่งข้างกายของหลินเหราเป็นคนแรก

อาจื้อที่มักคุ้นชินกับการนั่งข้างผู้เป็นพ่อ เมื่อถูกเบียดไปอีกด้านจึงเกิดอาการตะลึงงันไปชั่วขณะ

เหยาซูรู้สึกขบขันไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร รอทุกคนพร้อมหน้าจึงเริ่มตักข้าว

เหยาเอ้อหลางคึกคักร่าเริงมากทีเดียว ทั้งยังกินมากอีกด้วย ประกอบกับอาหารในวันนี้เป็นฝีมือของอาเขย เขาจึงกินอย่างมีความสุข “ท่านอาเขยเก่งมากจริง ๆ ขอรับ! สู้รบก็ได้ ทำอาหารก็เก่ง!”

เหยาซูเอ่ยถาม “งั้นอาเขยก็เป็นตัวอย่างที่ดีของเอ้อหลางนะสิ?”

เด็กผู้ชายกลืนเนื้อปลาในปาก จากนั้นก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอนขอรับ”

จากนั้นก็ได้ยินอาของเขาพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ต้องเรียนรู้จากอาเขย เวลาไม่มีอะไรทำก็ช่วยแม่เจ้าซักผ้าทำอาหารอยู่ที่บ้าน อ่อ จริงสิ อาเขยของเจ้าท่องบทประพันธ์ได้เก่งมาก ทั้งยังเขียนหนังสือได้อีกด้วย เอ้อหลางจะต้องเรียนรู้จากเขานะ”

ครั้นเหยาเอ้อหลางได้ยินประโยคนี้ ก็หยุดชะงักทันใด “ว่า… ว่าอย่างไรนะ?”

อาซือพยักหน้าและพูดอย่างจริงจังว่า “พี่รอง ท่านพ่อเขียนหนังสือได้สวยมาก! อีกทั้งเวลาที่ท่านพี่ท่องหนังสือ ถ้าท่องผิดตรงไหน เมื่อท่านพ่อได้ยินจะรู้ทันที”

หากบอกว่าซักผ้าทำอาหาร เหยาเอ้อหลางไม่ยอมทำแน่นอน ส่วนเรื่องการเขียนหนังสือและท่องจำนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าเขาเสียอีก

จู่ ๆ เขาก็ไม่ยอมพูดได้แต่ก้มหน้าก้มตากินอย่างเงียบ ๆ ตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นคนธรรมดา เลียนแบบให้มีความสามารถเหมือนกับอาเขยก็พอ

เหยาซูกลับไม่ยอมปล่อยเขาไปและไล่ถามต่อ “ได้ยินแล้วใช่หรือไม่? วันนี้ข้าจะไปส่งเจ้าที่บ้านเอง ข้าจะได้คุยกับแม่เจ้าด้วย ก่อนอื่นต้องเรียนรู้จากการทำอาหาร อีกอย่างเจ้าก็มีความสุขกับการกินอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

เหยาเอ้อหลางมีสีหน้ากลัดกลุ้มใจทันใด แม้แต่ไก่ที่อยู่ในปากก็ไม่หอมหวานอีกแล้ว

เหยาซูหลุดหัวเราะออกมาอย่างฉับพลัน ขนาดมุมปากของหลินเหราเองก็ยังยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มบาง ๆ

อวี๋จือนั่งขบขันอยู่อีกด้านพลางครุ่นคิดในใจ ‘หากบ้านพวกเขามีกฎเกณฑ์น้อยลงบ้าง ก็คงจะมีความสุขเหมือนกับพี่ใหญ่หลินและแม่นางเหยาใช่หรือไม่?‘

หลังจากที่ได้กินอย่างอิ่มหนำไปหนึ่งมื้อ แม้ว่าปากของเหยาซูจะบอกว่าโกรธเอ้อเหลาง แต่ในใจกลับรักหลานชายคนนี้มาก ไฉนเลยจะสร้างความไม่เป็นธรรมให้เขาจริง ๆ

หลังมื้ออาหารแล้วอวี๋จือได้กล่าวลา ขอตัวกลับไปทบทวนหนังสือ

เหยาเอ้อหลางกินข้าวมื้อเที่ยงจากบ้านของท่านอาแล้ว ช่วงกลางวันก็ได้หลับฝันหวานกับน้องชายและน้องสาวของเขา ตกบ่ายพวกเด็ก ๆ ก็เล่นกันอยู่ในลานบ้านมีความสุขจนลืมบ้านตัวเองเลยทีเดียว ครั้นยามค่ำคืนมาเยือนจึงไม่ยอมกลับบ้าน

จนพี่สะใภ้รองเหยาต้องมาตามด้วยตัวเอง บอกว่าจะมา ‘เชิญ’ บรรพบุรุษตัวน้อยของตนกลับบ้าน แบบนี้ถึงจะลากเอ้อหลางกลับบ้านได้

อาจื้อยืนส่งญาติผู้พี่จากไป แต่ก็ยังทอดถอนใจด้วยความรู้สึกค้างคา “เฮ้อ ถ้าญาติผู้พี่อยู่กับเราไปตลอด ก็น่าจะดีกว่านี้!”

ครั้นเหยาซูเห็นเขาทอดถอนใจเฉกเช่นผู้ใหญ่ จึงยิ่งเบิกบานใจ “ถ้าเจ้าชอบเล่นกับญาติผู้พี่ พรุ่งนี้ก็ให้เขามาอีกสิ”

แม้ว่าอาจื้อจะมีอายุไม่มากนัก แต่ความรู้สึกที่สุมอยู่ในใจกลับมีไม่น้อย เขาไม่ได้ตอบรับอย่างดีอกดีใจ ตรงกันข้ามกลับแสดงท่าทีเศร้าหมอง “พี่ใหญ่และพี่รองเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้พี่รองมาที่นี่มาเล่นกับเรา แต่ญาติผู้ใหญ่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ไม่โดดเดี่ยวหรือขอรับ?”

เป็นอีกครั้งที่เหยาซูตื่นตกใจกับความโตก่อนวัยของเด็กในยุคสมัยโบราณ “เจ้าเพิ่งจะกี่ขวบเอง รู้จักคำว่าโดดเดี่ยวด้วยหรือ?”

เด็กชายชำเลืองมองผู้เป็นมารดาของเขาแวบหนึ่งโดยไม่พูดสิ่งใด ความรู้สึกที่แสดงออกมาทางใบหน้าได้ถูกเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ใช่เด็ก และรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว

เหยาซูรู้สึกขบขัน “เอาล่ะ พี่ใหญ่ของเจ้าเรียนหนังสืออยู่ในบ้านดี ๆ ไฉนเลยจะกลายเป็นลิงจอมซนเหมือนกับพวกเจ้าสองคนล่ะ วัน ๆ เอาก็คิดแต่จะเล่นด้วยกัน”

พูดจบหญิงสาวก็หมุนตัวเข้าไปในห้องครัว ลงมือทำอาหารกับหลินเหรา

ปล่อยให้อาจื้อครุ่นคิดอย่างบ้าคลั่งเพียงผู้เดียว เรียนหนังสือกับเล่นอย่างไหนมันมีค่ามากกว่ากัน

หลังจากที่หลินเหราได้พักผ่อนหนึ่งวันเต็ม ได้อยู่กับภรรยาและลูก ๆ ไม่นานเวลาก็ผ่านพ้นไป

เช้าตรู่วันถัดมา เขาเดินไปบ้านของเหยาเฉาอีกหนึ่งรอบ

ก็พบพี่สะใภ้รองเหยากำลังต้มยาให้เหยาเฉาอยู่ในลานบ้านพอดี ครั้นนางเห็นหลินเหราจึงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย “อาเหรา เหตุใดวันนี้ถึงมาแต่เช้า?”

หลินเหราตอบกลับว่า “พี่สะใภ้รอง ข้ามาเยี่ยมพี่รอง ข้าต้องไปจวนผู้ตรวจการแล้ว”

รู้ว่าที่เขามาอาจมีเรื่องสำคัญ สะใภ้รองเหยาจึงไม่ได้รบกวน ได้แต่ยิ้มและพูดว่า “พี่รองของเจ้าตื่นแล้ว นอนอยู่บนเตียง เจ้าเข้าไปเถอะ”

หลินเหราพยักหน้า และหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง

ไม่รู้ว่าทั้งสองคนพูดเรื่องอะไรกัน ผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อสะใภ้รองเหยาต้มยาในมือเสร็จก็เห็นน้องเขยเดินออกมาพอดี

นางเห็นหลินเหรากำลังจะออกไปจึงขวางเขาไว้ “กินอาหารเช้ามาหรือยัง? กินอาหารเช้าที่บ้านก่อนสิแล้วค่อยไป”

หลินเหรากล่าวขอบคุณ “ไม่รบกวนพี่สะใภ้รองดีกว่า แม้ว่าโจรภูเขาจะถูกจับกุมแล้ว แต่เรื่องการไต่สวนก็ยังต้องดำเนินต่อ เมื่อวานข้าพักมาทั้งวันแล้ว วันนี้จะต้องเข้าจวนผู้ตรวจการแต่เช้า ไม่รบกวนพี่สะใภ้รองแล้วขอรับ”

แม้ว่าสีหน้าของเขาจะนิ่งเฉยไม่เป็นเดือดเป็นร้อน แต่การกล่าวลากลับดูสุภาพมากทีเดียว

สะใภ้รองเหยามีความประทับใจแรกกับหลินเหราไม่ค่อยดีนัก รู้สึกว่าเขามีนิสัยเย็นชา ไม่รู้จักรักผู้อื่น บัดนี้หลังจากที่ได้สัมผัสเขามาเนิ่นนานกลับเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเขาไปไม่น้อย

นางคลี่ยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รั้งเจ้าแล้ว คราวต่อไปค่อยมาอีกนะ แต่จะต้องอยู่กินข้าวที่บ้านด้วยกัน”

หลินเหราตอบกลับและลั่นวาจาสัญญา “แน่นอน”

สะใภ้รองเหยายืนส่งหลินเหราจนจากไป จากนั้นก็ยกยาที่ต้มเสร็จแล้วเข้าไปในห้อง “เมื่อก่อนข้าไม่ยักจะรู้สึก ตอนนี้หลังจากที่แยกแยะอย่างละเอียดแล้วเพิ่งพบว่าน้องเขยของเราคนนี้ เหตุใดยิ่งมองก็ยิ่งดูดีเล่า?”

เหยาเฉาแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ “เจ้าทอดถอนใจแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”

ยาขม ๆ ที่อยู่ในถ้วยยังร้อนอยู่ เพื่อให้เหยาเฉากินหมดในคำเดียว สะใภ้รองเหยาจึงหยิบพัดสำหรับใช้ในฤดูร้อนออกมาพัดวีให้เขา

แต่ปากยังไม่วายพูดว่า “เจ้าตัวมีหน้าตาหล่อเหลา จะห้ามไม่ให้คนอื่นทอดถอนใจได้อย่างไรกัน?”

เหยาเฉาหัวเราะ “เมื่อก่อนเจ้ามักพูดเสมอไม่ใช่หรือว่าอาเหราหน้าตาเย็นชาทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว? หรือว่าเช้าวันนี้เขาส่งยิ้มให้เจ้า?”

สะใภ้รองเหยาครุ่นคิดอย่างจริงจัง หากหลินเหรายิ้มแล้วจะเป็นอย่างไร ก่อนพูดขึ้นว่า “ไม่ ก็อยู่เฉย ๆ เขาจะมายิ้มอะไรให้ข้าเล่า? แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็น อาเหราเช่นนี้หน้าตาดีจะตายไป

เหยาเฉานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ พลันเข้าใจว่าเหตุใดจู่ ๆ สะใภ้รองเหยาถึงได้สนใจหน้าตาของหลินเหรา

คิดว่าคงเป็นเพราะเมื่อวานที่เขาพูดถึงเจตนารมณ์ที่คุณหนูตู้บุตรีเจ้าอาลักษณ์มีใจต่อหลินเหราให้นางฟัง จึงได้กระตุ้นความสนใจของผู้เป็นภรรยา

เหยาเฉาแย้มยิ้ม “เจ้ามักบอกเองไม่ใช่หรือว่าอาจื้อดูดีกว่าเอ้อหลาง? อีกทั้งเขาก็ยังมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงพ่อของเขา อาเหราจะหน้าตาแย่ได้อย่างไร? แต่ข้ามีหนึ่งคำถามที่อยากจะถาม”

สะใภ้รองเหยาหันไปมองเขา แล้วทำท่าทางขยี้หูเพื่อตั้งใจฟัง

เหยาเฉาเอ่ยถามอย่างจริงจัง “หรือว่าสตรีอย่างพวกเจ้าสนใจแค่เรื่องหน้าตา? จนทำให้มองข้ามทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวไป?

สะใภ้รองเหยาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ไม่แน่นอน ท่านถามอะไรของท่านกัน? เช่นนั้นที่ข้าแต่งงานกับท่าน เป็นเพราะตกหลุมรักหน้าตาของท่านอย่างนั้นสิ?”

เหยาเฉาแสดงท่าทีไม่อยากเชื่อ พร้อมกับมองไปทางสะใภ้รองเหยาราวกับกำลังจะถามว่า ‘ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตานี้ของข้า แล้วจะเพราะสิ่งใด?’

ไม่นานอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ก็เห็นนางพูดเสริมว่า “แน่นอน หน้าตาย่อมสำคัญกว่า”

เหยาเฉาแสดงสีหน้าจนปัญญาทันใด

และได้ยินหญิงสาวพูดว่า “ถ้าอาเหราเป็นชายร่างสูงและบึกบึน ทั้งดำทั้งแข็งแรงเกรงว่าแม่นางตู้ผู้นั้นก็คงจะไม่ชอบเขา อีกทั้งแม้ว่าข้าจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมด แต่คนที่ช่วยชีวิตแม่นางตู้ก็ไม่ได้มีแค่อาเหราเพียงคนเดียวกระมัง? เหตุใดแม่นางตู้ถึงยกหลินเหราให้เป็นผู้มีพระคุณแค่ผู้เดียวด้วย? คนอื่น ๆ ต่างก็เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตไม่ใช่หรือ?”

ปกติแล้วเหยาเฉาชอบพูดคุยกับภรรยา เพราะนางพูดมีเหตุมีผล อีกทั้งมักจะให้มุมมองใหม่ ๆ แก่เขาเสมอ

เขาจึงอดยิ้มไม่ได้ “ก็จริง ในเหตุการณ์นั้นยังมีเจิ้งอัน เฉินจิ่นและคนอื่น ๆ ต่อมาเจิ้งอันได้รับหน้าที่จัดที่จัดทางให้คุณหนูผู้สูงศักดิ์ได้พักอาศัย แต่กลับเห็นแม่นางตู้กล่าวขอบคุณแค่หลินเหราเพียงคนเดียว…”

พวกทหารประจำหน่วยที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ต่างก็มีหน้าตาธรรมดาจริง ๆ แม้จะมีหล่อเหลาอยู่บ้างแต่ก็ยังห่างไกลหลินเหรามากทีเดียว

ทั้งสองคนต่างมองหน้ากันครู่หนึ่ง เหยาเฉาพลันใช้สายตาถามว่า ‘คงไม่ได้มองแค่หน้าตาหรอกกระมัง?’

…………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เคยมีอดีตร่วมกันน่ะค่ะ แต่อาซูก็เป็นผู้เปลี่ยนอดีตนั้นไปแล้ว เจ้ากรรมนายเวรเก่าเลยอยากจะมาทวงของตัวเองคืน

ไหหม่า(海馬)