บทที่ 203 ข้าหรือเขา...ใครหล่อกว่ากัน

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

ซูอัน รู้สึกประหลาดใจที่เห็นฉู่ฮวนเจาผู้ซึ่งไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย จู่ ๆ สามารถอธิบายเกี่ยวกับเรื่องการเมืองที่ซับซ้อนออกมาได้ราวกับศึกษามาอย่างละเอียด ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของตระกูลฉู่นั้นเลวร้ายเพียงใด…

ความจริงที่ว่าพวกเขาปรากฏตัวพร้อมกันหมายความว่าพวกเขาไม่มีความกลัวแล้วว่าตระกูลฉู่จะรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขา และมันเป็นการส่งข้อความถึงคนทั้งโลกให้ทุกคนจำเป็นต้องเลือกข้าง

ซ่างหงดูเหมือนจะเป็นชายชราที่ใกล้หมดอายุขัย ที่คางของเขามีเคราแพะเล็กน้อย รูปร่างหน้าตาของเขาแก่กว่าอายุจริงมาก ตามข่าวลือ เขาเป็นขุนนางที่มีอำนาจมากในราชสำนัก และด้วยความสามารถในการจัดการกับเอกสารได้มากกว่าคนทั่วไปถึงสิบเท่าและความฉลาดเหนือคนทั่วไปทำให้เขาเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิในขณะนี้

แม้ว่าเขาจะดูแก่ แต่ดวงตาของเขายังคงมีประกายระยิบระยับราวกับเป็นเด็กหนุ่ม ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยสง่าราศีที่ใครเห็นเป็นต้องยำเกรง

แต่ถ้านำมาเปรียบเทียบกับลูกชายของเขา ซ่างเชียนดูเหมือนคนธรรมดาไปเลย แม้ว่าซ่างเชียนจะไม่สะดุดตาเท่าเซี่ยซิวหรือซือคุน แต่เขาก็มีบุคลิกแบบทหารที่ดูองอาจอยู่เต็มเปี่ยม และสิ่งนี้มันทำให้มีผู้หญิงหลายคนแอบมองเขาอย่างลุ่มหลง…

แต่แล้วเพียงไม่นานความสนใจของผู้หญิงทั้งหลายก็เปลี่ยนไปที่ซือคุน

“คุณชายซือ คุณชายซือ~!”

“คุณชายซือ ข้ารักท่าน~!”

“ว้าว…! หล่อเหลือเกิน ข้าจะเป็นลมแล้ว…”

ซูอันกลอกตาด้วยความรังเกียจ ไอ้นี่มันเหมือนลิงจริง ๆ ไปที่ไหนก็มีแต่คนโห่ร้อง…

เขาแตะไหล่ของเพ่ยเหมียนหมาน และถามว่า “เฮ้ บอกความจริงกับข้า ผู้ชายคนนั้นหล่อขนาดนั้นเลยเหรอ? ข้าไม่คิดว่าเขาจะหล่อไปกว่าข้าแน่นอน!”

“อยากฟังความจริงหรือเรื่องโกหกล่ะ?” ริมฝีปากของเพ่ยเหมียนหมาน ขดตัวเป็นรอยยิ้ม

“ยังต้องถามอีกเหรอ? แน่นอนว่าข้าอยากให้เจ้าโกหก!” ซูอันตอบกลับอย่างฉุนเฉียว

เพ่ยเหมียนหมานหัวเราะ “เจ้านี่ช่างเป็นคนที่น่าสนใจ”

ในขณะเดียวกันฉู่ฮวนเจาจ้องมองทั้งสองอย่างสงสัย ทำไมพวกเขาสองคนดูสนิทกันอย่างแปลกประหลาดแบบนี้?

ทันใดนั้นใบหน้าของซูอันก็กลายเป็นแข็งค้างเพราะเขาเพิ่งได้รับการแจ้งเตือนที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อในระบบของเขา

ท่านยั่วยุเฉียวเสวี่ยอิงสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +99 +99 +99 +99…

เขากระโดดด้วยความตกใจทันที เกิดอะไรขึ้น? เสวี่ยเอ๋อร์อยู่ใกล้ ๆ งั้นเหรอ?

แค่คิดถึงดวงตาชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยความต้องการฆ่าที่สูงเสียดฟ้าพุ่งตรงมาที่เขา มันก็ทำให้เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ แบบไม่กระพริบตา

ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกไม่เข้าใจว่าเสวี่ยเอ๋อร์กล้ามาที่นี่ได้ยังไง? ต้องรู้ว่ามีผู้บ่มเพาะมากมายมารวมตัวกันที่นี่ในเวลานี้ นอกเหนือจากผู้บ่มเพาะระดับที่ 5 ซึ่งน่าจะเป็นระดับเดียวกับนาง ยังมีผู้บ่มเพาะระดับที่ 8 เช่น ฉู่จงเทียน ซ่างหง และตามข่าวลือ เจียงลั่วฝูก็เป็นผู้บ่มเพาะระดับ8เช่นกัน…

นี่มันไม่โง่ไปหน่อยเหรอที่สายลับผู้บ่มเพาะระดับ5อย่างนางจะกล้ามาปรากฏกายที่นี่?

แม้ว่าซ่างหงและตระกูลฉู่จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน แต่พวกเขาก็ยังมีภาพลักษณ์ที่ต้องปกป้อง สำหรับเรื่องที่ร้ายแรงอย่างการเจอตัวคนทรยศ ตระกูลซ่างจำเป็นต้องช่วยเหลือตระกูลฉู่เช่นกันภายใต้สายตาการมองของสาธารณชน…

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าซูอันจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ขนาดไหน เขากลับหาเสวี่ยเอ๋อร์ไม่เจอเลย แต่แล้วทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของเขา เขาหันไปทางซือคุน และนั่นทำให้เขาเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ห่างกำลังจ้องมองมาที่เขา

“ใส่หน้ากากเหรอ?”

ข้อความของระบบที่แจ้งเตือนคะแนนความโกรธเมื่อครู่และสายตาพยาบาทที่คุ้นเคยนั้นเป็นหลักฐานที่เพียงพอสำหรับ ซูอันที่จะยืนยันว่าหนุ่มน้อยคนนั้นคือเสวี่ยเอ๋อร์!

แน่นอนว่าไม่เหมือนกับละครย้อนยุคที่โง่เง่าบางเรื่องที่นักแสดงนำหญิงพยายามหลอกให้ทุกคนคิดว่านางเป็นผู้ชายเพียงแค่เปลี่ยนทรงผมและสวมเสื้อผ้าผู้ชาย การปลอมตัวของเสวี่ยเอ๋อร์แนบเนียนกว่ามาก ใบหน้าทั้งหมดของนางไม่มีเค้าโครงเดิมเหลือเลย ซึ่งอาจหมายความว่านางน่าจะสวมหน้ากากบางอย่าง

หน้ากากนี้ช่างวิเศษจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณสมบัติการระบุตัวตนของคีย์บอร์ด เขาก็ไม่มีทางจะรู้ได้ว่าเสวี่ยเอ๋อร์อยู่ที่นี่!

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอันหันไปหาเพ่ยเหมียนหมานและถามว่า “คุณหนูเพ่ย เจ้าพอจะรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนใบหน้าให้คนอื่นจำไม่ได้รึเปล่า?”

“ปลอมตัวงั้นเหรอ” เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกประหลาดใจกับการถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของซูอัน แต่นางก็ยังตอบอย่างจริงจังว่า “ปรมาจารย์อักขระที่น่าเกรงขามมีความสามารถในการสร้างหน้ากากที่เปลี่ยนใบหน้าของบุคคลได้อย่างสมบูรณ์…”

“ถ้างั้นมันไม่ได้หมายความว่าการปลอมตัวเป็นบุคคลอื่นเป็นเรื่องง่ายมากเลยเหรอ” ซูอันถามอย่างกังวล

“จากสิ่งที่ข้ารู้ มันไม่ง่ายขนาดนั้น” เพ่ยเหมียนหมานตอบพร้อมกับส่ายหัว “ผู้บ่มเพาะยิ่งระดับสูงก็ยิ่งมีความฉลาดและประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมเหนือมนุษย์ทั่วไปหลายเท่า ดังนั้นมันทำให้เป็นเรื่องยากมากที่จะหลอกพวกเขา หากเจ้าพยายามปลอมตัวเป็นคนที่ใคร ๆ ก็รู้จัก โอกาสที่เจ้าจะถูกจับได้นั้นก็ยิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม แต่แน่นอนว่าโลกนี้กว้างใหญ่ มันอาจจะมีใครสักคนที่มีความสามารถปลอมตัวเป็นใครสักคนได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ได้”

“ฟู่…ถ้างั้นก็ค่อยโล่งใจหน่อย” ซูอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงถามเรื่องนี้?” เพ่ยเหมียนหมานถามกลับด้วยความสงสัย

ซูอันตอบกลับอย่างสบาย ๆ “ข้าแค่คิดว่ามันคงจะแย่ถ้ามีคนใช้ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของข้าหลอกผู้หญิงไปทั่ว นั่นจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของข้าอย่างย่อยยับ!”

“…” เพ่ยเหมียนหมาน

“…” ฉู่ฮวนเจา

ดูเหมือนว่าเสวี่ยเอ๋อร์จะสังเกตเห็นว่า ซูอันมองมาทางนาง ดังนั้นนางจึงรีบหลบสายตาเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขารู้ตัวตนของนาง

ซูอันก็ไม่รีบเร่งที่จะเปิดเผยนางเช่นกัน เขาหันไปมองซือคุนด้วยสายตาเยาะเย้ย

ฮึ่ม! ที่แท้ผู้บงการเรื่องทั้งหมดก็คือเจ้า! ดูเหมือนว่าการเดาของข้าจะถูกต้อง เอาล่ะ…มาเล่นเกมกันดีกว่า!

ตลอดเวลาที่ผ่านมาซือคุนบงการอยู่ในเงามืดเพื่อจัดการกับเขา ทำให้เขาวุ่นวายปกป้องตัวเองเป็นพัลวัน แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรแล้ว ในที่สุดซูอันก็รู้แล้วว่าใครเป็นผู้บงการที่แท้จริงในขณะที่ซือคุน ยังคงคิดว่าเขาอยู่ในเงามืด ถึงเวลาสร้างความปั่นป่วนแล้ว!

ท่านยั่วยุอู๋ฉิงสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +33!

ถัดมาคะแนนความโกรธก็ไหลเข้ามาอีกระลอกทำให้ซูอันรู้สึกพอใจ ข้าไม่คิดว่าข้าจะเป็นที่นิยมขนาดนี้เลยนะเนี่ย คนเหล่านี้ชอบส่งของขวัญให้ข้ากันจริง ๆ

อู๋ฉิงยืนอยู่ข้างหลังชายวัยกลางคน นางจ้องมองซูอันด้วยสายตาหงุดหงิด แต่ซูอันไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักกับ ‘เจ้าหญิง’ ตัวน้อยที่จองหองคนนี้ เขาเลือกที่จะให้ความสนใจกับชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างหน้านางแทน เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งการยืนแล้ว ชายวัยกลางคนผู้นี้น่าจะเป็นอ๋องหยางเฉวียน…อู๋เว่ย!

เมื่อเห็นว่าอู๋เว่ยและฉู่จงเทียน พูดคุยกันด้วยรอยยิ้มที่เบิกบานซึ่งทำให้ดูเหมือนพวกเขาเป็นสหายเก่าที่ไม่เจอกันนาน ซูอันก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับความเจ้าเล่ห์ของจิ้งจอกเฒ่าเหล่านี้

ขณะที่อู๋เว่ยและฉู่จงเทียนกำลังสนทนากัน ซ่างหงก็เดินไปหาตระกูลเจิ้ง ซึ่งเจิ้งอวี้ถังและเจิ้งตานก็ลุกขึ้นยืนเพื่อต้อนรับเขาทันที…

“ดี ดีมาก…” ซ่างหงประเมินลูกสะใภ้ในอนาคตของเขาครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ มารยาท หรือนิสัยของเจิ้งตาน ไม่มีข้อบกพร่องใดที่เขาสามารถตำหนิได้จากนาง น่าเสียดายที่ภูมิหลังของนางต่ำต้อยไปเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นการแต่งงานที่กำลังจะถึงคงทำให้ตระกูลซ่างมีอิทธิพลมากกว่าเดิม

ในทางกลับกัน แก้มของเจิ้งตานกลายเป็นสีแดงเมื่อได้ยินคำชมของพ่อตาในอนาคต สิ่งนี้ทำให้นางดูน่าหลงใหลและสง่างามยิ่งขึ้น

ในไม่ช้าทุกคนก็นั่งลงในที่นั่งของตน ข้างเวทีประลองมีอัฒจันทร์ใหญ่ถูกสร้างขึ้น ที่นั่งชั้นบนสุดมี ซ่างหงนั่งตรงกลาง และข้างๆ เขามีเจ้าเมืองเซี่ยอี้และอาจารย์ใหญ่เจียงลั่วฝู พวกเขาทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินการประลอง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขาที่จะได้นั่งตำแหน่งที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด

ฉู่จงเทียนและอู๋เว่ยนั่งอยู่คนละฝั่งกัน จากตำแหน่งที่พวกเขานั่งไม่ว่าใครก็เห็นได้ชัดว่าจริง ๆ แล้วงานประลองครั้งนี้ใครคือคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของงานที่กำลังจะเริ่มขึ้น

รองลงมาคือผู้นำของตระกูลหยวน ตระกูลเจิ้ง และตระกูลหวาง ซือคุนแม้จะเป็นรุ่นเยาว์แต่ที่นั่งของเขาก็อยู่ท่ามกลางผู้นำตระกูลทั้งหลายซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงสถานะที่น่านับถือของเขา