“นี่พวกคุณกำลังพูดถึงเรื่องของคนจากมูริมอยู่งั้นหรือคะ?”
ในเวลาเดียวกันในตำแหน่งที่ไกลออกไปจากสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ต
ชินฮเยจีได้เจอกับฮาซุนยัง,แดเนียล และอีดูฮัก ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าหัวหน้ากิลด์ของเธอ ยูซอดัมได้บอกให้เธออยู่ให้ห่างออกไปจากโถงจัดแสดงคอนเสิร์ตในครั้งนี้
มันเป็นเหตุผลที่ว่าทำไปเธอถึงได้ตามเพื่อนร่วมกิลด์ของเธอ ฮาซุนยัง มา ก็กลับกลายเป็นว่าเธอกลับได้ยินเรื่องราวแปลกๆจากคนพวกนี้แทน
“ใช่แล้วหละครับ คุณชินฮเยจี พวกเราทั้งหมดที่เป็นคนที่มาจากมูริมนะคือคนที่ตกอยู่ภายใต้ข้อห้าม คุณรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”
เมื่อแดเนียลถามออกไป ชินฮเยจีก็ได้พยักหน้าตอบ
“โอ้ อ้า อ้า ใช่ค่ะ มันเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ของคนจากมูริมไม่ใช่หรือคะ?”
“มันไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวนะสิครับ”
คนทั่วไปไม่ได้รู้เกี่ยวกับข้อห้ามที่ผูกมัดเหล่าผู้หวนคืนต่างมิติเอาไว้อย่างแท้จริง พวกเขารู้เพียงแค่สาระสำคัญของมันจากเหล่าฮันเตอร์ที่มีประสบการณ์หรือผู้คนจากมูริมเท่านั้น
แดเนียลและอีดูฮัก ปลดกระดุมของตัวเองออกเพื่อโชว์หน้าอกของตน แสดงรอยสักสีแดงที่อยู่บนผิวหนังตรงหน้าอกของพวกเขาให้เธอได้เห็น
“นี่เป็น ‘ข้อห้าม’ ที่บังคับให้พวกเราทั้งหมดไม่อาจที่จะใช้งานมูกงได้ครับ หากว่าพวกเราคนใดก็ตามใช้งานมูกงออกไปพวกเขาจะถูกฆ่าโดยทันทีด้วยน้ำมือของเดอมาร์สูงสุด”
“หะ? ด-เดอมาร์!? นี่พวกคุณกำลังพูดถึงพ่อของฉันเหรอคะ?”
“ถูกต้องแล้วหละ คุณชินฮเยจี คนๆเดียวที่ได้วางข้อห้ามนี้เอาไว้บนตัวของพวกเราทั้งหมดก็คือเดอมาร์สูงสุด พ่อของคุณเองยังไงหละครับ”
ชินฮเยจีตกอยู่ในห้วงความคิดไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
“น-นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรือคะ? ก็ในเมื่อผู้คนจากมูริมมักจะเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุต่างๆอยู่เสมอแล้วหละก็…”
“…มันมีหลักฐานไหมครับที่บอกว่าคนจากมูริมมักจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเสมอนะ? คุณชินฮเยจี พวกเราคนจากมูริมนะก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเหล่ายอดมนุษย์หรอกนะครับ ไม่เลยสักนิด แล้วคุณรู้ไหมว่าพื้นฐานของมูฮยอบนั้นเริ่มมาจากเรื่องของการคงความมีสติเอาไว้ มันเป็นการบอกได้เลยว่าพวกเรานะมีความสามารถในการยับยั้งชั่งใจที่ดีกว่าเหล่ายอดมนุษย์เสียอีกนะครับ”
“แล้ว ทำไมพ่อถึงได้…ห้าม?”
เธอไม่เข้าใจเลย
“เขาบอกว่า…เขาไม่ต้องการให้มูกงมีตัวตนอยู่บนโลก”
“อะไรนะคะ?”
ใช่แล้ว เรื่องราวทั้งหมดนี้มันเต็มไปด้วยคำพูดที่เข้าใจได้ยาก
“แล้วทำใมเหล่าผู้คนที่รู้ว่าตัวเองจะไม่สามารถใช้พลังได้จะต้องย้อนกลับมาที่โลกตั้งแต่แรกด้วยหละคะ? ทำไมพวกเขาถึงไม่เลือกที่จะอยู่ที่มูริม?”
“นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ในตอนที่เดอมาร์ได้เปิดเส้นทางข้ามมาสู่โลก เหล่าผู้คนจากโลกทั้งหมดที่อยู่ในมูริมจะถูกบังคับให้กลับไปพร้อมกับเขาครับ”
เหล่าคนที่ยังคงต้องการจะฝึกฝนมูกงของพวกเขาเองต่อ เหล่าคนที่ชื่นชอบการต่อสู้ และเหล่าคนที่คิดว่ามูกงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพวกเขา
และรวมไปถึงคนบางคนที่ได้มีความสัมพันธ์ที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องที่เกิดจากการ่วมรบไปด้วยกัน หรือแม้แต่เหล่าคนที่มีลูกและอาจารย์ที่ได้สร้างครอบครัวของตัวเองด้วยความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของตนเองที่นั้น
พวกเขาทั้งหมดนี้ถูกบังคับให้กลับมาที่โลก
“จริงๆแล้ว เหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆจากชาวมูริมบนโลกก็เนื่องมาจาก ‘ข้อห้าม’ นี่หละ หากว่ามันไม่ใช่เพราะสิ่งนี้แล้วพวกเขาก็คงยังสงบอยู่ได้”
เมื่อชินฮเยจีมูสนสันไปหมดกับเรื่องราวที่ได้ฟัง อีดูฮักก็ได้พูดต่อ
“ใช่แล้ว ตามจริงแล้ว ข้าหนะต้องการที่จะกลับมาที่โลก ดังนั้นฉันเลยตั้งใจที่จะยอมรับข้อเรียกร้องไม่ว่าอะไรก็ตาม”
“อย่างนั้นเหรอค? เยี่ยมไปเลย ฉันนะ…”
“ข้านะดีใจมากเลยที่ได้ยินเรื่องนั้น ในตอนแรก ด้วยการที่ตัวข้าเองก็เป็นใครสักคนที่มาจากมูริม ข้าเองก็กลัวว่ามันอาจจะมีสิ่งที่เกิดขึ้นถ้าหากว่ามูกงได้แพร่กระจายออกไปสู่โลกโดยบังเอิญเช่นกัน…แต่ว่านะ เดอมาร์ คนที่ได้สร้างข้อห้ามขึ้นมากลับเป็นคนที่ทำลายข้อห้ามนั้นด้วยการสอนมูกงให้กับลูกสาวของเขาเสียเองและแม้แต่ตัวของเขาเองก็ยังไปทำงานเป็นฮันเตอร์ภายใต้นามแฝง ฮงยอบซา”ถ้าหากว่าเดอมาร์วางตัวเองเอาไว้เป็นตัวอย่างด้วยการทำตามข้อห้ามพวกนั้น ผู้คนจากมูริมก็คงจะใช้ชิวิตอยู่ต่อไปในเงามืดนี้ตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม เขากลับแหกข้อห้ามทั้งหมดที่ตนเองได้สร้างเอาไว้
ห้ามไม่ใช้ติดต่อกัน
ห้ามไม่ให้สอนมูกงให้คนอื่น
ห้ามไม่ให้ใช้มูกง
“อ้า…”
ชินฮเยจีกัดริมฝีปากของเธอ
เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะเธอ
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเธอ ทำให้พ่อของเธอถูกต่อต้านจากชาวมูริมทั้งหมด
‘ถ้าหากว่าฉันไม่ได้ทำแบบนั้น’
ถ้าหากว่าเธอไม่ได้ขอร้องให้เขามาเป็นพ่อของเธอ…ถ้าหากว่าเธอไม่ได้ฝืนตัวเธอเองให้กลายมาเป็นฮันเตอร์โดยที่ตัวเธอเองไม่ได้มีพลังพิเศษอะไรเลย เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็คงจะไม่ได้เกิดขึ้น
ในขณะที่ชินฮเยจีโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นว่าเป็นความผิดของเธอ ฮาซุนยังได้เปิดปากของเธอในที่สุด
“แล้ว นับจากตอนนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อหรือคะ?”
“จากนี้ไป พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ผู้คนจากมูริมทั้งหมดจะไปรวมตัวกัน”
สำหรับช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา กอมฮีได้กระจายข่าวสารออกไปให้กับผู้คนจากมูริมที่อยู่ทั่วทั้งโลกอย่างต่อเนื่อง
ไปถึงเหล่าคนที่ต้องการจะฆ่าศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันได้ของคนทั้งหมดในมูริม ให้พวกเขาเหล่านี้มุ่งหน้าไปที่เถือกเขาหิมาลัย
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ไม่มีใครสักคนเลยที่ได้เคลื่อนไหวเพราะว่ามันไม่มีหลักฐานที่หนักแน่นเพียงพอ
แต่ในตอนนี้หลังจากที่ถึงได้ยินข่าวล่าสุด พวกเขาทั้งหมดได้เริ่มที่จะเคลื่อนไหวแล้ว
“และ ฉันก็มีเรื่องบางอย่างที่ต้องบอกเธออีก เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อห้าม มันเป็นเรื่องราวกับเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่าเดอมาร์สูงสุด”
“หะ?”
มันเป็นคำขอจากยูซอดัม ชินฮเยจีเป็นลูกสาวของเดอมาร์เช่นเดียวกันกับที่เธอเป็นพวกพ้องเพียงคนเดียวของเขา แต่ว่าเธอกลับเป็นคนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ถ้างั้นแล้วเธอผิดอะไรหละ?
ฮาซุนยังชอบความคิดนี้เพราะว่ามันเป็นไปตาม ‘หลักการ’ ของเธอเช่นกัน
“นับจากตอนนี้ ฉันจะเล่าเรื่องราวในสิ่งที่เดอมาร์ได้ทำกับพวกเราในโลกของศิลปะการต่อสู้…มันน่าจะเป็นเรื่องราวที่นานอยู่และเธอจะต้องยอมรับมันให้ได้”
เรื่องราวของเดอมาร์ที่ตัวเขาเองได้ซ่อนมันเอาไว้จากชินฮเยจี
เรื่องราวของชายที่ได้ย้อมมูริมไปด้วยเลือดได้เปิดเผยออกมาจากปากของฮาซุนยังแล้วในตอนนี้
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ
……………………………………………………..
ณ ตอนนี้คนทั้งโลกได้รู้แล้วว่าฮงยอบซาคืออีดงจุน กล้องยังคงถ่ายไปที่ใบหน้าของอีดงจุนและสำหรับเขาก็กำลังมองไปที่ใบหน้าอันแสนผ่อนคลายของยูซอดัมซึ่งกำลังสื่อออกมาประมาณว่า ‘นายกล้าโจมตีฉันไหมหละ?’ ทำให้เขาโกรธมายิ่งขึ้น
“!!!!”
ทันใดนั้นเอง พลังงานได้ระเบิดออกมา มันไม่สามารถที่จะมองเห็นได้โดยคนทั่วไปแต่สามารถที่จะสัมผัสได้จากทุกทิศทาง ระยะห่างของมันห่างออกไปจากที่นี่อย่างน้อยก็หลายกิโลเมตรแต่ถึงอย่างไรอีดงจุนก็สามารถที่จะสัมผัสถึงมันได้
ผู้คนทั้งหลายจากมูริมกำลังปลดปล่อยความโกรธแค้นของพวกเขาออกมา
‘พวกเขามาถึงเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?’
อีดงจุนไม่รู้เลย
ว่าในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ยูซอดัมได้ไปเจอกับเหล่าปรมาจารย์ทั้ง 31 คนผ่านความช่วยเหลือของกอมฮีและได้ปล่อยข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ฮงยอบซา’ ออกไปให้คนพวกนี้ ผู้คนจากมูริมเหล่านี่นั้นเต็มไปด้วยข้อสงสัยในตอนแรก แต่พวกเขาจะไปทำอะไรได้หละในเมื่อหลักฐานที่ยูซอดัมได้แสดงให้พวกเขาเห็นมันชัดเจนซะขนาดนี้? ในท้ายที่สุดความโกรธแค้นที่ได้ถูกกับเก็บเอาไว้ของพวกเขาก็ได้ระเบิดออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่สำคัญว่าเดอมาร์สูงสุดจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ยังเป็นสิ่งที่มากเกินไปอยู่ดีสำหรับเขาที่จะต้องมารับมือกับทุกๆคนที่มาจากมูริมเพียงลำพัง ไม่สิ เขาสามารถรับมือกับคนทั้งหมดได้แต่ว่าสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้มันไม่ได้ดีเอาเสียเลย
‘ฉันคงต้องไปพาตัวของชินฮเยจีมาและซ่อนตัวสักพัก’
อีดงจุนคิดได้เช่นนั้นแล้ว ก็ได้พยายามที่จะค้นหาพลังงานของชินฮเยจีจากพื้นที่โดยรอบของสถานที่จัดงานในครั้งนี้
‘ที่ไหนกัน?’
เขาไม่สามารถที่จะรู้สึกได้ถึงพลังงานของชินฮเยจีจากที่ไหนสักที่ในสถานที่จัดงานในครั้งนี้เลย
อีดงจุนปลดปล่อยพลังของตนเองให้กระจายออกไปอย่างรวดเร็วและสัมผัสถึงตัวตนของเธอได้จากพื้นที่ในระยะที่ห่างออกไปจากที่นี้หลายร้อยเมตร
‘อย่าบอกฉันนะว่า…’
อีดงจุนมองไปที่ยูซอดัมอีกครั้ง
ชายคนนี้ได้วางแผนให้มันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เริ่มสินะ เขาได้รับสมัครชินฮเยจีเข้ากิดล์ตัวเองดังนั้นมันทำให้เขาสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ อีดงจุนเองก็ไม่ได้เชื่อใจในตัวของยูซอดัมเต็มที่เช่นกันเพราะว่าเขาไม่ได้โง่ แต่เขาแค่ไม่เคยคิดเลยว่ายูซอดัมจะกล้ามากขนาดนี้
อีดงจุนกัดของตัวเองแน่นเพื่อระงับความโกรธเอาไว้
ฮึมมม!!
เมฆดำทะมึนได้เคลื่อนมารวมเข้าด้วยกัน ปรากฏการนี้เกิดขึ้นเพราะมูกง และหลังจากนั้นก็มีพายุที่รุนแรงและแสงอาทิตย์ที่แผดเผาทุกสิ่งตามมา มันเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่า เหล่าปรมาจารย์ รวมไปถึง 3 ราชันย์ และ 6 จักรพรรดิได้ปลดปล่อยพลังงานของพวกเขาเองออกมาแล้ว
‘ไม่มีทางน่า พวกเขามาที่นี่ได้ยังไงกัน?’
เขาเองก็ไม่ได้แน่ใจ
แต่ว่าพวกเขาคงจะไม่ได้มาที่เกาหลีเพียงแค่เพราะความโกรธแค้นของพวกเขาอย่างแน่นอน ใช่ไหม? อีดงจุนเริ่มที่จะรู้สึกตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย
เขาสามารถที่จะรับมือกับคนทั้งหมดนี้ได้ แต่ว่าสำหรับตอนนี้แล้วมันไม่เหมือนกับวันวานที่เขาจะมาทำตัวอย่างไร้ซึ่งการยับยั้งชั่งใจเหมือนที่มูริมได้อีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้เขามีบางสิ่งบางอย่างที่ตนเองสามารถที่จะสูญเสียไปได้
ชินฮเยจี ลูกสาวของเขา
หากว่าเขาสู้กับผู้คนจากมูริมที่นี้ ลูกสาวของเขาเองก็คงจะไม่สามารถกลับไปมีชีวิตได้แบบคนธรรมดาอีกต่อไป
‘ฉันต้องอดทน ฉันควรที่จะเล็งไปที่โอกาสในครั้งต่อไป’
แต่ว่า
‘อย่างน้อยที่สุด ฉันจำเป็นที่จะต้องฆ่ายูซอดัม’
แม้ว่ามันจะก่อให้เกิดความเสียหากกับภูมิประเทศโดยรอบ เขาก็จำเป็นที่จะต้องจัดการกับยูซอดัมไม่ว่าราคาของมันจะหนักหน่าแค่ไหนก็ตาม ในทางตรงกันข้ามยูซอดัมยังคงยิ้มออกมาอย่างสบายๆ มันเป็นเรื่องลึกลับที่ไม่รู้เลยว่าเขานะแค่มั่นใจในตัวเองหรือแค่คนโง่เง่ากันแน่ ท่าทางของเขาก็ราวกับว่าเขากำลังยั่วยุอีดงจุนในมาฆ่าตัวเองต่อหน้ากล้องทั้งหมดอยู่
“ไอ้เชี่ยนี่!”
สัมผัสของอีดงจุนได้เตือนตัวเขาเองอีกครั้ง เขาไม่สามารถที่จะฆ่ายูซอดัมได้ แต่ไม่นานความรู้สึกนั้นได้จางหายไป
[วิกฤตได้เกิดขึ้นกับตัวเอง อีดงจุน]
[ความสามาระของสกิล ‘พระสูตรแห่งพุทธรรม (SSS+)’ ได้ลดลงเนื่องจากความไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างรุนแรง]
[สกิลของตัวเองอีดงจุน ‘การคารการณ์ (SSS)’ ถูกบดบังด้วยดวงตาที่มืดบอด]
[กำลังตรวจสอบความผันผวนที่เกิดขึ้นกับระดับเลเวลของตัวเองอีดงจุน : 500(-18)]
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อย
ยูซอดัมยังคงไม่สามารถที่จะเอาชนะอีดงจุนที่มีเลเวล 500 ได้ถึงแม้ว่ามันจะลดลงไปถึง 18 เลเวลก็ตาม
แต่ว่า…
‘นั้นไงหละ’
มันเป็นคำใบ้ตัวโตๆสำหรับยูซอดัมเลย
ชึบ!!
ในจังหวะนั้นเองที่เดอมาร์ได้เหวี่ยงมือของตัวเองลงมาราวกับว่ามันเป็นดาบ
[มาตรการหลบหนีฉุกเฉินได้เปิดใช้งาน]
[ทำการอพยพฉุกเฉินไปยังมิติที่ใกล้เคียงที่สุดด้วยความแตกต่างของเวลาที่มากกว่า 5 เท่า : กระบวนการเปิดใช้งานจะขับเคลื่อนด้วยการใช้อายุขัยของคุณ]
ร่างกายทั้งหมดของยูซอดัมได้หายไปในขณะเดียวกันกับที่อีดงจุนได้ฟันลงไปยังอากาศที่ว่างเปล่า
หลังจากที่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว เสียงร้องคำรามที่ราวว่ากับเป็นเสียงของสิ่งโตที่กำลังโกรธแค้นก็ได้ระเบิดออกมาจากปากของอีดงจุน
“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!”
มันมีอำนาจการทำลายล้างมากเสียยิ่งกว่ามูกงของแซช็องรยอนและความสามารถคลื่นเสียงของเฮโลนี่อีก
– เฮ้ ใจเย็น!
“ฟู…ฟู…”
– ห้ามให้ความโกรธเข้าครอบงำเจ้า
‘อ่า ฉันต้องสงบจิต สงบใจเข้าไว้’
‘มาคิดอย่างสงบๆกันก่อน แม้กระทั้งในตอนนี้ ผู้คนจากมูริมอาจจะมาถึงที่นี้ได้ในทุกๆเมื่อ’
‘ในตอนนี้ พวกเราควรที่จะทำอะไรกับแน่?’
‘มันดีกว่าสำหรับพวกเราที่จะจัดการกับทุกๆสิ่งให้มันจบลงไปเลยทีเดียว’
– นั้นไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่ดีเลยนะ
‘ไม่ นี่เป็นทางเดียวเท่านั้น’
– เจ้าเด็กน้อย…
แต่ที่นี่ไม่เหมาะสม มันไม่มีปัญหาอะไรเลยหากต่อให้คนทั้งหมดที่พวกเขามีโจมตีมาที่ฉัน แต่ว่าหลังจากที่จัดการคนทั้งหมดนั้นแล้วอีดงจุนจะต้องกลับเข้าไปใช้ชีวิตในสังคมต่อ
เมื่อปราศจากผู้คนจากมูริมบนโลกใบนี้แล้ว มันก็จะไม่มีอุปสรรคอะไรที่มาขวางกันเขาไว้อีก
ไม่แม้กระทั้งยูซอดัมที่กล้าจะหนีไปจากสายตาของเขาก็ตาม มันไม่สำคัญเลยสักนิดเดียวว่าเขาหนีไปได้ยังไงเมื่อกี่นี้ ยังไงซะเขาก็ไม่สามารถที่จะวิ่งหนีไปได้ตลอดทั้งชีวิตของเขาแน่
อย่างแรกที่เขาต้องทำเลยก็คือ เขาจำเป็นที่จะต้องออกไปจากที่นี้และเดินทางไปทั่วทุกที่เพื่อตัดหัวของผู้คนจากมูริมที่ละคนๆ
นั้นเป็นแผนของอีดงจุน
เขาคิดเช่นกันและคิดว่าตนเองจำเป็นที่จะต้องหาที่ซ่อนไปสักพักหนึ่ง
‘ซอลจองยอน’
นั้นเป็นเพียงสถานที่เดียวเท่านั้นที่เข้ามาในใจของเขา
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ
……………………………………………………..
“เฮือก!!”
เยคาเทริน่าทรุดลงไปกับพื้นในทันทีหลังจากที่เธอได้ดึงมือของตนเองออกมาจากภาพวาด
“อนาคตอย่างเดียวกันได้ถูกบิดเบือดอีกครั้ง”
ในภาพวาดนั้น ที่คอนเสิร์ตของเทพธิดาแห่งเพลงป๊อป เฮโลนี่ที่ได้ถูกวาดเอาไว้ แค่เพียงเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอได้เห็นสถานที่เดียวกันนี้เองได้พังพินาศลงไปเนื่องจากภัยพิบัติบางอย่าง ซึ่งถ้าหากว่าเธอได้พยากรณ์และประกาศมันออกไปให้โลกได้รับรู้ เธอจะสามารถป้องกันมันได้
“คุณเอวาน!!”
นี้เป็นเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ว่าทำไมคำพยากรณ์ถึงได้เกิดขึ้นซ้ำ
นั้นก็เป็นเพราะว่าคำพยากรณ์นี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยไปสู่โลกภายนอกนะสิ
เอวาน คนๆนี้ไม่ได้ประกาศคำพยากรณ์ออกไปด้วยเหตุผลบางอย่าง
‘แต่ว่า อืม ภัยพิบัติได้หยุดลงแล้ว’
โชดดีที่ว่าอนาคตที่เยคาเทริน่าได้เห็นในครั้งนี้ ภัยพิบัติไม่ได้แม้แต่จะเริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ
“ยูซอดัม”
ชายคนนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง และได้เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่ออกมาของภัยพิบัติในครั้งนี้
คำถามที่ว่ามันเป็นแบบนี้ได้อย่างไรนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจดจำไว้ว่าการตัดสินใจของเอวานสามารถที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติขึ้นดังคำพยากรณ์ที่เธอได้เห็นมาได้
มันเป็นแบบนั้นมานานแล้ว แม้ว่าในตอนที่เธอจะไปเตือนเอวานว่ามันจะเกิดภัยพิบัติที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นก็ตาม เอวานก็ยังคงเลือกที่จะปกปิดคำพยากรณ์บางอย่างเอาไว้และเปิดเผยเพียงแค่บางส่วนของมันให้กับโลกได้รับรู้เท่านั้น มีอยู่วันหนึ่งที่เยคาเทริน่าได้ถามออกไปว่าทำไมเธอถึงได้ทำแบบนั้น สิ่งที่เยคาเทริน่าได้รับกลับมาก็คือ
“ก็เพราะว่ามันดีกับฉันไง”
‘มันมีการแข่งขันกันมากมายของกิลด์ใหญ่ๆ มีประเทศมากมายที่ประท้วงในทุกวันนี้ หรือไม่ก็กิลด์ที่ฉันไม่ชอบหน้า’
เพราะว่าเหตุผลที่ไร้สาระเช่นนั้นเอง เธอเลยได้เลือกที่จะปกปิดคำพยากรณ์ของเยคาเทริน่าเอาไว้
‘ฉันไม่ต้องการจะทำแบบนี้อีกต่อไปแล้ว’
การเห็นคำพยาการณ์จะไปมีประโยชน์อะไรกันในเมื่อฉันไม่มีพลังมากเพียงพอที่จะหยุดมันได้
เธอค่อนข้างอยากที่จะยอมแพ้กับความสามารถในการเห็นอนาคตแล้วเลือกความสามารถในการใช้เวทมนตร์มากแทนเสียยังดีซะกว่า
‘ถ้าหากว่าฉันสามารถที่จะใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกับนักเวทย์คนอื่นในกิลด์โมเรียนหละก็’
ในวินาทีที่เธอคิดเช่นนั้นแล้ว
ตูม!! ตูม!!
เสียงฝีเท้าได้ดังขึ้นกึกก้องไปทั่วทั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้
มือของเยคาเทริน่าสั่นไหวในขณะที่เธอได้เงยหน้าของตัวเองขึ้นไป เธอก็ได้รู้แล้วว่าตัวเธอเองใช้เวลากับการดูคำพยากรณ์นานมากเกินไป
‘อ้า ไม่น้า เจ้ามอนสเตอร์นั้นกำลังมาแล้ว’
พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้เป็นโลกที่อยู่ในความฝันของเธอ
แต่ว่ามันกลับมีบางสิ่งบางอย่างที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี้นอกไปจากตัวเธอเอง
เยคาเทริน่าเลื่อนสายตาของเธอไปยังปลายสุดของโถงทางเดินนี้อย่างช้าๆ
แล้วสายตาของทั้งคู่ก็ได้สบกัน
มันเป็นมอนสเตอร์ตัวเดิมที่มีความสูง 3 เมตร ผิวหนังของมันไหม้เกรียมกับราวกับว่ามันถูกเผามา หยดน้ำได้หยดลงมาจากร่างกายของมันราวกับว่ามันพึ่งขึ้นมาจากน้ำ และดวงตาของมันก็มืดบอด
แคร๊ก!!
เสียงแตกราวของผิวหนังที่ฉีกออกปกคลุมไปทั่วทั้งทางเดินในขณะที่เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ได้เปิดปากของมันออก
“อ้า….อ้า!!!”
เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้เข้ามาใกล้มากกว่าทุกครั้ง มันยังคงเข้ามาใกล้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
เคี๊ยกกกก!!
เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ได้ปิดเปลือกตาของมันลงมาในรูปทรงของพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวราวกับว่ามันกำลังยิ้มอยู่และในทันใดนั้นเองมันก็ได้พุ่งกระโจนเข้ามามาเธอด้วยแรงกระโดดจากขาเพียงข้างเดียวของมันมาทางเยคาเทริน่า
ตูม!!!
ตูม!!!
‘เธอต้องตื่นขึ้นมาจากความฝันเดียวนี้นะ!’
เยคาเทริน่าเอาหัวของตัวเธอเองซุกไว้ใต้วงแขนของเธอแต่ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลยที่จะตื่นขึ้นจากความฝัน หัวใจของเธอสั่นไหวอย่างรุนแรงและมือกับเท้าของเธอก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน
ตูม!!!
ตูม!!!
‘ไม่นะ! ไม่นะ! ตื่นสิ ตื่นจากความฝันบ้าๆนี้ที! ได้โประเถอะ!’
แต่ว่า…
เธอไม่สามารถที่จะตื่นจากความฝันของเธอเองได้เลย
แล้วในทันใดนั้นเอง
วิ้งงง!!
ตูม!!
ก็มีใครบางคนได้โผล่ขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่งของโถงทางเดินแห่งนี้ ประตูที่อยู่ตรงหน้าของเยคาเทริน่าได้ปิดลงและคนบางคนก็ได้ล่วงลงมา
“ห่าเอ้ย!! ตกใจหมดเลย นี้มันโลกบ้าอะไรกันแน่เนี่ย?”
“…หา?”
เยคาเทริน่ารู้จักผู้ชายคนนี้
ชายคนที่มีเส้นผมสีดำและดวงตาสีขาว
“ยู…ซอดัม?”
“หะ?”
ชายคนที่เธอพึ่งจะได้เห็นตัวเขาผ่านทางคำพยายากรณ์มาเมื่อตะกี้นี้ ในตอนนี้ได้มาอยู่เบื้องหน้าของเธอแล้ว