บทที่ 234 องค์หญิงใหญ่ปรากฏตัว

ฮ่องเต้เซี่ยเจินฟังราชครูที่อยู่ด้านนอกสวดมนต์พึมพำ พร้อมกับค่อย ๆ ทากาวปลาบนศีรษะ จากนั้นก็นำผมปลอมที่เจียงเต๋อทำทั้งคืนติดลงไป

“เช่นนี้มองไม่ออกจริงหรือ?” ฮ่องเต้เซี่ยเจินกลัวคนจะมองออก จึงได้โพกผ้าโพกหัวทับไว้อีกชั้น เช่นนี้ก็สามารถปิดบังได้แล้ว

เมื่อคิดถึงว่ามีคนสามารถลอบเข้ามาโกนผมของเขาได้อย่างไร้ร่องรอย ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันที หากคนผู้นั้นต้องการเอาชีวิตของเขาจริง ๆ เกรงว่าหัวของเขาคงจะหลุดจากบ่า และร่างกายก็เย็นชืดไปนานแล้ว พวกที่ไร้ความสามารถด้านนอกก็คงจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

หมู่บ้านตระกูลเฉินกลับมียอดฝีมือเช่นนี้ได้ ดังนั้นคนแรกที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินนึกสงสัยก็คือเจ้าเผยยวนผู้นั้น

ต้องเป็นเขา หากไม่ใช่เขาใครจะมีความสามารถเช่นนี้กัน

อย่ามองว่าเผยเกอจากไปเร็ว ทว่าเผยยวนแม้อายุจะยังน้อยแต่ก็สามารถรอดมาจากสนามรบได้ ดังนั้นต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเขาอยู่อย่างแน่นอน

ฮ่องเต้เซี่ยเจินยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะฆ่าเขา และตอนนี้สิ่งที่เสียใจที่สุดก็คือ การที่เขาใช้ข้ออ้างบอกคนนอกว่าให้เผยยวนออกไปรักษาตัวเพื่อรักษาชื่อเสียงของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะกำจัดเผยยวนทิ้งเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตจึงจะถูก

“ฝ่าบาท ใกล้จะได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจียงเต๋อเข้ามาเตือน

อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนล้วนไม่มีใครกล้ากลับเข้าไปนอน วันนี้พวกเขาต้องไปที่ทางเข้าหมู่บ้านตระกูลเฉินเพื่อเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวงแต่เช้าให้จงได้ ที่สำคัญพวกเขาได้ดูฤกษ์ยามในปฏิทินมาแล้ว คงจะให้พวกเขาเข้าพบได้แล้วกระมัง

ฮ่องเต้เซี่ยเจินคิดว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือแค่เพียงรอดูท่าทีของเสด็จพ่อของเขาเท่านั้น

มีอะไรสองคนพ่อลูกก็สามารถปิดประตูพูดคุยกันได้ เจ้าคนแซ่เผยนั่นอย่างไรซะก็เป็นแค่คนนอก คนอายุมากแล้วก็มักจะเลอะเลือนไปบ้าง แต่คงไม่ถึงขนาดยกบ้านเมืองให้คนแซ่เผยหรอกกระมัง

“ออกเดินทาง”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินออกมาจากกระโจม คนทั้งหมดก็ได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว ทว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนมา แต่ละคนกลับมีท่าทางเซื่องซึม เมื่อเทียบกับความกระปรี้กระเปร่าตอนที่เพิ่งออกเดินทางนั้น เรียกได้ว่าแตกต่างกันราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

ใบหน้าของฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่ได้มีความยินดียินร้ายอะไร เขาเพียงเดินนำหน้าไป เดิมคิดว่าวันนี้คงจะมีลูกไม้อะไรมากลั่นแกล้งเขาอีก แต่คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะราบรื่นเป็นอย่างมาก โดยเขาสามารถเดินเข้าไปได้แล้ว แต่ราชองครักษ์กลับไม่สามารถตามเข้าไปได้ ทำให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป

ราชองครักษ์เปรียบเสมือนเกราะป้องกันของเขา หากพวกเขาตามเข้ามาด้วยไม่ได้ นั่นไม่เท่ากับปล่อยให้เผยยวนทำร้ายเขาได้ง่าย ๆ หรอกหรือ?

หากว่าเผยยวนจับไท่ซ่างหวงมัดเอาไว้เพื่อข่มขู่ เขาเข้าไปเช่นนี้ไม่เท่ากับเดินไปติดกับเสียเองหรอกหรือ!

เฉินฉือรินชาให้ตัวเอง “หมู่บ้านของพวกเราพื้นที่ไม่ได้กว้างขวางมากนัก ไม่สามารถรองรับคนมากมายเช่นนี้ได้”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินกำลังจะบอกว่าให้เผยยวนไสหัวออกมา สายตาก็พลันเห็นเสด็จพ่อของตัวเองที่มีท่าทางแข็งแรงและสง่างามกำลังแบกจอบ พร้อมทั้งมีฝูงเป็ดส่งเสียงเจื้อยแจ้วเดินตามหลังอยู่บนคันนา

รองเท้าฟางที่ดูเหมือนใส่มาสองวันแล้ว ถึงจะเปื้อนโคลนเขาก็ไม่นึกรังเกียจ ก่อนถอดมันออกและวางเอาไว้ จากนั้นก็เดินลงไปในท้องนา

“ไท่…ไท่ซ่างหวง!” มีคนส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ

ฮ่องเต้เซี่ยเจินย่อมรู้ดีว่านั่นคือไท่ซ่างหวง เฉินฉือจึงเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้เซี่ยเจินแล้วเอ่ยขึ้นมา “จะทำอะไร คนในหมู่บ้านของเราล้วนเป็นคนโอบอ้อมอารี ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่ท่านคิด ไม่อยากเข้าก็ไม่ต้องเข้า แต่หากคิดจะพาคนเข้าไปด้วยนั้น ไม่มีทางเด็ดขาด”

ขุนนางบุ๋นและบู๊ต่างจ้องมองอยู่ ไท่ซ่างหวงเดินอยู่บนคันนาใกล้แค่นี้เอง หากฮ่องเต้กลัวอันตรายไม่ยอมไปเข้าเฝ้า เอ่อ…เหมือนจะดูไม่งามเท่าใดนัก

ที่ทนลำบากมามากมายเพียงนี้ ก็เพื่อเวลานี้ไม่ใช่หรือ?

ยังจะพาราชองครักษ์เข้าไปด้วยอีก หน้าประตูก็ไม่ได้มีกำแพงสูงล้อมรอบเสียหน่อย หากมีอันตรายทุกคนล้วนสามารถมองเห็นได้

หลังจากที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินทำจิตใจให้สงบลงแล้วก็คิดถึงจุดนี้ขึ้นมาได้ “ข้าเพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของไท่ซ่างหวง พวกเจ้ารออยู่ที่นี่เถอะ” อย่างไรเสียในบรรดาแม่ทัพก็มีหลายคนที่ยังพอมีความสามารถอยู่

ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็สาวเท้าเดินเข้าไปหาไท่ซ่างหวงโดยไม่ได้มองที่พื้นแม้แต่น้อย สุดท้ายก็เหยียบลงไปบนสิ่งที่อ่อนนุ่มจนเกือบจะลื่นล้มลง

“ฝ่าบาท!” เจียงเต๋อเข้าไปพยุงเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อก้มลงมองฝ่าพระบาทของฝ่าบาทก็พบว่าพระองค์ได้เหยียบลงไปบนอึสุนัขเสียแล้ว…นี่เป็นโชคร้ายที่ต่อให้ดูฤกษ์ยามมาก่อนก็ไม่ช่วยอะไรจริง ๆ

ฮ่องเต้เซี่ยเจินเองก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที!

แต่หากตะโกนร้องว่าจะเปลี่ยนรองเท้าตอนนี้ก็คงจะวุ่นวายเกินไป เขาจึงทำได้เพียงฝืนความขยะแขยงเดินหน้าต่อไป องค์ชายทั้งหลายที่อยู่ด้านหลังต่างก็มองหน้ากัน ก่อนจะเบนสายตาหนี

ส่วนเซี่ยหยางที่สองวันมานี้ไม่ชอบเสนอหน้าเหมือนอย่างเมื่อก่อน ก็ทำให้หลายคนล้วนมองไปที่เขาจนเป็นตาเดียว

ทว่าเซี่ยหยางกลับเดินหน้าต่อไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เสด็จแม่ของเขาถูกลดขั้นเป็นเหม่ยเหริน อัครมหาเสนาบดีหานถูกลงโทษให้คุกเข่าอยู่ด้านนอกโทษฐานลอบปลงพระชนม์ไท่ซ่างหวง ทว่าเขายังสามารถสงบนิ่งได้อีก

แต่ดูจากความลำเอียงที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินมีต่อตระกูลหาน เกรงว่าเรื่องนี้อาจจะถูกพวกเขาปล่อยผ่านไปจริง ๆ ก็ได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้องค์ชายสามและองค์ชายห้าต่างก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ไท่ซ่างหวงเห็นหน้าให้ได้ เพื่อเพิ่มแรงสนับสนุนให้ตนเองได้เข้าไปอยู่ในตำหนักบูรพาให้จงได้

ทันทีที่มาถึงบริเวณคันนา เมื่อมองดูดินโคลนตรงหน้า เส้นเลือดที่ขมับของฮ่องเต้เซี่ยเจินก็เต้นตุบ ๆ ขึ้นมาทันที แต่เมื่อเห็นไท่ซ่างหวงเหยียบลงไปแล้ว ก็ทำได้เพียงเดินตามลงไปด้วยสีหน้าบึ้งตึงเท่านั้น

ทว่าเมื่อองค์ชายสามเซี่ยเซวียนเงยหน้าขึ้น กลับได้พบกับคนที่คาดไม่ถึง

หลี่ฮองเฮากำลังตัดใบหม่อนอยู่กับสตรีบ้านนอกกลุ่มหนึ่ง และนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น หากไม่ใช่เพราะใบหน้านั้นก็คงจะจำไม่ได้จริง ๆ

ประกายดูถูกเหยียดหยามพาดผ่านดวงตาของเซี่ยเซวียนทันที ดูท่าหลังจากที่เซี่ยอวี้ตาย หลี่ฮองเฮาคงจะไร้ซึ่งอำนาจแล้วจริง ๆ

แน่นอนว่าคนที่ตามมาทางด้านหลังก็เห็นหลี่ฮองเฮาแล้วเช่นกัน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ค่อย ๆ ดังขึ้น

“ฮองเฮาถูกไท่ซ่างหวงเรียกเข้าเฝ้าก็คิดว่าจะมีเรื่องอะไรเสียอีก ที่แท้พระนางก็ถูกลงโทษให้ทำงานเป็นเกษตรกรอยู่ที่นี่นี่เอง”

“ฮองเฮาไม่ได้รับความโปรดปราน แม้แต่ไท่ซ่างหวงก็ยังไม่ทรงโปรด ควรจะสละตำแหน่งไปตั้งนานแล้ว”

“ก่อนหน้านี้หากไม่มีตระกูลหลี่ พระนางจะได้แต่งกับฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ?”

นับตั้งแต่หลี่ฮองเฮาสูญเสียอำนาจ ได้ยินคำเยาะเย้ยถากถางมามากมาย ดังนั้นเมื่อคนเหล่านี้เจอหน้าแล้วพูดเหน็บแนมสองสามประโยคเช่นนี้จึงถือเป็นเรื่องที่ปกติมาก

ทุกคนยิ่งพูดก็ยิ่งสนุกปาก ไม่ได้สังเกตเลยว่ารอบกายในเวลานี้ได้มีคนเพิ่มขึ้นมาอีกไม่น้อย

“กรี๊ด!” มีเสียงกรีดร้องของสตรีดังขึ้น และคนที่พูดอย่างสนุกปากที่สุดเมื่อครู่ ก็ถูกหญิงชาวบ้านร่างกายใหญ่โตคนหนึ่งผลักลงไปในบ่อโคลนข้างหน้าเสียแล้ว

เสื้อผ้าหรูหราที่เดิมแต่งมาอย่างพิถีพิถันเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนตมทั้งหนาทั้งหนัก ทั้งยังกลิ้งไปมาอยู่ในโคลนอีกหนึ่งตลบ ช่างน่าอับอายยิ่งนัก

“พวกเจ้าช่างกล้าดียิ่งนัก!”

ท่านป้าหลายคนต่างถือกะละมังซักผ้าอยู่ในมือ พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร “สุนัขดีไม่ขวางทาง แห่กันมาขวางทางคนอยู่ตรงนี้ แถมปากก็ยังพ่นแต่อึออกมา สมควรแล้วที่จะล้มหัวทิ่ม”

คนที่ถูกผลักลงโคลนตมก็คือนางสนมในวัง เมื่อก่อนหากหญิงชาวบ้านกลุ่มนี้เจอแม้แต่ถือรองเท้าให้พวกนางก็ไม่คู่ควร ตอนนี้อาศัยอำนาจของใครไม่บอกก็รู้

แต่กลับมีคนโง่เขลาไม่รู้เรื่องรู้ราว คิดจะสวมบทเป็นผู้สูงศักดิ์ในวัง “เด็ก ๆ ลากชาวบ้านที่ไม่รู้ความเหล่านี้ออกไปซะ!”

ล่วงเกินผู้สูงศักดิ์เดิมก็สมควรถูกลงโทษ ดังนั้นทุกคนล้วนเห็นจนชินชาแล้ว จึงไม่มีใครสนใจเรื่องนี้อีก

“ผู้ใดกล้าทำ?” เสียงของสตรีที่เด็ดขาดเสียงหนึ่งดังขึ้น

ทุกคนต่างมองไปทางเสียงนั้นทันที ก็พลันเห็นหญิงชราใบหน้างดงามผู้หนึ่งอุ้มห่านสีขาวราวกับหิมะตัวใหญ่อยู่ในอ้อมแขน ยืนอยู่บนเนินเขาที่อยู่ไม่ไกลจากไท่ซ่างหวงมากนัก กำลังกวาดตามองพวกเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม

ตอนที่เซี่ยเซวียนถอนสายตากลับมา ถังกั๋วกงที่อยู่ข้างกายของเขากลับตัวสั่นเทาขึ้น “องค์หญิงใหญ่”

ต้าจิ้นตอนนี้ ผู้ที่ถูกเรียกว่าองค์หญิงใหญ่ยังอยู่ที่ถู่เจีย องค์หญิงที่เหลือรวมถึงน้องสาวแท้ ๆ ของเซี่ยเซวียนต่างก็ถูกเรียกแค่ชื่อเท่านั้น เมื่อเซี่ยเซวียนได้ยินดังนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นทันที

แม้แต่องค์ชายและขุนนางคนอื่น ๆ รวมถึงสนมในวังหลังก็มีท่าทางแบบเดียวกัน

องค์หญิงใหญ่มองดูท่าทางตะลึงงันของพวกเขา ก่อนสายตาจะจับจ้องไปที่ฮ่องเต้เซี่ยเจิน นางปรายตามองเขาเล็กน้อยด้วยสีหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม แววตาแฝงไว้ด้วยความหยิ่งทะนงและเย็นชาที่มีมาตั้งแต่เกิด “น้องสิบแปด ไม่ได้พบกันเสียนาน ยังจำพี่ใหญ่ได้อยู่หรือไม่?”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่คาดคิดว่าพี่หญิงใหญ่ที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไปนานแล้วจะมาปรากฏตัวอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉินแห่งนี้ด้วย ตอนเด็กที่นางยังอยู่ ไม่มีพี่น้องหญิงชายคนใดที่ไม่อิจฉานาง แม้จะผ่านไปหลายปี เมื่อฮ่องเต้เซี่ยเจินได้พบหน้านางอีกครั้ง ก็ยังรู้สึกว่านางนั้นสูงส่งจนไม่อาจมองตรง ๆ ได้ แม้แต่หลังที่ตั้งตรงของเขาก็ยังโค้งลงโดยไม่รู้ตัว

.

.

.