บทที่ 235 เจ้าแก่ชั่วเล่นลูกไม้

“เป็นองค์หญิงใหญ่จริงหรือ?”

“ใช่องค์หญิงใหญ่จริงหรือไม่?”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินเองก็ไม่ได้พูดอะไรไปครู่หนึ่ง กลับเป็นองค์หญิงใหญ่ที่อุ้มห่านมายืนอยู่ตรงหน้าและพิจารณาท่าทางของเขาเขม็ง ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมา

สายตาเช่นนี้เขาไม่ได้เห็นมันมาหลายปีแล้ว

นอกจากพี่หญิงใหญ่ที่ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อมากที่สุดแล้ว มีพี่สาวน้องสาวคนใดที่มีเกียรติเช่นนี้บ้าง

ลูกที่ไม่ได้รับความสำคัญทุกคน เมื่อเผชิญหน้ากับลูกที่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษ ปมด้อยที่อยู่ในใจก็ปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ร่างกายจึงตอบสนองได้เร็วกว่าสมอง เขาจึงเรียกออกไปโดยไม่รู้ตัว “พี่หญิงใหญ่”

คำเรียกขานนี้ของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ได้ยืนยันฐานะของหญิงชราตรงหน้าผู้นี้แล้ว

นางก็คือองค์หญิงใหญ่อู๋ซวงที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ออกไป และเป็นไทเฮาองค์ปัจจุบันของถู่เจีย

เบื้องหลังของนางมีนักรบแห่งทุ่งหญ้าคอยหนุน และยังได้รับความโปรดปรานจากไท่ซ่างหวง ได้รับความรักและการสนับสนุนของราษฎรทั้งสองแคว้น เป็นคนที่เด็กอย่างพวกเขาไม่กล้าคิดเพ้อฝัน

การที่องค์หญิงใหญ่สามารถทำได้ถึงขนาดนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่องค์หญิงพระองค์หนึ่งจะสามารถทำได้แล้ว แม้แต่มารดาของแผ่นดินก็ยังต้องคุกเข่าต่อหน้านาง

ความหยิ่งทะนงของนางนั้นมีที่มาที่ไป ไม่ใช่การเบ่งอำนาจโดยไร้ซึ่งความสามารถ และไม่ใช่สิ่งที่แสร้งทำ

นางสนมที่เมื่อครู่ยังร้องเอะอะโวยวายให้ลากพวกท่านป้าออกไป ถึงกับใบ้กินขึ้นมาทันที ก่อนจะมององค์หญิงใหญ่อู๋ซวงด้วยท่าทางประจบสอพลอ

น่าเสียดายที่เซี่ยวั่งซูกลับไม่เห็นพวกที่ไม่ได้เรื่องเหล่านี้อยู่ในสายตา นางมองดูฮ่องเต้เซี่ยเจินที่คารวะให้ จากนั้นก็เดินผ่านไปอย่างช้า ๆ

นางยังคงไม่พูดไม่จาอยู่เช่นนั้น แต่กลับมีความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่ออกมา จนทำให้ผู้คนต้องกลั้นหายใจ ไม่กล้าที่จะมองและไม่กล้าพูดอะไร

ราวกับว่าที่นี่ไม่ใช่ถนนสายเล็ก ๆ ในชนบท แต่คือท้องพระโรง คือจัตุรัสไท่จี๋ ที่ราวกับสามารถชี้นิ้วตรวจกองทัพได้ก็มิปาน

“เสด็จพี่กลับมาตั้งแต่เมื่อใดหรือพ่ะย่ะค่ะ? เหตุใดถึงไม่มีข่าวอะไรเลยเล่า”

เซี่ยวั่งซูมองหน้าฮ่องเต้เซี่ยเจิน ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา “เรื่องที่ข้ากลับต้าจิ้นได้มีการส่งสาส์นตราตั้งมาตั้งแต่เมื่อห้าเดือนก่อนแล้ว โดยมีราชทูตคุ้มกันมาด้วยตนเอง กองทัพที่ติดตามข้ามา คิดว่าคงจะเข้าเมืองหลวงและไปอยู่ที่ซื่อฟางกวน*แล้ว น้องสิบแปดไม่รู้เลยหรือ? หรือเป็นเพราะเจ้าสุนัขหานเหล่ยช่วยฮ่องเต้อย่างเจ้าตรวจสอบแม้กระทั่งสาส์นของราชวงศ์ด้วย?”

* ซื่อฟางกวน (四方馆) เป็นชื่อของสถานที่ราชการ เป็นสถานที่ใช้ต้อนรับทูตจากชนเผ่าที่อยู่ติดกับประเทศทั้งสี่ด้าน

ทั่วทั้งใต้หล้า สตรีที่กล้าพูดเช่นนี้กับฮ่องเต้เซี่ยเจิน เกรงว่าก็คงจะมีเพียงเซี่ยวั่งซูผู้นี้แล้ว

องค์หญิงองค์อื่น ๆ ที่แต่งงานอยู่ในต้าจิ้นคนใดบ้างที่จะไม่ประจบเอาใจเขา

ฮ่องเต้เซี่ยเจินคิ้วกระตุกขึ้นมาทันที “เสด็จพี่พูดอะไรเช่นนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ ข้าไม่ทราบเรื่องที่ทูตของถู่เจียมาเมืองหลวงเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ข้ายังได้สั่งให้ปรับปรุงตำหนักขององค์หญิงที่ก่อนหน้านี้เสด็จพ่อพระราชทานให้เสด็จพี่ใหม่ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยวั่งซูขี้เกียจจะฟังคำแก้ตัวข้าง ๆ คู ๆ ของเขา

“อย่างนั้นหรือ ข้าก็นึกว่าน้องสิบแปดรังเกียจที่พี่หญิงอย่างข้าขวางหูขวางตาเสียอีก จู่ ๆ ก็กลับมาเช่นนี้อาจทำให้เจ้าไม่พอใจ จึงอยากให้ข้าประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง เจ้าว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่?”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินราวกับมีหนามทิ่มแทงอยู่ด้านหลัง “เสด็จพี่ ท่านทุ่มเทกายใจเพื่อต้าจิ้น ข้ามีแต่ความรู้สึกซาบซึ้งจนหาที่สุดมิได้ จะไม่อยากให้ท่านกลับมาได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยวั่งซูเดินมาหยุดตรงหน้าเขา นัยน์ตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย “ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับน้องสิบแปดหลายปีมานี้จะเป็นเช่นไร ทว่าตั้งแต่ที่เจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็ทำให้เสด็จพ่อโมโหจนต้องเสด็จออกจากเมืองหลวงไปประทับพักผ่อนอยู่ที่อื่น ข้าว่าบัดนี้คงมาถึงปลายทางของเจ้าแล้วจริง ๆ!”

เซี่ยวั่งซูแม้ว่าจะเป็นองค์หญิงใหญ่ แต่คำพูดนี้กลับไม่ใช่สิ่งที่นางจะสามารถเอ่ยออกมาได้ ขุนนางเก่าแก่หลายคนพลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที

“องค์หญิงใหญ่ คำพูดนี้เหตุใด…”

“เจ้าเป็นใคร” เซี่ยวั่งซูเงยหน้าขึ้น แววตาเย็นชาคู่นั้นกวาดมองเขาเล็กน้อย

ขุนนางเก่าแก่ผู้นั้นจึงยืดตัวขึ้น “กระหม่อม…”

“ข้าไม่มีอารมณ์จะมารับรู้เรื่องของเจ้า ข้าเป็นพี่ใหญ่สั่งสอนน้องชายถือเป็นเรื่องในครอบครัว ในฐานะองค์หญิงใหญ่ก็มีหน้าที่ชี้แนะและเตือนสติ นี่ถือเป็นเรื่องของบ้านเมืองเช่นกัน ทำไม เปลี่ยนฮ่องเต้ก็ต้องเปลี่ยนขุนนางใหม่ด้วยหรืออย่างไร ทั้งใต้หล้านี้มีลูกชายที่ทำให้พ่อโมโหจนต้องหนีไปได้ ทว่าพี่สาวจะพูดตักเตือนสักประโยคก็ไม่ได้อย่างนั้นหรือ? เจ้านับเป็นขุนนางเช่นไรกัน กฎระเบียบของที่บ้านก็สามารถอดทนต่อลูกอกตัญญูเช่นนี้ได้อย่างนั้นหรือ? ฮ่องเต้เซี่ยเจิน เจ้าช่วยบอกข้าหน่อยสิว่า คนที่ก้มหน้าปลูกข้าวอยู่ในนาเป็นผู้ใดกัน?

ทำไม? พูดไม่ออกหรือ?”

ไท่ซ่างหวงเมื่อได้ยินลูกสาวเบ่งอำนาจก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที ทั้งยังให้ความร่วมมือด้วยการส่งเสียงไอออกมาถึงสองครั้งอีกด้วย

เซี่ยวั่งซูเข้าใจได้ในทันที นางมองดูสีหน้าที่ย่ำแย่ของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ก่อนจะเอ่ยอย่างเรียบเรื่อยออกมา “ข้าอกตัญญูเอง เพื่อความสงบสุขของลูกหลานต้าจิ้นและชายแดนของทั้งสองแคว้น แต่งไปอยู่ที่ถู่เจียหลายสิบปี ไม่เคยได้ปรนนิบัติดูแลเสด็จพ่อ แม้แต่ตอนที่เสด็จแม่สิ้นพระชนม์ก็ทำได้เพียงส่งจดหมายมาแสดงความเสียใจเท่านั้น แต่ข้าจะขอพูดเอาไว้ตรงนี้ หากมีใครอาศัยว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้แล้วมารังแกเสด็จพ่อของข้า การจะให้ทหารม้าที่แข็งแกร่งมากมายของถู่เจียบุกทะลวงด่านอวี่เหมิน เพื่อขอคำอธิบายกับต้าจิ้นก็ไม่ใช่ว่าข้าจะทำไม่ได้”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินได้ยินดังนั้นก็ร้องเสียงหลงออกมาทันที “เสด็จพี่ ไม่มีเรื่องเช่นนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

หากทำให้เซี่ยวั่งซูผู้นี้ยืนยันว่าเขาเป็นคนทำให้ไท่ซ่างหวงโมโหจนหนีมา พรุ่งนี้เขาคงต้องออกราชโองการรับผิดเป็นแน่

“อย่างนั้นหรือ? ขนาดฮองเฮายังรู้ว่าไท่ซ่างหวงคำนึงถึงความลำบากของราษฎรที่ทำนาด้วยความเหนื่อยยาก แล้วฝ่าบาททรงทำอะไรอยู่? สวมเสื้อผ้าหรูหรา ทำตัวน่าเกรงขาม มีขุนนางน้อยใหญ่และพระสนมวังหลังคอยติดตาม เฆี่ยนตีและลงโทษชาวบ้านอยู่เป็นประจำอย่างนั้นหรือ?”

คำพูดนี้ทำให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินมีใบหน้าแดงก่ำ เขาถลึงตาใส่สนมที่เพิ่งจะปีนขึ้นมาจากโคลนตม “ยังไม่ลากนางสารเลวผู้นี้ออกไปอีก!”

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทหม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ!”

น่าเสียดายที่นางถูกคนลากออกไปแล้ว

ฮองเฮาที่นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งยังคงตัดใบหม่อนของนางต่อไป ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนใด ๆ ของนางนั้น ทำให้คนยากจะคาดเดาได้ว่าในตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่

“เสด็จพี่ ข้าดูแลไม่ดี ทำให้เสด็จพี่ตกอยู่ในอันตรายระหว่างทางกลับมาราชสำนัก เป็นความผิดของข้าเอง ขอเพียงเสด็จพี่หายโกรธ จะด่าจะว่าข้าอย่างไรก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“…” เจ้าแก่ชั่วนี่รู้จักเล่นลูกไม้ด้วยอย่างนั้นหรือ เขาเคารพนอบน้อมเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้ไทเฮาของถู่เจียอย่างนางดูเป็นคนไร้เหตุไร้ผลเข้าไปใหญ่

คิดว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?

เซี่ยวั่งซูเองก็รีบก้มตัวลง จับมือของเขาแล้วเอ่ยด้วยความสนิทสนมขึ้นมา “เมื่อครู่ข้าแค่ล้อน้องสิบแปดเล่นก็เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เจ้าตกใจจริง ๆ น้องสิบแปดคงไม่โกรธพี่หญิงหรอกกระมัง”

ใครบ้างที่เปลี่ยนสีหน้าไม่เก่งกัน

แน่นอนว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่มีทางแตกหักกับนาง เพราะไท่ซ่างหวงยังอยู่ใกล้ ๆ นี้อยู่เลย

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าน้องสิบแปดไม่ถือสา แต่เสด็จพ่ออายุมากแล้ว ตอนนี้ก็มีที่นาอยู่ไม่กี่หมู่ ทว่ายังไม่อาจวางมือได้ น้องสิบแปดไม่สู้ยกม้านั่งสักตัวไปนั่งรอข้าง ๆ ก่อนเถอะ รอเสด็จพ่อดำนาและดูแลผักเสร็จแล้วค่อยมาอีกทีเป็นอย่างไร?”

เอ่ยจบ เซี่ยวั่งซูก็ทำเหมือนไม่ได้ขุ่นเคืองใจใด ๆ และเดินกลับขึ้นมารอไท่ซ่างหวงอยู่ข้าง ๆ

ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงได้สติขึ้นมา “ข้าย่อมต้องไปช่วยอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เจียงเต๋อรีบนั่งลงถอดรองเท้าให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินทันที เซี่ยวั่งซูมองดูเขานิ่ง ๆ “น้องสิบแปดเคยทำไร่ทำนาเช่นนี้ที่ใดกัน นั่นล้วนเป็นงานที่คนชั้นต่ำทำกันทั้งนั้น เป็นเรื่องที่คนไม่รู้กฎระเบียบเช่นฮองเฮาจึงจะสามารถทำได้”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินฉีกยิ้มประจบและเอ่ยขึ้นมาทันที “เสด็จพี่ล้อข้าเล่นหรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีอะไรที่ข้าทำไม่ได้ ฮองเฮาสามารถแบ่งปันทุกข์สุขร่วมกับชาวบ้านได้ ข้าย่อมปลื้มปีติอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เขานั่งยอง ๆ ถอดรองเท้าที่เลอะอึสุนัขออกแล้วโยนไปข้าง ๆ ก่อนจะเหยียบลงไปบนโคลน สัมผัสที่เปียกและเหนียวเหนอะหนะนั้น ทำให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินต้องฝืนข่มความรังเกียจเอาไว้และเดินลงไป

ในตอนนั้นเอง ห่านตัวใหญ่ในมือขององค์หญิงใหญ่ก็กระพือปีกขึ้นและพุ่งเข้าไปหาฮ่องเต้เซี่ยเจิน

“คุ้มกันฝ่าบาท! คุ้มกันฝ่าบาท!”

เมื่อห่านตัวใหญ่กระพือปีก และจิกลงไปที่ผ้าโพกหัวบนศีรษะของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ผมปลอมซึ่งแต่เดิมถูกติดด้วยกาวปลา ก็ถูกปีกสีขาวราวกับหิมะขนาดใหญ่นั้นปัดจนผมครึ่งหนึ่งปลิวไปตามแรงลม ทำให้คนนับร้อยด้านหลังต่างก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ

ทรงผมของฝ่าบาท…ช่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริง ๆ

.

.

.