บทที่ 207 ทำไมจะไม่ได้

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 207 ทำไมจะไม่ได้

บทที่ 207 ทำไมจะไม่ได้

“หรือนักแสดงจีนเขานิยมมีเชฟส่วนตัวกัน?”

คนที่เพิ่งพูดโบกมือ “ไม่ได้หมายความอย่างนั้น ดูเหมือนว่าอวิ๋นเหมี่ยวจะไม่มีเวลาบอกคุณสินะว่าซูโย่วอี๋เป็นแฟนของลู่เฉิน ประธานของเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ เพราะประธานลู่เห็นว่าแฟนสาวของเขาต้องมาถ่ายทำอย่างหนัก เขาจึงเชิญแม่ครัวมาดูแลเธอโดยเฉพาะน่ะ”

แต่ซวี่เฟิงไม่เชื่อจึงพูดออกไปว่า “คุณกำลังพูดถึงใคร”

เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์?

ประธาน?

ลู่เฉิน?

แฟนเก่าของอวิ๋นเหมี่ยว?

“ลู่เฉินเป็นนักธุรกิจหนุ่มชื่อดัง ทายาทตระกูลลู่ที่ร่ำรวยที่สุด และเป็นประธานของเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์!”

“คุณซวี่ คุณลู่เป็นที่รู้จักของทุกคนในประเทศจีน”

ใบหน้าของซวี่เฟิงขุ่นมัว แปลว่าหมอนั่นปกปิดตัวตนของตัวเองตอนที่เรียนที่ต่างประเทศงั้นเหรอ?

แสร้งทำเป็นจน?

แล้วคนระดับเขาจะลงทุนทำแบบนั้นทำไม?

ตอนนี้เขาย้อนคิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่ผ่านมา ตอนนั้นลู่เฉินเห็นเขาและอวิ๋นเหมี่ยวบนเตียง ลู่เฉินลากเขาลงจากเตียงและเตะต่อยเขาจนเกือบตาย และตบท้ายด้วยการเตะเข้าที่เป้ากางเกงของเขาจนเกือบจะใช้งานไม่ได้

โชคดีที่หลังจากรักษาไม่กี่เดือน เขาก็ไม่มีปัญหาทางเพศอีกเลย

แต่ซวี่เฟิงยังคงแค้น เขาอยากจะฆ่าลู่เฉินเพื่อแก้แค้นในครั้งนั้น

แต่พ่อแม่ของเขากลับเตือนว่าอย่าสร้างปัญหาอีก ไม่งั้นจะตัดเงินในกระเป๋าและตัดเขาออกจากกองมรดก

นี่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับทายาทรุ่นที่สองที่ต้องพึ่งพาพ่อแม่

และในที่สุดมันก็จบลง

ดูเหมือนทุกอย่างจะสมเหตุสมผล ครอบครัวของซวี่เฟิงถูกมองว่าเป็นตระกูลชั้นสามในประเทศนี้เท่านั้น และแน่นอนว่ามันด้อยกว่าตระกูลลู่มาก!

ซวี่เฟิงยังคงเงียบและไม่พูดอะไรสักคำ

หลังจากที่ทุกคนทานอาหารเสร็จ เขาและอวิ๋นเหมี่ยวก็กลับไปที่ห้อง

ทันทีที่เขาเข้าไปในห้อง ซวี่เฟิงก็กดอวิ๋นเหมี่ยวเข้ากับผนังอย่างแรง เขาบีบคอของเธอด้วยสายตาที่น่าขนลุก “อวิ๋นเหมี่ยว คุณต้องการทำอะไรกันแน่? อยากให้ทุกคนเห็นผมเป็นตัวตลกหรือไง!”

ด้วยสถานะของลู่เฉินในวันนี้ เขาไม่สามารถเทียบอีกฝ่ายได้เลย ซึ่งอวิ๋นเหมี่ยวต้องรู้ดี แต่เธอไม่ได้พูดถึงมันต่อหน้าเขา!

ซวี่เฟิงกำลังบ้าคลั่ง เขารุนแรงกับเธอมากขึ้น ภายในไม่กี่วินาที ใบหน้าของอวิ๋นเหมี่ยวก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ในขณะที่เธอยังคงตบเข้าที่มือของอีกฝ่าย

จนกระทั่งเธอเริ่มตาลอย ซวี่เฟิงถึงยอมปล่อยมือ

ทันใดนั้นอวิ๋นเหมี่ยวก็ทรุดตัวลงกับพื้น

“แค่ก ๆ ๆ …”

หลังจากฟื้นตัว อวิ๋นเหมี่ยวก็พยายามจนถึงที่สุดเพื่อยับยั้งความโกรธในใจของเธอและพูดเสียงอ่อน “คุณบอกว่าคุณต้องการซูโย่วอี๋ ฉันก็ทำตามคำสั่งของคุณ ฉันผิดตรงไหน”

“หรือคุณกลัวลู่เฉิน?”

“ทำไมล่ะ คุณกล้าที่จะแย่งผู้หญิงของเขาเมื่อสองสามปีก่อน แต่ตอนนี้คุณไม่กล้าแล้วเหรอ”

“หึ! ฉันคิดมาโดยตลอดว่าคุณไม่เคยกลัวอะไร ก็เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกคุณ แต่ตอนนี้คุณทำเหมือนกับว่าฉันเป็นคนผิดเนี่ยนะ”

ซวี่เฟิงโกรธราวกับว่ามีใครมาเหยียบเท้าของเขา “อวิ๋นเหมี่ยว คุณมันเป็นผู้หญิงที่ผ่านมือชายมานับไม่ถ้วน คุณมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับผมแบบนี้”

ช่วงสองสามปีที่ผ่านมา อวิ๋นเหมี่ยวมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้นในวงการนี้ แต่นั่นไม่ใช่เพราะสามารถของเธอ แต่มันเป็นเพราะทักษะบนเตียงของเธอต่างหาก!

“ตอนนี้คุณก็เหมือนขยะชิ้นหนึ่ง คุณคงไม่ได้เพ้อฝันอยากกลับไปหาลู่เฉินหรอกนะ”

อวิ๋นเหมี่ยวก้มศีรษะลง ใบหน้าของเธอไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา

จากนั้นซวี่เฟิงดึงเนคไทออก ถอดเสื้อผ้าแล้วเข้าไปในห้องน้ำ

มือเรียวขาวของอวิ๋นเหมี่ยวที่แต่งแต้มเล็บด้วยสีชมพู ประดับด้วยเพชรและลายแมวดูน่ารักมาก

เธอลูบความนูนบนเล็บของเธอเบา ๆ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เธอคนนั้นก็เคยหย่าร้างมาก่อนไม่ใช่หรือไง”

ในที่สุดลู่เฉินก็ประชุมคณะกรรมการที่ยาวนานเสร็จ หัวหน้าเลขามองไปที่ผู้ช่วยเลขาอีกสองคน “สะสางงานให้เรียบร้อย รวบรวมข้อมูลและเข้าไปรายงานกับฉัน”

เลขาสาวมองอย่างไม่แน่ใจ “ฉันต้องไปด้วยเหรอคะ”

งานของเธอส่วนใหญ่เป็นงานพื้นฐานในสำนักงาน รับโทรศัพท์ รับพัสดุ และต้อนรับแขก

“ใช่ เธอต้องตามไปเรียนรู้”

ผู้ข่วยเลขาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่เธอกรีดร้องในใจ เธอไม่อยากเข้าไปเผชิญหน้ากับประธานลู่เลยสักนิด!

จากนั้นก็รีบหันกลับไปหยิบสมุดบันทึกของเธอและเริ่มเขียนรายงานการทำงานล่าสุด เพราะกลัวจะถูกลู่เฉินถามในภายหลัง

หัวหน้าเลขาที่ออกไปแล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง “อย่าลืมดูโทรศัพท์ที่ไว้ติดต่อเรื่องงานของประธานลู่ด้วยล่ะ”

“ค่ะ ฉันดูทุกวันค่ะ”

แต่วันนี้เธอลืมดู

ทันทีที่หัวหน้าเลขาออกไป ผู้ช่วยเลขาก็รีบหยิบโทรศัพท์ที่ไว้ติดต่อเรื่องงานขึ้นมาเพื่อตรวจดูข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน

โชคดีที่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยกเว้นข้อความไม่กี่ข้อความจากเสี่ยวเหมยเกี่ยวกับสภาวะทางอารมณ์ของคุณซู

ผู้ช่วยเลขากำลังครุ่นคิดกับโทรศัพท์มือถือ เธอควรรายงานเรื่องนี้หรือเปล่า…

เธอจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ซูโย่วอี๋มาที่บริษัทเพื่อหาเจ้านาย เธอไม่ได้รายงานต่อประธานลู่ทันทีก็เลยถูกกำชับเป็นพิเศษ

“ไปกันเถอะ”

หัวหน้าเลขาพาพวกเธอเข้าไปในสำนักงาน ลู่เฉินยืนอยู่หน้าเครื่องชงกาแฟพร้อมกับถลกแขนเสื้อขึ้นพร้อมกับเติมเมล็ดกาแฟลงไป

“มีเรื่องอะไร?”

เลขาทั้งสามยืนเรียงกันเป็นแถว หัวหน้าเลขาเริ่มพูดก่อนโดยอธิบายกำหนดการของวันพรุ่งนี้และงานสำคัญในอนาคตอันใกล้อย่างค่อยเป็นค่อยไป

ซึ่งลู่เฉินก็ถามรายละเอียดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น “เอาล่ะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็ออกไปได้”

หัวหน้าเลขากำลังจะพาเธอออกไป แต่แล้วผู้ช่วยเลขาก็ยกมือขึ้นอย่างสั่นเทา “ประ… ประธานลู่ ฉันมีเรื่องจะรายงาน”

ลู่เฉินจิบกาแฟและดูเหมือนจะไม่พอใจ หลังจากวางกาแฟลงบนโต๊ะ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวอย่างเกียจคร้าน “ว่ามา”

เขามองผู้ช่วยเลขาอย่างสงสัย เท่าที่เขารู้ เลขาคนนี้ไม่ได้มีงานอะไรสำคัญอยู่ในมือ

“สะ… เสี่ยวเหมยส่งข้อความมาสองสามข้อความ เธอส่งมาที่โทรศัพท์มือถือที่ไว้ติดต่องานของคุณ มันเป็นเรื่องของคุณซู คุณอยากดูไหมคะ”

“เอาโทรศัพท์มาให้ผม” ลู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ

เลขารีบยื่นให้ทันทีด้วยความเคารพ

เขาเลื่อนนิ้วดูข้อความที่เสี่ยวเหมยส่งมา

อันแรกเครียด อันที่สองอารมณ์ไม่คงที่ และอันที่สาม… เธอร้องไห้อย่างหนัก

ดวงตาของลู่เฉินจดจ่อราวกับว่าพายุกำลังพัดพาเข้ามาในดวงตาของเขาอยู่กับคำพูดที่ว่าเธอร้องไห้ “คุณทำงานที่นี่นานแค่ไหนแล้ว”

ผู้ช่วยเลขาผงะ “ครึ่งปีค่ะ”

เขาถามทำไม

สิ่งที่เจ้านายถามทำให้เธองงงวย

ลู่เฉินถามคำถามเดียวเท่านั้นและไม่พูดอะไรอีก

“ประธานลู่ คุณยังดูโทรศัพท์เครื่องนี้อยู่หรือเปล่าคะ” ผู้ช่วยเลขาถามอย่างขี้ขลาด

จากนั้นเธอก็รับโทรศัพท์มาไว้ในมือ “ประธานลู่ งั้นพวกเราขอตัวก่อน”

เลขาตามกันออกไปอย่างกระวนกระวายและรวบรวมความกล้าเพื่อถาม “หัวหน้าเลขา ที่ประธานลู่ถามครู่นี้มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ”

“เธอกำลังจะถูกส่งตัวไปยังแผนกอื่น”

“ทำไมคะ” ผู้ช่วยเลขาทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ

เธอทำงานหนักทุกวัน แล้วเธอไปทำอะไรให้ท่านประธานไม่พอใจกัน

หัวหน้าเลขาคร้านที่จะอธิบาย “ดูตัวเองสิ ข้อความส่งมาตอนเที่ยง เธอปล่อยไว้ทำไมตั้งนาน”

“ก็ประธานลู่เข้าประชุมอยู่ ฉันจะเอาเวลาที่ไหนไปรายงาน”

หัวหน้าเลขาส่ายหัว

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ลู่เฉินก็ออกมา “ยกเลิกตารางของพรุ่งนี้เช้า ไว้ตอนบ่าย ๆ ผมกลับมาค่อยว่ากันอีกที”

ดวงตาของผู้ช่วยเลขาสับสน “ประธานลู่จะไปไหนคะ”

หัวหน้าเลขาถอนใจ “เธอน่ะ เปลี่ยนแผนกดีแล้ว”