บทที่ 184 เลิกงานแล้ว

บทที่ 184 เลิกงานแล้ว

“หัวหน้าหมู่บ้านเหลียง ท่านอย่าลืมว่าพ่อแม่ของเสี่ยวหวานตายไปได้อย่างไร! ถ้าตอนนั้นท่านใจดีและเป็นธรรมต่อครอบครัวของเขามากขนาดนั้น เด็กพวกนี้จะกลายเป็นเด็กกำพร้าที่โดดเดี่ยวหรือไม่?” ท่านป้าจางกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “ในตอนนั้นที่กู้ฉวนฟู่ถูกกู้ฉวนโซ่วไล่ออกจากบ้าน พวกเขาไม่มีแม้แต่ที่พักด้วยซ้ำ แล้วมีใครช่วยพวกเขาบ้างไหม? ท่านได้พูดอะไรสักคำเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของพวกเขาบ้างหรือไม่?”

“เจ้า……” หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงพูดไม่ออก เพราะมักจะเห็นว่าจางซื่อไม่ค่อยพูด แต่ไม่คิดว่าทันทีที่นางอ้าปาก นางจะทำให้คนอื่นพูดไม่ออก และยังฉุนเฉียวเช่นนี้

“หัวหน้าหมู่บ้านเหลียง ปีนั้นที่กู้ฉวนฟู่เสียชีวิต เด็กเหล่านี้ไม่มีทั้งพ่อและแม่ และพวกเขาไม่มีแม้แต่อาหาร ท่านมีความกรุณาให้อาหารพวกเขากินบ้างหรือไม่?” ท่านป้าจางกล่าวถึงเรื่องในอดีตแล้วก็รู้สึกปวดใจ

ยังจำได้ว่าตอนที่กู้เหล่าเอ้อเพิ่งจะเสียชีวิต ครอบครัวไม่มีกินแม้กระทั่งข้าว เด็กทั้งสี่คนนี้ร้องไห้แทบขาดใจขณะกอดศพของกู้ฉวนฟู่และภรรยา

เด็กทั้งสี่ดูเหมือนร้องไห้จะเป็นจะตายขณะกอดศพของสามีและภรรยาครอบครัวรอง ในเวลานั้นนางจำได้ชัดเจนว่าเด็ก ๆ ร้องไห้ชนิดที่ตับและลำไส้แทบแตก*[1] ทำให้ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นน้ำตาซึม

เพียงแต่ไม่มีใครกังวลว่าเด็กเหล่านี้จะทำอย่างไรต่อไป ที่บ้านไม่มีอาหาร แม้แต่จะทำอาหารเองก็ไม่มีกะจิตกะใจทำ เด็กเหล่านี้ตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้ ร้องไห้เสร็จก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่หลายวันจนร่างกายของพวกเขาอ่อนแอมาก ในเวลานั้นเด็ก ๆ ไม่มีกะจิตกะใจหรืออารมณ์ที่จะกินข้าว

เมื่อถึงเวลากินข้าว แต่ที่บ้านไม่มีอะไรกิน ในเวลานั้นท่านป้าจางจึงคอยดูแลเด็ก ๆ เหล่านี้ที่บ้าน ร้องไห้และเสียใจไปกับพวกเขา นางไม่เคยเห็นใครมาส่งอะไรให้กินหรือมาถามสักสองสามคำถามว่าเด็ก ๆ เหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง

โดยเฉพาะหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นว่าเด็กเหล่านี้ไม่มีที่พึ่ง เขาก็เมินเฉย ปล่อยให้เด็กเหล่านี้ดูแลตัวเองโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง

“เจ้า……” หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงพูดไม่ออกและไม่รู้จะพูดอะไร

“ท่านป้าจาง พวกเราไปกันเถอะ อย่าเสียเวลาเลย” กู้เสี่ยวหวานไม่สนใจหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงเลย ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดได้ผ่านไปแล้ว ตอนนี้นางโตขึ้นแล้ว นางไม่ต้องการความช่วยเหลือหรือรับการให้ทานจากผู้อื่น

นางรู้ว่าใครดีต่อตน และรู้ว่าใครไม่ดีต่อตน

ท่านป้าจางพยักหน้าโดยไม่สนใจหัวหน้าหมู่บ้านเหลียง “ไปกันเถอะ ฉือโถว!”

ฉือโถวส่งเสียง เกวียนวัวก็ออกไปแล้ว และหางวัวก็สะบัด เกือบจะตีเข้ากับหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงถึงกับมีโทสะแน่นอก แต่ทำได้เพียงมองดูกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ จากไป

ช่วงนี้อากาศดีมาก แดดแรงทุกวัน หน่อไม้จึงแห้งง่าย เพราะคราวที่แล้วเคยไปคุยไว้แล้ว ครั้งต่อมาจึงมีแค่ฉือโถวที่ไปส่งเพียงคนเดียว ส่วนคนที่เหลือก็อยู่เพื่อขุดหน่อไม้

เมื่อฉือโถวไปที่นั่นเป็นครั้งที่สอง ตาเฒ่าหมินโถวก็ดีใจมากเมื่อเห็นว่าของมาถึงแล้ว เขาขึ้นราคาหน่อไม้ให้เป็นหนึ่งร้อยสี่สิบอีแปะต่อหนึ่งชั่ง และขอให้พวกเขามาส่งให้โดยเร็ว มีเท่าไรก็เอามาส่งเท่านั้น

เมื่อได้ยินคำอธิบายของฉือโถวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานคาดเดาก็ถูกต้อง ในเมืองสามารถขายหน่อไม้แห้งได้ดีมากจริง ๆ เรื่องนี้ช่างเหนือความคาดหมายของกู้เสี่ยวหวานนัก

ตาเฒ่าหมินโถวคนนี้ก็ได้รับประโยชน์เกินความคาดหมายของเขาเช่นกัน เขาไม่ได้คาดหวังว่าหน่อไม้แห้งจะขายดีขนาดนี้ เขาเพียงนั่งเฉย ๆ ในร้าน เมื่อลูกค้ารายใหญ่ต้องการซื้อของแห้ง พวกเขาเพียงส่งคนไปทุกที่เพื่อซื้อของหายาก เมื่อมาดูที่ร้านของเขา คนพวกนั้นก็ไม่เคยเห็นหน่อไม้แห้งนี้มาก่อน และเมื่อรู้ว่าหน่อไม้แห้งนี้เป็นอาหารที่หาได้ยาก คิดว่าหน่อไม้แห้งนี้ต้องเป็นของดี จึงซื้อไปโดยไม่ได้คิดอะไร

ไม่ได้คาดคิดว่าหลังจากที่ซื้อไป ไม่นานชายคนนั้นก็วิ่งกลับไปซื้อหน่อไม้แห้งทั้งหมดในร้าน และบอกว่าในอนาคตมีเท่าไรก็ต้องการเท่านั้น และไม่ต้องขายให้ใคร ให้ขายแค่เขา ดังนั้น เขาจึงฝากเงินไว้หลายสิบตำลึงเงินล่วงหน้าด้วย

แน่นอนว่าตาเฒ่าหมินโถวรู้เรื่องนี้ทั้งหมด และเขาจะไม่บอกฉือโถวว่ามีลูกค้ารายใหญ่เช่นนี้

เมื่อเห็นราคาหน่อไม้แห้งสูงขึ้น ความกระตือรือร้นของทุกคนยิ่งเพิ่มสูงขึ้นในทันที หลังจากยุ่งกับงานมากว่าครึ่งเดือน หน่อไม้ก็เริ่มแก่และเคี้ยวไม่ได้แล้ว จึงไม่ได้ส่งหน่อไม้ไปขายอีก และในตอนนี้กู้เสี่ยวหวานก็เก็บเงินได้มากกว่าหนึ่งร้อยตำลึงเงิน

เมื่อได้สัมผัสเงินในอ้อมแขนของตน แม้จะรู้สึกตื่นเต้น แต่นางก็สบายใจ

จะพูดให้คนสมัยใหม่เข้าใจได้อย่างไรว่าอะไรคือความรู้สึกปลอดภัย!

ความรู้สึกปลอดภัยคืออะไร ก็คือเวลาที่ออกไปข้างนอก แล้วในโทรศัพท์มือถือมีแบตเตอรี่เต็ม มีเงินในบัตร และน้ำมันในรถ!

กู้เสี่ยวหวานมีความรู้สึกปลอดภัยที่หาได้ยากอีกครั้ง! ดูเหมือนว่าเงินจะขาดไม่ได้ในทุกยุคทุกสมัย มีเพียงเงินเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยและไม่ทำให้เกิดความอับอายในการทำสิ่งใด!

เมื่อได้นอนกับเงินในอ้อมแขน นางก็นอนหลับสบายขึ้นมาก และฝันดีอยู่เสมอ

ดูน้องชายน้องสาวสองคนนี้สิ ยุ่งมาครึ่งเดือนแล้ว ผอมลงไปตั้งมาก แต่แข็งแกร่งขึ้นแทน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกู้เสี่ยวอี้ในช่วงเวลานี้ แม้นางจะเหนื่อยเล็กน้อย แต่ก็มีความสุขมาก เมื่อคิดที่จะหาเงินให้กับครอบครัว ความกระตือรือร้นของนางก็สูงขึ้นมาก พวกกู้เสี่ยวหวานก็ดูแลนางเช่นกัน หากกู้เสี่ยวอี้เหนื่อย พวกเขาก็ให้นางไปพักผ่อน กู้เสี่ยวอี้ก็เชื่อฟังเช่นกัน นางรู้ว่าช่วงเวลาที่ตนป่วยนั้นทุกคนเป็นกังวลมากเพียงใด จึงพยายามไม่ทำให้พี่สาวและพี่ชายเป็นกังวล เมื่อเหนื่อยก็จะพัก

เนื้อบนแขนของกู้หนิงผิงนั้นแข็งขึ้น และสีผิวก็คล้ำลงมาก อย่างไรก็ตามทุกคนก็พอใจมาก เมื่อเห็นว่าเงินที่บ้านเพิ่มขึ้นทุกวัน พวกเขาก็มีความสุขมาก

“ท่านพี่ ท่านยอดเยี่ยมมาก!” เมื่อเห็นว่าครอบครัวกลับมามีเงินอีกแล้ว กู้หนิงผิงจึงตื่นเต้น ด้วยเงินนี้ พี่สาวจะไม่กังวลเกี่ยวกับค่าเล่าเรียนของพี่ชายของเขา และก็สามารถดูแลร่างกายของน้องสาวได้

“นี่เป็นผลมาจากความพยายามร่วมกันของทุกคน หากปราศจากแรงของเจ้ากับเสี่ยวอี้ ข้าก็คงทำไม่ได้!” กู้เสี่ยวหวานได้ยินคำชมของกู้หนิงผิง นางจึงแบ่งความดีความชอบให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวเท่า ๆ กัน

เมื่อกู้เสี่ยวอี้ได้ยินว่าพี่สาวก็ชื่นชมตนเองเช่นกัน ดวงตาที่ยิ้มแย้มของนางก็ดูราวกับพระจันทร์เสี้ยว พูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “โอ้ เสี่ยวอี้ก็สามารถทำเงินได้ เสี่ยวอี้ก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน!”

กู้เสี่ยวหวานกอดกู้เสี่ยวอี้และพูดอย่างมีความสุขว่า “ถูกต้อง เสี่ยวอี้ของข้าเก่งที่สุด! เสี่ยวอี้ของข้ามีหูและสายตาที่ดี เป็นเพราะเจ้า พวกเราจึงสามารถขุดหน่อไม้ได้เร็วขึ้น!”

“ใช่ ๆๆ วิธีหาหน่อไม้ของน้องสาวยอดเยี่ยมมาก!” กู้หนิงผิงก็ยังชมเชย

*[1] ตับและลำไส้แทบแตก เป็นคำอุปมาสำหรับความโศกเศร้าสุดขีดและความหิวโหยสุดขีด

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

การไม่มีเงินไม่ว่าจะยุคไหนมันก็เป็นเรื่องลำบากนะคะ ความจนนี่แหละน่ากลัวที่สุดแล้ว

เด็ก ๆ เก่งที่สุดเลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)