บทที่ 204 พวกเจ้าสนิทกันใช่ไหม

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทำให้นายน้อยคนที่หกของตระกูลซือขุ่นเคือง?” เพ่ยเหมียนหมานมองขึ้นไปอัฒจันทร์ก่อนที่จะเอ่ยถามซูอันด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนว่านางจะคอยจับตาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถาบันด้วย

เมื่อได้ยินคำถามนี้ ซูอันก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “เจ้าหมายความว่ายังไงที่บอกว่าข้าทำให้เขาขุ่นเคือง? มันมีแต่ไอ้บ้านั่นที่ทำให้ข้าขุ่นเคืองต่างหาก!”

เพ่ยเหมียนหมานกลอกตา “ข้าไม่เห้นว่ามันจะต่างกันสักหน่อย เอาเป็นว่าในฐานะพันธมิตรของเจ้า ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ว่าเจ้าไม่ควรประมาทอิทธิพลของตระกูลซือ ยกตัวอย่างชายชราคนนั้นที่คอยเดินตามซือคุน ไปทุกที่เขามีชื่อว่าซือเล่อจื่อ เป็นผู้พิทักษ์ส่วนตัวของซือคุน และยังเป็นผู้บ่มเพาะระดับ 8 เขาสามารถสังหารเจ้าได้อย่างง่ายดายราวกับกระทืบมด!”

“ระดับ 8?” ซูอัน รู้สึกตกใจ “ข้าคิดมาตลอดว่าผู้บ่มเพาะระดับ 8 นั้นแข็งแกร่งเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งขุนนางที่ใหญ่โต ข้าหมายถึง แม้แต่ผู้ว่าตรวจการอย่างซ่างหงก็ยังอยู่ในระดับที่ 8 เช่นกัน แต่ทำไมชายชราคนนั้นถึงพอใจกับการเป็นแค่ผู้คุ้มกันเด็กเหลือขอแบบนี้ด้วย?”

“เจ้าพูดถูกที่บอกว่าผู้บ่มเพาะระดับ 8 มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้ตรวจการแต่เจ้าต้องเข้าใจว่ามันไม่ได้หมายความว่าผู้บ่มเพาะระดับ 8 ทุกคนจะถูกรับเลือก ผู้ที่ถูกเลือกนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งแค่เพียงอย่างเดียวแต่ต้องมีทั้งโชคและภูมิหลังที่ดีพอ”

“มีผู้บ่มเพาะมากมายที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต แต่ก็ไม่สามารถได้รับตำแหน่งจากราชสำนักตามที่พวกเขาต้องการ ส่วนใหญ่คนที่จะมีอนาคตที่ดีจะเป็นพวกคนหนุ่มมีอายุน้อยแต่มีพรสวรรค์สูงดังนั้นสำหรับซือเล่อจื่อ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้บ่มเพาะระดับ 8 แต่ด้วยอายุที่มากของเขามันจึงทำให้ทางราชสำนักไม่เห็นศักยภาพที่พัฒนาได้ต่อของเขาอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ถูกเสนอให้เข้ารับตำแหน่งใด ๆ ในราชสำนัก ฉะนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากจะต้องอยู่ในตระกูลซึ่งเขาเองก็ได้รับการปฏิบัติที่ดีเช่นกัน

“แต่ถึงแม้ว่าข้าจะบอกว่าเขาไม่มีศักยภาพที่จะพัฒนาต่อ มันก็เป็นแค่การเปรียบเทียบกับผู้บ่มเพาะระดับ 8 คนอื่น ๆ แต่เมื่อเทียบกับผู้บ่มเพาะระดับต่ำเช่นเจ้า เขายังคงเป็นยักษ์ใหญ่ที่เจ้ายังคงไม่อาจต่อต้านได้”

ซูอันพยักหน้าตอบโดยเข้าใจอย่างคร่าว ๆ ในเรื่องทั้งหมด

โดยพื้นฐานแล้ว การเป็นผู้บ่มเพาะระดับแปดก็เหมือนกับได้รับปริญญาในทางทฤษฎี เจ้ามีคุณสมบัติทำงานระดับนี้ได้ แต่มันก็ยังมีอีกหลายคนที่มีใบปริญญาเช่นกัน ซึ่งคนเหล่านั้นก็พยายามแย่งชิงงานเดียวกันกับที่เจ้าหมายปองและเนื่องจากการแข่งขันที่เข้มข้น มันจึงทำให้มีบางคนที่ไม่อาจได้รับตำแหน่งที่ตัวเองใฝ่ฝันได้ตลอดชีวิต

อย่างไรก็ตาม ถ้าปริญญาที่เจ้าได้รับไม่ใช่ปริญญาธรรมดา แต่เป็นปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เจ้าจะถูกมองว่ามีศักยภาพมากกว่า และเจ้าจะมีแนวโน้มที่จะได้งานทำมกกว่าคนอื่น

ดูเหมือนว่าซือเล่อจื่อจะมีพรสวรรค์ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่มีใบปริญญาแบบเดียวกัน ซึ่งส่งผลให้เขาตกรอบในการแข่งขัน แต่อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่านี่คือการเปรียบเทียบกับผู้บ่มเพาะระดับ8ด้วยกันเท่านั้น เพราะถ้าเอาไปเทียบกับผู้บ่มเพาะธรรมดาทั่วไปแล้ว ซือเล่อจื่อคู่ควรแก่การถูกตราหน้าว่าเป็นอัจฉริยะ!

เป็นครั้งแรกที่ซูอันได้เห็นว่าโลกแห่งการบ่มเพาะมีการแข่งขันสูงเพียงใด แม้แต่คนที่สามารถไปถึงระดับ 8 ก็ยังอาจจะล้มเหลวในตำแหน่งทางสังคม…

เดี๋ยวก่อน…! ทำไมข้าถึงรู้สึกแย่กับชายชราคนนั้น? เขาเป็นถึงผู้บ่มเพาะระดับ 8 แม้ว่าเขาจะไม่มีตำแหน่งเป็นขุนนาง แต่แค่นิ้วเดียวของเขาก็บีบข้าให้ตายได้อย่างง่าย ๆ แล้ว!

ตอนนั้นเองที่มีคนมาตะโกนเรียกเขา ดูเหมือนว่าผู้ที่เข้าร่วมการประลองจะต้องไปรอที่บริเวณที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

“ขอให้โชคดี ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถชนะได้” เพ่ยเหมียนหมานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

หลังจากได้สู้กันไปรอบหนึ่ง นางก็รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่คนอื่น ๆ คิดว่าเขาเป็น บางทีเขาอาจจะทำให้ทุกคนประหลาดใจในวันนี้ก็ได้

“สายตาของเจ้าเฉียบคมจริงๆ” ซูอันเอ่ยชม

“…” เพ่ยเหมียนหมานไม่ตอบอะไรต่อ

ฉู่ฮวนเจาไม่สามารถรับได้อีกต่อไป นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจและพูดขึ้น “พี่เพ่ย ข้าเองก็เข้าร่วมการประลองด้วยทำไมท่านถึงไม่อวยพรให้ข้าบ้าง?”

เพ่ยเหมียนหมานยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “ฮวนเจา ไม่ใช่ว่าเจ้าจะต้องชนะแน่ ๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

ฉู่ฮวนเจาสัมผัสได้ว่าคำพูดของเพ่ยเหมียนหมานนั้นไม่จริงใจเหมือนกับตอนที่พูดกับซูอัน ดังนั้นนางจึงยังคงทำหน้าบึ้งอย่างไม่พอใจ

ฮึ่ม! นี่ท่านพยายามจะล่อลวงพี่เขยของข้าอีกคนใช่ไหม? รอก่อนเถอะข้าจะบอกพี่สาวของข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน!

อย่างไรก็ตาม เมื่อนางนึกถึงทัศนคติของพี่สาวนางที่มีต่อเจิ้งตาน นางก็เริ่มลังเล และยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่าพี่สาวของนางเฉยเมยต่อพี่เขยของนางเป็นอย่างมาก ราวกับว่าไม่สำคัญอะไรเลย!

ช่างมันก็แล้วกัน…ข้าแค่ต้องเฝ้าพี่เขยให้ดีก็พอ!

ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังพื้นที่รอซึ่งนักสู้คนอื่น ๆ จากตระกูลฉู่ ได้ไปรวมตัวกันแล้ว ฝั่งตรงข้ามคือหยวนเหวินตงและนักสู้คนอื่น ๆ จากตระกูลหยวน ด้วยความกลัวว่า หยวนเหวินตงจะไม่สู้กับตนเอง ซูอันจึงตะโกนเสียงดัง “เฮ้ หยวนเหวินตง! คนใจถึงอย่างข้าขอบอกเจ้าเอาไว้เลยว่าข้าจะลงประลองเป็นคนสุดท้าย ถ้าเจ้าแน่จริงเจ้าก็อย่าออกไปประลองก่อน ไม่อย่างนั้นข้าจะสาปแช่งให้ไข่ของเจ้าหลุดออกไปทั้งยวง!”

“…” หยวนเหวินตง

ท่านยั่วยุ หยวนเหวินตง

สำเร็จได้รับคะแนนความโกรธแค้น +666!

ใบหน้าของหยวนเหวินตงเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างไม่น่าเชื่อ หากไม่นับการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างสองตระกูล อย่างน้อยพวกเขาก็ยังรักษาระดับมารยาทเมื่ออยู่ในที่สาธารณะเอาไว้ได้ แต่สิ่งที่ซูอันทำเมื่อครู่มันเกินจินตนาการของเขาจริง ๆ เขาไม่คิดเลยว่าจะมีใครสักคนของตระกูลฉู่ดูหมิ่นเขาเช่นนี้ราวกับเป็นพวกอันธพาลข้างถนน!

อย่างไรก็ตามภายใต้สายตาของบุคคลสำคัญมากมายที่กำลังเห็นเขา โกรธจัด เขาเองก็ไม่กล้าที่จะโต้ตอบออกไปตามใจนึก เขาสูดหายใจลึก ๆ เพื่อข่มอารมณ์และพูดขึ้นอย่างเย็นชาแทน “ได้เลย…ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้ขอคำชี้แนะจากเจ้า ซูอัน!”

ฮึ่ม! ถ้าข้าทำให้เขาพิการไม่ได้ ข้าจะยอมไม่ใช้แซ่หยวน!

มันไม่ใช่แค่หยวนเหวินตงที่รู้สึกโมโหจนควันออกหู ทุกคนในตระกูลหยวน ต่างเทคะแนนความโกรธให้กับซูอันเป็นจำนวนมาก อันที่จริง แม้แต่ผู้ชมที่ยืนดูบางคนก็ยังรู้สึกโมโหจากคำพูดยียวนของซูอัน ด้วย

แม้แต่จี้เติ้งถูก็ยังหยุดมองผู้หญิงที่แต่งงานแล้วชั่วคราวและหันมามอง ซูอัน

ไอ้เด็กเวรนี่เก่งจริง ๆ ในเรื่องการกวนประสาทชาวบ้าน นับจากนี้ข้าต้องให้ลูกสาวของข้าอยู่ห่างๆจากไอ้เด็กนี่ให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นอีกไม่นานนางคงจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องไร้สาระของมันแน่ ๆ

ว่าแต่นี่มันก็นานแล้วที่ไอ้เด็กนี่มันยังไม่มอบหนังสือเล่มใหม่ให้ข้าเลย เมื่อไหร่มันจะเอามาให้ข้าอีกกันนะ? และถ้าเขาถูกทำร้ายจนปางตายโดยหยวนเหวินตง มันก็คงไม่สามารถเอาหนังสือมาให้ข้าอีกนี่นา ข้าควรเข้าไปช่วยมันในยามคับขันเพื่อหนังสือเล่นใหม่ที่มันจะให้ข้าดีไหม?

ใกล้กับลานประลอง เสวี่ยเอ๋อร์ สาปแช่งเสียงเบา “ชายผู้นั้นน่ารังเกียจเหมือนเคย!”

ข้าง ๆ นาง ซือคุนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

“นับวันสันดานของมันก็ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ คนอย่างมันไม่มีวันเป็นใหญ่ได้อย่างแน่นอน” ซ่างเชียนเยาะเย้ย

ซ่างหงซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลเตือนลูกชายตัวเองผ่านพลังชี่ “ความจริงที่ว่าเด็กนั่นสามารถได้เงิน 7,500,000 ตำลึงเงินจาก บ่อนโกยเงิน และกลายเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ในสถาบันจันทร์กระจ่างแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่บุคคลธรรมดา อย่าหลงกลจากท่าทีที่เขาแสดงออกมาภายนอก ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าเจ้าไม่ควรมองคนแค่ผิวเผิน เจ้าควรมองลึกลงไปและคิดให้ถี่ถ้วนที่สุด!”