ตอนที่ 324 ใครอนาถกว่ากัน

ฉินหลิวซีพาซือเหลิ่งเย่ว์และคนอื่นๆ เข้าไปในตำหนักใหญ่ จุดธูปบูชาเคารพเจ้าลัทธิเต๋าก่อน ซือเหลิ่งเย่ว์ใจกว้างถวายค่าน้ำมันตะเกียงหนึ่งพันตำลึง ส่วนแม่นางเกาและบุตรสาวไม่ได้มีเงินทองมากมาย จึงถวายเพียงเงินย่อยเล็กๆ น้อยๆ แต่จริงใจเป็นอย่างมาก

แม่นางเการู้สึกอายเล็กน้อย เอ่ย “ไว้ข้าจะมาจุดธูปบูชาถวายค่าน้ำมันตะเกียงอีกเจ้าค่ะ”

ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “เจ้าลัทธิเต๋าจะต้องรับรู้ได้ถึงความจริงใจของเจ้า ไม่ต้องฝืนเรื่องเงินค่าน้ำมันตะเกียง เพียงแค่มาจุดธูปเคารพบูชาก็ได้”

แม่นางเกาพยักหน้า เอ่ย “ข้าอยากจะอัญเชิญรูปปั้นเทพเจ้ากลับไปสักการะด้วย”

“ย่อมได้” ฉินหลิวซีเรียกอู๋เหวยมา เอ่ยว่า “บอกขั้นตอนการอัญเชิญรูปปั้นเทพเจ้าแก่นางสักหน่อย”

อู๋เหวยยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านผู้ศรัทธา ตามข้ามาเถิด”

แม่นางเกาไม่ได้ขยับไปไหน มองไปยังฉินหลิวซีอย่างลังเลและคาดหวัง ถามว่า “ไม่ทราบว่ามีรูปหล่อขนาดเล็กของท่านอาจารย์หรือไม่ ข้าอยากจะอัญเชิญด้วยเจ้าค่ะ”

ฉินหลิวซีตกตะลึง

อู๋เหวยก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน

แม่นางเกาอธิบายว่า “ท่านอาจารย์เป็นคนมอบชีวิตพวกเราสองแม่ลูก ข้ามิอาจตอบแทนได้ ทำได้เพียงอธิษฐานให้ท่านอาจารย์อายุยืน หากมีรูปหล่อเล็กๆ ก็คงดีเจ้าค่ะ”

อู๋เหวยมองไปยังฉินหลิวซี รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย

การบูชารูปหล่อเล็กๆ นั้นเทียบไม่ได้กับรูปหล่อเทพเจ้า แต่ผู้ที่ได้รับเครื่องบรรณาการย่อมเป็นฉินหลิวซี สิ่งที่ได้รับคือพลังแห่งความศรัทธาของผู้ศรัทธา ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกบำเพ็ญ

ฉินหลิวซียิ้มพลางส่ายหน้าแล้วจึงเอ่ย “ข้าไม่มีรูปหล่อเล็กๆ เพียงแค่เจ้ามีใจอธิษฐานให้อายุยืนก็พอแล้ว ขอบคุณมาก”

แม่นางเกาผิดหวังเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คนที่ควรจะเอ่ยขอบคุณคือข้าจึงจะถูกเจ้าค่ะ”

ฉินหลิวซีให้อู๋เหวยพาแม่นางเกาไปดูรูปหล่อเล็กของเทพเจ้า ส่วนนางกับซือเหลิ่งเย่ว์ไปนั่งดื่มชาที่เรือนด้านหลัง

ซือเหลิ่งเย่ว์มองไปยังเจ้าตัวน้อยทั้งสองอย่างเถิงเจาและวั่งชวน “สองคนนี้คือใครหรือเจ้าคะ”

“อ้อ นี่คือศิษย์ที่ข้าพึ่งรับมาเมื่อวานนี้ เป็นศิษย์สายตรงรุ่นที่ห้าของอารามชิงผิงของพวกเรา นี่คือเสวียนอี นี่คือเสวียนซิน” ฉินหลิวซีแนะนำศิษย์ทั้งสองแก่นาง จากนั้นก็เอ่ยกับศิษย์ทั้งสองว่า “นี่คือแม่นางซือจากชิงโจว นับว่าเป็นคนคุ้นเคยของอาจารย์ คารวะสักหน่อยเถิด”

เถิงเจาและวั่งชวนก้าวไปข้างหน้าแล้วคารวะนาง

ซือเหลิ่งเย่ว์คารวะกลับ ลูบไปที่บนตัว สีหน้าอึดอัดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าท่านรับลูกศิษย์แล้ว จึงไม่ได้นำของขวัญแรกพบมาด้วย รอกลับเมืองไปข้าจะชดใช้ให้”

“ไม่เป็นไร ผู้บำเพ็ญเต๋าไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้” ฉินหลิวซีเอ่ยกับศิษย์ทั้งสอง “พวกเจ้าไปหาท่านอาจารย์ปู่ ฟังเขาบรรยายเต๋าและเข้าสู่บทเรียนเถิด”

ทั้งสองคนคำนับอย่างเชื่อฟังแล้วถอยออกไป

ซือเหลิ่งเย่ว์ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “อายุอย่างท่านก็รับลูกศิษย์แล้ว ไม่เร็วไปหน่อยหรือ”

“ข้ายังคิดว่าช้าไปด้วยซ้ำ เมื่อมีผู้ที่มีวาสนาต่อกันจึงรับไว้ก่อน เมื่อพวกเขาบรรลุแล้วข้าก็จะสบายขึ้น” ฉินหลิวซีเอ่ยพลางยิ้มตาหยี

ซือเหลิ่งเย่ว์เพียงคิดว่านักพรตเต๋ากับศิษย์สายตรงที่จะประจำอยู่ในอารามชิงผิงนั้นมีน้อยมาก มีเพียงศิษย์ที่ต้องการพัฒนาอารามเต๋าจึงจะใส่ใจเช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าฉินหลิวซีเพียงอยากให้ศิษย์บรรลุแล้วนางก็จะสามารถมีชีวิตที่เกษียณอย่างสบาย

“เหตุใดเจ้าถึงได้มาเมืองหลี”

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยว่า “ตระกูลซือมีกิจการงานปัก ข้าวางแผนจะเปิดสาขาในเมืองหลี ให้แม่นางเกาช่วยดูแล ถือว่าทำตามที่รับปากไว้ก่อนหน้านี้ พวกนางแม่ลูกออกจากบ้านเกิดมา ก็พอสามารถหลีกเลี่ยงคนเลวเหล่านั้นได้บ้าง”

“ทำไมหรือ ครอบครัวสามีของนางยังตามรังควานอยู่หรือ”

“ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่คนในตระกูลเกาใช้ชีวิตอย่างลำบากตั้งแต่ที่พวกนางสองแม่ลูกจากไป โชคร้ายเป็นอย่างมาก คนที่ใจดำมักจะเห็นผู้อื่นได้ดีไม่ได้ หากแม่นางเกามีชีวิตที่ดี อยู่ในเมืองเดียวกันย่อมได้พบกัน ใครจะไปรู้ว่าคนตระกูลเกาเหล่านั้นจะมีความคิดชั่วร้ายอะไรอีก เกรงว่าจะใช้เยี่ยนเอ๋อร์มาข่มขู่”

ฉินหลิวซียิ้ม “หากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าก็สามารถปกป้องพวกนางได้”

“เป็นเช่นนั้น เพียงแต่คิดว่ามีเรื่องเพิ่มมาหนึ่งเรื่องไม่สู้ทำเรื่องให้น้อยลงจะดีกว่า เมื่อหลีก็ดี มีท่าน พวกนางก็จะยิ่งสบายใจ” ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้มเล็กน้อย

ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “หากเจ้ามาเร็วกว่านี้ ข้าก็ไม่ต้องปวดหัวแล้ว จะให้เจ้าช่วยวางแผนกิจการนี้สักหน่อย”

“หืม?”

ฉินหลิวซีก็ไม่ได้ปิดบัง เล่าเรื่องที่ตัวเองกำลังจะเปิดร้านให้ฟังอย่างคร่าวๆ ท้ายที่สุดก็เอ่ยว่า “จริงสิ เจ้ายังไม่รู้ตัวตนทางโลกของข้ากระมัง”

“ลัทธิเต๋ามีสามเรื่องที่ไม่ควรถาม ข้ารู้กาละเทศะดี”

ฉินหลิวซีโบกมือ “ตระกูลข้าแซ่ฉิน ส่วนท่านปู่ของข้าคืออดีตเสนาบดีสำนักกวงลู่ฉินหยวนซาน ตอนนี้กระทำความผิดถูกเนรเทศแล้ว บรรดาสตรีและเด็กทั้งหมดถูกส่งกลับมาที่บ้านเดิมในเมืองหลี”

ซือเหลิ่งเย่ว์ประหลาดใจเล็กน้อย “ฉินหยวนซานคือท่านปู่ของท่าน? ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องผิดพลาดใหญ่โตเกิดขึ้นในพิธีบวงสรวงของปีนี้ใช่หรือไม่”

ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “เจ้าเคยได้ยินข่าวหรือ”

“ในเมืองหลวงก็มีกิจการของตระกูลซือเช่นกัน ตระกูลซือมีช่องทางส่งข่าวย่อมให้คนส่งหนังสือรายงานข่าวกลับมา ข้าเคยเห็นหนังสือรายงานข่าวสารฉบับนั้น” ซือเหลิ่งเย่ว์ก็ไม่ได้ปิดบังช่องทางข่าวสารของตัวเอง

“ดูเหมือนว่าตระกูลของเจ้าจะไม่ใช่แค่การทำกิจการง่ายๆ เท่านั้น”

ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเรียนอะไรตอนเริ่มต้น ลูกคิด คำนวณเลข พึ่งจะสองขวบก็ถูกท่านแม่อุ้มไว้ในอ้อมแขนดูสมุดบัญชี ฟังผู้ดูแลรายงาน ข้าทำบัญชีคนเดียวตั้งแต่อายุห้าขวบ เมื่อหกขวบท่านแม่ข้าก็ส่งมอบช่องทางข่าวสารทั้งหมดในเรือนให้ข้า รวมถึงทั้งตระกูลซือ เพราะว่านางจากไปแล้ว”

ดังนั้นนางจึงถูกบังคับให้เติบโต โชคดีที่ไม่ออกนอกลู่นอกทาง

ฉินหลิวซียื่นมือไปตบหลังมือนางเบาๆ เอ่ยว่า “ข้าก็จากบ้านมาตอนอายุห้าขวบ ติดตามนักพรตเฒ่าเรียนรู้ฝึกฝนบำเพ็ญเต๋าวันแล้ววันเล่า เจ้ายังดีกว่าข้าที่ยังมีท่านพ่อที่รักเจ้าสุดหัวใจ”

“แต่ท่านก็ยังมีท่านอาจารย์ที่เป็นทั้งท่านอาจารย์และพ่อ ท่านเติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ ทั้งอิสระและสบายใจ” ซ้ำยังอบอุ่นราวกับดวงอาทิตย์

ฉินหลิวซีจ้องมอง “ทำไมหรือ จะเปรียบเทียบความอนาถกับข้าหรือ ข้ายังต้องขึ้นไปนั่งสมาธิบนภูเขาในสภาพอากาศที่หนาวเย็น เพื่อฝึกฝนร่างกาย ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ก็ย่อมโหดร้ายเช่นนี้!”

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนจามสองที เอ่ยกับศิษย์หลานทั้งสองว่า “การฝึกบำเพ็ญเต๋าไม่ใช่เรื่องง่าย จะขี้เกียจไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งไม่ควรทำตัวเหมือนท่านอาจารย์ของเจ้า ตะวันโด่งจนแดดเลียก้นแล้วก็ยังไม่ตื่น การออกกำลังกายตอนเช้าฝึกฝนกล้ามเนื้อและกระดูกนั้นเป็นสิ่งสำคัญ มิเช่นนั้นไหนเลยจะมีแรงไปจับผีขับไล่วิญญาณชั่วร้าย”

ทางด้านนั้น ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “อย่างไรเสียก็ดีกว่าข้า กองบัญชีนับไม่ถ้วน ดูจนแทบจะอ้วก”

“ข้าก็วาดยันต์จนแทบจะอ้วกเช่นกัน”

ทั้งสองคนผลัดกันเล่าเรื่องความอนาถในวัยเด็ก ท้ายที่สุดก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะ

ทุกคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ทุกคนล้วนมีความน่าสังเวชของตัวเอง และทุกคนก็มีความสุขของตัวเอง นี่ก็คือทางของแต่ละคน

ซือเหลิ่งเย่ว์กลับมาที่หัวข้อหลัก เอ่ย “หมายความว่าตอนนี้ท่านเป็นเสาหลักของครอบครัวแล้ว”

“ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ”

“เช่นนั้นร้านนี้ท่านวางแผนจะทำสิ่งที่ท่านถนัด เป็นทรัพย์สินของบ้านใหญ่ท่านงั้นหรือเจ้าคะ”

ฉินหลิวซีพยักหน้า “นี่คือทั้งหมดที่ข้าคิดได้ ข้าเชี่ยวชาญด้านวิชาแพทย์และศาสตร์ลี้ลับมากที่สุด ข้าถนัดในการจับผีไล่วิญญาณ วาดยันต์ขายยันต์”

ส่วนเรื่องอื่นๆ นางคิดไม่ออกจริงๆ แล้วก็ขี้เกียจคิดด้วย นางไม่ชอบทำเรื่องยุ่งยาก การใช้วิชาแพทย์ช่วยชีวิตคน จับผีหรืออะไรทำนองนั้น เชื่อมือนางได้ ไม่ยุ่งยาก นับว่าเป็นความเมตตาที่ยิ่งใหญ่

ซือเหลิ่งเย่ว์เงียบ อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป

ฉินหลิวซีเห็นดังนั้นจึงเอ่ยว่า “มีอะไรก็เอ่ยออกมาตรงๆ เจ้าชำนาญในการทำกิจการ ข้าก็จะได้เรียนรู้จากเจ้า”

“หลิวซี” ซือเหลิ่งเย่ว์ลองเรียกนาง “ข้าเรียกเจ้าเช่นนี้ได้หรือไม่”

“ได้สิ”

“หลิวซี ทำกิจการให้ทำสิ่งที่เจ้าถนัดนั่นเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่ความสามารถนั้นควรจะเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้า เหตุใดจึงไปปะปนรวมกันกับบ้านใหญ่ตระกูลฉินเสียได้”