[เริ่มต้นดำเนินการใช้งานมาตรการหลบหนีฉุกเฉิน]

ในทันทีที่เดอมาร์ได้พยายามที่จะฟันคอของฉันด้วยมือของเขา โลกโดยรอบก็ได้เปลี่ยนไป

ฉันสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงความสั่นไหวที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเอง

“อึก!”

แรงทีบสะท้อนกลับจากการข้ามมิติโดยปราศจากการเตรียม 10 เหมือนกับที่ตนเองได้เดินทางไปยังมิติอื่นๆในทุกๆครั้งนั้นหนักเอาการ มันทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าสมองของตัวเองถูกเอาไว้ใส่เครื่องปั่นเลย…

[มาตรการหลบหนีฉุกเฉินอยู่ระหว่างการดำเนินการ]

[อายุขัย 30 วันถูกใช้เป็นเชื่อเพลิงในการดำเนินการ]

[เคลื่อนเข้าสู่มิติที่มีความแตกต่างของเวลามากกว่าเดิม 5 เท่า]

[อายุขัย 10 วันถูกในการแลกเปลี่ยนสำหรับเงื่อนไขข้างต้น]

[คุณได้ถูกเคลื่อนย้ายไปยังมิติที่ปราศจากตัวเอกหรือตัวเอกที่มีโอกาสในการล่าสำเร็จถึง 90%]

[อายุขัย 30 วันถูกในการแลกเปลี่ยนสำหรับเงื่อนไขข้างต้น]

โดยทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว 70 วันจากอายุขัยของฉันถูกใช้จ่ายออกไป

นั้นก็เพื่อใช้ในกำหนด ‘เงื่อนไข’ เพื่อลดความเสี่ยงในการหลบหนีฉุกเฉิน

แต่ฉันอะไรหละที่ฉันจะได้กลับมา? ก็แน่นอน มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าอยู่แล้วที่จะเคลื่อนย้ายไปยังมิติที่มีโอกาสล่าสำเร็จถึง 90% หรือปราศจากตัวเอกเพื่อที่ฉันจะได้กลับไปเร็วๆ

‘แต่ถึงยังไงซะ แลกกับการแลกเปลี่ยนอายุขัยของฉันแล้ว สิ่งที่ฉันได้กลับมาก็คือ ฉันพบจุดอ่อนสุดท้ายของเดอมาร์ในชีวิตของเขาแล้ว’

ฉันสามารถที่จะได้รับอายุขัยที่เหนือยิ่งว่า 70 วันได้อย่างง่ายดายหากว่าฉันล่าเดอมาร์ได้สำเร็จ

และถ้าหากว่าฉันสามารถที่จะหลดหนีออกจากอันตรายถึงตายได้เพียงแค่ใช้อายุขัยประมาณสองเดือนนิดๆแล้วหละก็ ไม่ใช่ว่านี้เป็นสิ่งที่ดีสุดๆไปเลยไม่ใช่เหรอไง

“ฉันหวังว่าฉันจะสามารถใช้มาตรการหลบหนีฉุกเฉินได้ทุกเวลานะ”

<โชคร้ายหน่อยนะคะ แต่นั้นเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ>

<มาตรการนี้สามารถที่จะใช้ได้เมื่อ ‘เจ้าของระบบ’ กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่ถึงตายจากการดูดซับพลังงานจำนวนมากที่อยู่เหนือกว่าแรงค์ SSS ขึ้นไปเท่านั้นค่ะ>

<แถมมันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้มันอีกครั้งอย่างต่อเนื่องเพราะอย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาหนึ่งปีถึงจะใช้ได้อีกครั้งค่ะ>

“ทำไมหละ?”

<มาตรการหลบหนีไม่ได้เพียงใช้แค่อายุขัยของคุณเท่านั้นแต่มันยังใช้พลังงานของฉันด้วยเช่นกันค่ะ>

‘รวมๆแล้วก็คือ เธอไม่สามารถที่จะใช้มันได้เพราะว่าเธอเหนื่อยใช่ไหม’

<ถูกแล้วค่ะ…>

เริ่มแรก ระบบนี้ก็ปรากฏขึ้นมาราวกับว่ามันเป็นสิ่งของจากพระเจ้าหรือสิ่งของศักดิ์สิทธิ์อะไรพวกนั้น ไม่สิ ในความเป็นจริงแล้วมันก็ดูจะเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้าอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามคุณลูกค้าได้เงียบหายไปสักพักหนึ่งในตอนที่เขาได้รับอิสระในการเลือกสกิลที่ตนเองได้รับการล่าตัวเอกอียอนจุนหรือส่วนสั้นๆหลังจากที่เขาได้ล่าตัวเอกอารัช ถ้าหากว่าระบบเป็นตัวตนดังเช่นมนุษย์แล้วหละก็มันจะคงจะเป็นการนอนพักหละมั้ง

นั้นหมายความว่าคุณลูกค้าจำเป็นที่จะต้องได้รับการฟื้นฟูสักพักหนึ่งเช่นกันเมื่อเธอได้ใช้พลังงานที่มากเกินไป

ยิ่งเข้าได้รู้ได้เห็นเกี่ยวกับระบบหรือคุณลูกค้ามากขึ้นเท่าไหร เขาก็ยิ่งสงสัยเกี่ยวกับระบบที่เขามีมากขึ้นเท่านั้นแต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป

“ว่าไปแล้ว เราอยู่ที่ไหนกัน?”

ในขณะที่มองไปรอบๆ ฉันก็รู้สึกได้ว่าฉันกำลังอยู่ในสถานที่มีแต่สีขาวล้วนซี่งเต็มไปด้วยภาพวาด เหมือนอย่างเคย ไม่มีคำอธิบายอะไรทั้งนั้น ดังนั้นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองอยู่ที่ไหนหรือฉันต้องทำอะไรกันแน่ คุณลูกค้าได้หายตัวไป นั้นเป็นการบอกโดยนัยแล้วว่าเธอจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในวิเคราะห์ออกมาว่ามิตินี้คือที่ไหน

‘แต่ที่นี่คงจะไม่ได้มีตัวเอกอยู่ใช่ไหมนะ?’

เท่าที่ฉันรู้ก็คือมันไม่มีมิติไหนเลยสักมิติเดียวที่มีอัตราความสำเร็จในการล่าสูงเกินกว่า 90% ก็ถ้ามันมีคุณคิดว่าฉันจะไม่เลือกที่แบบนั้นตั้งแต่แรกเลยหรือไง? ไม่ว่าอัตราความสำเร็จในภารกิจทั้งหมดที่เขาได้เห็นผ่านตามามันจะสูงเท่าไหรก็ตามแต่อย่างมากที่สุดมันก็อยู่เพียงแค่ 50% เท่านั้นเองในอีกความหมายหนึ่งก็คือ มันมีความเป็นไปได้มากกว่าที่ตัวเอกจะไม่ได้มีตัวตนอยู่ในมิติแห่งนี้

สองวัน มีเวลาแค่สองวันเท่านั้น ฉันจำเป็นที่จะต้องกลับไปยังโลกก่อนหน้านั้นหรือจะให้พูดแบบเน้นๆเลยก็คือฉันต้องไปที่หิมาลัย

การมุ่งหน้าไปยังหิมาลัยไม่ใช่ปัญหาอะไร เนื่องจากผลลัพธ์อีกอย่างหนึ่งของการหลบหนีฉุกเฉินที่พ่วงมาด้วยก็คือฉันสามารถเลือกจุดที่ตนเองต้องการจะกลับไปได้ด้วยการจ่ายอายุขัยของตนออกไปตามระยะห่างจากจุดเดิมเมื่อต้องการย้อนกลับไปที่โลก ฉันคิดไว้ว่าจะจ่ายหนักเป็นพิเศษและมุ่งหน้าตรงไปยังหิมาลัยโดยตรงอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามการออกไปจากที่นี่สิที่เป็นปัญหา

เมื่อทำการล่าตัวเอก คนล่าสามารถที่จะใช้ความเป็นไปได้ทั้งหมดที่ตนเองได้ดูดกลืนมาจากตัวเอกในการเคลื่อนย้ายผ่านมิติโดยที่ไม่มีปัญหาใดๆตามมา แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะดูดกลืนความเป็นไปได้หากว่ามันไม่มีตัวเอก นอกจากนี้มันยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำความเป็นไปได้มาจากที่ไหนก็ตามเพราะว่าฉันก็ไม่ใช่ ‘ตัวเอก’ เช่นกัน

(ผู้แปล : ความเป็นไปได้ในที่นี้ก็จะอารมณ์ประมาณพลังจากโลกนะครับที่พวกตัวเอกใช้ในการแก้ไข)

‘อย่างแรกเลยก็คือ ฉันจำเป็นที่จะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่ก่อน’

มันเป็นครั้งแรกเลยที่ฉันต้องทำแบบนี้โดยที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากระบบ ความตึงเครียดที่ฉันรู้สึกในร่างกายของตัวเองก็เหมือนกับที่ฉันเคยรู้สึกเมื่อตอนทัวร์นาเมนต์ครั้งนั้นที่ฉันต้องล่าตัวเอกเป็นครั้งแรกเลย

‘ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะเหรอ?’

ในขณะที่ฉันจ้องมองไปโดยรอบในเวลาเดียวกันนั้นเองฉันก็ได้จับไปที่ดาบอีเทอร์ ฉันเห็นกรอบรอบมากมายแขวนไว้ตามผนัง ในกรอบรูปพวกนั้น มีผืนผ้าใบที่มีสีขาวล้วนปราศจากรูปภาพหรือรูปถ่ายใดๆอยู่ในนั้น และเมื่อฉันแตะไปที่มัน ข้อความเตือนก็ได้เด้งขึ้นมาในทันที

[สกิล ‘ห้องสมุดของแม่มดขาว (E)’ ถูกเปิดใช้งาน]

[คุณไม่มีสิทธิเข้าถึงรูปภาพนี้ คุณไม่สามารถตรวจสอบได้]

“….อะไรนะ?”

นี่มันอะไรกัน?

ถ้างั้นกรอบรูปพวกนี้ก็จะต้องเป็นสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ด้วยใช่ไหนนะ? เท่าที่ฉันจำได้คำว่า ‘สิทธิการเข้าถึง’ ที่ฉันเคยเจอมันปรากฎขึ้นแค่ในตอนที่ฉันได้เข้าไปห้องสมุดที่มีแรงค์สูงกว่าเท่านั้นเอง แล้วงั้นมันอะไรกันนะในตอนนี้?

แล้ว ข้อความจากระบบล่าตัวเอกก็ได้เด้งขึ้นอีกครั้ง

[ดำเนินการตรวจสอบสกิลของตัวเอกเยคาเทริน่า ‘พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งฝันร้าย (URS)’]

“เชี่ยเอ้ย!! แรงค์ URS ? แรงค์บ้านี้มันเจอได้ทั่วไปหรือไงกัน?”

แม้แต่สกิลที่มีความสามารถในการย้อนเวลาแบบลูปที่ไม่มีวันสิ้นสุดก็มีแรงค์ URS เหมือนกัน ฉันคิดว่าสกิลแรงค์ URS คงจะมีความสามารถคล้ายคลึงกับการสร้างโลกแต่ว่าทำไมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถึงได้มีแรงค์ที่โคตรจะสูงขนาดนี้กันแน่นะ?

[สกิล ‘ห้องสมุดของแม่มดขาว (E)’ ถูกเปิดใช้งาน]

[ได้รับการยืนยันแล้วว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโลกในจินตนาการที่มีความเกี่ยวข้องกับคำพยากรณ์ของแม่มด]

“อะไรนะ? คำพยากรณ์?”

ฉันเริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี่มันชักจะสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆซะแล้วสิ

ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสถานที่อย่างสกิลแรงค์ URS เช่นนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับคำพยากรณ์

“แต่ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลยนิ?”

[คุณไม่ได้รับสิทธิในการเข้าถึง]

ฉันแตะไปที่กรอบพวกนี้ในขณะที่มองดูไปที่ข้อความที่โผล่ขึ้นมาและรู้สึกได้ว่าฉันพลาดอะไรไปสักอย่าง

“เดวก่อนนะ เดวก่อน…เมื่อกี้แกบอกว่าตัวเอกใช่ไหม?”

มิติแห่งนี้เป็นที่ๆฉันได้มาเยื่อนเนื่องจากการใช้งานมาตรการหลบหนีฉุกเฉิน มันเป็นโลกที่ฉันสามารถที่จะล่าตัวเอกได้ด้วยโอกาสสำเร็จมากกว่า 90% ได้ ในความทรงจำของฉันมันไม่มีโลกแบบนั้นอยู่และถ้ามันเป็นแบบนั้นฉันก็คงจะต้องกลับไปที่โลกเลยเพราะว่ามันไม่มีตัวเอกแต่อย่างไรก็ตามถ้าหากว่ามันมีตัวเอกอยู่หละก็…

ตึง!! ตึง!!

ตึง!! ตึง!! ตึง!! ตึง!! ตึง!! ตึง!!

อยู่ๆก็มีเสียงของบางอย่างที่กำลังเด้งไปมาบทพื้นจากอีกด้านของโถงทางเดินที่ไกลออกไป ฉันตื่นตัวอย่างรวดเร็วและหันไปทางเสียงนั้น

แล้ว

‘หญิงสาว’ ที่ดูแปลกประหลาดที่มีใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์และขาข้างเดียวพร้อมกับผิวหนังที่ถูกเผาไหม้จนเกรียมไปทั่วทั้งตัวของเธอได้เข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว

และแฮชแท็กก็ได้ปรากฏขึ้นบนหัวของเธอ…

ฉัน_ต้อง_ฝันร้าย_ทุกๆวัน

ความหวาดกลัว ระทึกขวัญ

ความลึกลับ ฝันร้าย

ความสิ้นหวัง

[ตัวเอก เยคาเทริน่า]

[เลเวล 519]

ฉันเอียงหัวของตัวเองและหันไปทางสิ่งมีชีวิตตัวนั้น

เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้ก็ได้สบตาเข้ากับฉัน

“519!?!?”

ในจังหวะที่ฉันกำลังกระพริบตาไปมาเพราะว่าคิดว่าตัวเองตาฝาดไปรึป่าวนั้นเอง

ตึง!! ตึง!! ตึง!!

ตึง!! ตึง!!

มันเริ่มที่จะวิ่งตรงมาที่ฉันด้วยความเร็วที่เร็วยิ่งกว่าความเร็วเสียงซะอีก

“แกบอกว่าอัตราสำเร็จมัน 90% ไม่ใช่หรือไงฟระ?”

ฉันไม่มองย้อนกลับหลังอีกต่อไป

นี้เป็นการต่อสู้ที่จะไม่มีทางชนะได้เลย

โชคยังดีที่มีประตูสีขาวอยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้ เมื่อเขากระโดดเข้าไป ปิดกันประตูด้วยไม้กระดานและล็อคประตูบานนี้ ตัวเอกนั้นก็ไม่ได้ตามเขาอีกต่อไป

“ห่าเอ้ย!! ฉันตกใจหมดเลย นี้มันโลกบ้าอะไรกันแน่เนี่ย?”

นี่จะบอกว่าเจ้าสิ่งนั้นเป็นตัวเอกหรือไง

ไม่ใช่ว่าตัวเอกนะจะต้องเป็นตัวตนที่มักจะได้รับพรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นไปได้ทั้งหมดไม่ใช่หรือไง? ไม่ว่าคนๆนั้นจะทำอะไรก็ตาม เขาหรือเธอก็มักจะต้องประสบความสำเร็จ เขาจะต้องได้รับชัยชนะในท้ายที่สุดเสมอ ซอดัมคิดว่าตัวเอกคือคนแบบนั้น คนที่กลืนกินความเป็นไปได้ทั้งหมดของโลกไว้ที่ตัวเองคนเดียว

<ตัวเอกคนนี้ไม่ได้เป็นคนที่ดูดกลืนความเป็นไปได้ค่ะ>

<เธอเป็นตัวเอกที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถูกล่าค่ะ>

<ดังนั้นแล้วเธอเลยได้รับการยกเว้นจากรายการคำร้องขอค่ะ>

‘อ่อ อย่างนั้นเหรอ?’

ตามจริงแล้ว มันก็มี ‘ประเภท’ ของตัวเอกหลากหลายแบบในโลกต่างๆและฉันคิดว่ามันก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะต้องมีพวกตัวเอกจากหนังสยองขวัญอยู่เช่นกัน

“ยูซอดัม?”

“หะ?”

ฟึบ!

เมื่อฉันได้ยินเสียงของผู้หญิงมาจากด้านหลังของตัวเอง ฉันได้หันกลับไปอย่างรวดเร็วและชี้ปลายดาบอีเทอร์ไปทางเธอ เป็นหญิงสาวร่างเล็กที่สวมใส่เสื้อคลุ่มสีขาวกำลังนั่งอยู่ที่พื้น

เธอมีเส้นผมสีขาวและดวงตาที่โปร่งใสที่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย ฉันถึงกับประหลาดใจด้วยความงามอันแสนลึกลับของเธอไปชั่วขณะหนึ่ง

ตุบตุบตุบตุบ!!

แต่แล้ว เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนั้นก็ได้ทุบตีไปที่ประตูและประตูนั้นก็เริ่มที่จะถูกเจาะทะลุออกมาอย่างบ้าคลั่ง ฉันรีบหิ้วเธอจากด้านข้างและบินทะยานออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วในทันที

“บ้าเอ้ย! เฮ้ เจ้ากระถางดอกไม้! ทำอะไรสักอย่างสิ!”

– ฉันเป็นแค่หอยทาก~~~~

“เธอนี่มันจิตวิญญาณไร้ค่าจริงๆเลย! ตื่นมาทำงานเดี่ยวนี้!”

ฉันดึงเอาระเบิดจำนวนมากที่ตัวเองมีออกมาจากด้านในของช่องเก็บของและขว้างมันไปที่พื้น ด้วยเวทมนตร์เจ้ากระถางดอกไม้ มันได้จัดเรียงตำแหน่งไปทั่วทุกที่ ระเบิดอันแรกโดนเจ้าสิ่งมีชีวิตนั้นโดยตรง แต่ทันใดนั้นเจ้ากระถางดอกไม้ก็ได้เปลี่ยนเป้าหมายของระเบิดพวกนี้และระเบิดไปยังพื้นหรือกำแพงของพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้

ด้วยการตัดสินใจที่จะสร้างความสันสนให้กับสัมผัสด้านทิศทางของเจ้าตัวประหลาดนี้ มันเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดเป็นอย่างมาก แต่ในจังหวะนี่เองฉันก็คิดได้ว่าฉันไม่สามารถที่จะสร้างความเสียหายให้กับมันได้เหมือนกัน

เคี๊ยกกกกกกกกกกก!

ในทันใดนั้นเอง เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ก็ได้กรี๊ดร้องออกมาและหยุดการไล่ล่า

“หา หืม เห้”

แต่ดูเหมือนว่าเจ้านั้นจะไม่ได้รับความเสียหายอะไรนิ?

เพราะงั้นฉันเลยสแกนไปที่เจ้ามอนสเตอร์นั้นอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าฉันจะดูเท่าไหนก็ตามฉันก็ไม่สามารถที่จะหาบาดแผลใดๆบนตัวมันพบเลย

“นี้ จริงดิ?”

ต้องลองดูอีกครั้ง แล้วฉันก็กลิ้งระเบิดอีกจำนวนมากไปยังที่ที่เดียว ระเบิดมือได้ทั้งหมดได้ระเบิดออกมาและทำให้เกิดหลุมที่พื้นของโถงทางเดินนี้ ในทันทีทันใดหลังจากนั้น เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ก็ได้เริ่มที่จะร้องคำรามออกมาราวกับว่ามันกำลังเจ็บปวดเป็นอย่างมาก มากยิ่งกว่าความเสียหายครั้งแรกที่มันได้รับเสียอีก

“ถ้าหากว่าพิพิธภัณฑ์ได้รับความเสียหากเจ้ามอนสเตอร์นี้ก็จะได้รับความเสียหายเช่นเดียวกันใช่ไหมนะ?”

หลอดไฟที่อยู่บนหัวของเขาก็สว่างขึ้น

หลังจากที่ได้เอาระเบิดจำนวนมากที่อยู่ในช่องเก็บของออกมาเพิ่มและขว้างปาไปทั่วทุกที่แล้ว จากนั้นก็อาละวาดด้วยเมก้าชูตเตอร์ในมือตัวเอง

“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์เอ้ย! ลงนรกไปซะ!”

บางทีคงเป็นเพราะว่าพื้นของโถงทางเดินแห่งนี้ได้รับความเสียหายมากเกินไปทำให้พื้นยุบตัวลงไป เจ้ามอนสเตอร์นี้ได้ล่วงลงไปในหลุมที่อยู่ตรงพื้น และฉันก็ได้เอื้อมมือออกไปยังช่องเก็บของและขว้างระเบิดบางอย่างตามลงไปอีกครั้ง

แต่ว่าในจังหวะนั้นเอง

“อ้าาาาาาาาาาาาาาาา! มันเจ็บ! หยุดนะ!”

หญิงสาวที่ยังคงห้อยอยู่ที่ด้านข้างของฉันได้กรี๊ดร้องออกมาราวกับว่าเธอกำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เมื่อฉันมองไปที่เธอด้วยความรีบร้อน ฉันได้เห็นน้ำตาจำนวนมากอยู่รอบดวงตาของเธอ

“ไม่สิ ทำไมถึงเป็นเธอหละ?”

แล้วแฮชแท็กที่อยู่เหนือหัวของเธอก็เข้ามาสู่สายตาของฉัน

ฉัน_ต้อง_ฝันร้าย_ทุกๆวัน

ความหวาดกลัว ระทึกขวัญ

ความลึกลับ ฝันร้าย

ความสิ้นหวัง

[ตัวเอก เยคาเทริน่า]

[เลเวล 6]

แฮชแท็กอันเดียวกันกับที่ฉันได้เห็นเหนือตัวของเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นก็อยู่ที่หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าของฉันเช่นกัน

“ทั้งหมดนี้มันอะไรกันเนี่ย? มีตัวเอกสองคนงั้นเหรอ?”

แต่เท่าที่ฉันรู้มา เมื่อมันมีตัวเอกมากกว่าหนึ่งคนในโลกใบเดียวกัน โลกใบนั้นจะเข้าสู่บทส่งท้ายนิ

<มันมีเพียงตัวเอกแค่คนเดียวอยู่ในโลกใบนี้ค่ะ>

<อย่างไรก็ตาม คนๆนี้ได้กลายมาเป็นสองเนื่องมาจากความบิดเบี้ยวของช่วงเวลาค่ะ>

‘อะไรนะ?’

ฉันได้ตรวจสอบไปยังชื่อและเลเวลอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะมีชื่อเดียวกัน แต่เลเวลของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของฉันนั้นต่ำจนหน้าใจหาย เธอดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก เธอไม่ได้แม้แต่จะมีเลเวลเท่ากับคนทั่วไปโดยเฉลี่ยด้วยซ้ำ

ไม่สิ มันยังมีคำถามอย่างอื่นนอกเหนือไปจากนั้นอยู่อีก

“เธอ เธอรู้ชื่อของฉันได้ยังไงกัน?”

แม้ว่าเธอจะมีเลเวลเพียงแค่หกเท่านั้นแต่ฉันก็ไม่เคยที่จะลดการ์ดของตัวเองลงเพราะว่าตัวฉันเองก็เป็นคนที่ได้ล่าพวกตัวเอกด้วยร่างกายที่มีระดับต่ำมาแล้วบ่อยครั้ง เธอจับไปที่หัวที่สั่นเทาของเธอและร้องไห้ออกมา แล้วก็ค่อยๆไหลลงไปกองกับพื้น

ชั้นด้านล่างนั้นมีขนาดที่กว้างเป็นอย่างมาก เสียงกรี๊ดร้องของเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นไม่สามารถที่จะได้ยินอีกต่อไป หญิงสาวนามว่าเยคาเทริน่าคนนี้ค่อยๆสูดหายใจเข้าไปลึกๆและมองตรงมาที่ฉัน

“ฉันรู้มันอย่างไม่มีทางเลือก ฉันเคยเห็นนาย”

“อะไรนะ? นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจอฉันเองนะ”

“ไม่หรอก มันเป็นครั้งแรกของนายต่างหากที่เจอฉัน”

“ที่เธอกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่?”

เธอเซไปมาจากจุดที่เธอนั่งและค่อยๆเอื้อมมาที่ฉัน ฉันพยายามที่จะชี้ดาบอีเทอร์ออกไปเพราะฉันกำลังสงสัยว่าเธอกำลังพยายามที่จะโจมตีตนเอง แต่เยคาเทริน่ากลับดูซวนเซไปมาแถมมือยืดมือออกมาก็ดูมีท่าทางไร้การป้องกันอย่างน่าประหลาด แต่จิตใจของฉันกลับตกอยู่ในความสับสนเพราะว่าเธอดูเหมือนว่าจะกำลังร้องของความช่วยเหลือจากฉัน

“ยูซอดัม ฮันเตอร์ยูซอดัม ฉันอยากจะเจอกับนายจริงๆ”

“เธอเป็นใครกันแน่?”

“ฉันเป็นนักพยากรณ์เพียงคนเดียวที่อยู่บนโลกใบนี้ เยคาเทริน่า”

“อะไรนะ?”

พึ่งจะตอนนี้เท่านั้นเองที่ฉันจดจำชื่อ เยคาเทริน่าได้ ไม่ใช่ว่านี้เป็นชื่อนิยมใช้กันของคนรัสเซียหรอกหรือ? มันเป็นชื่อที่ดูน่ารักและงดงามจนมันกลายเป็นชื่อที่ได้รับความนิยม เยคาเทริน่า

“เธอ อืม เป็นมนุษย์โลกใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว พูดอย่างกับว่านายไม่ใช่งั้นแหละ”

“ฉันก็เป็นมนุษย์เหมือนกันแต่…ไม่มีทางน่า นี่เป็นที่โลกงั้นเหรอ?”

ก่อนที่ฉันจะได้รู้ตัว เยคาเทริน่าก็ได้เอื้อมมือของเธอมาแตะที่แก้มของฉัน มันเป็นการสัมผัสที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังปนความหวาดระแวงราวกับว่าเธออยากจะเช็คดูให้แน่ใจว่าฉันเป็นเรื่องจริงหรือไม่

“ไม่ ที่นี่อยู่ในความฝันของฉัน…เพราะงั้นฉันขอถามหน่อยได้ไหม นายเขามาที่นี่ได้ยังไงกัน?”

“เออ…ก็แค่ผ่านทางมา”

“ผ่านทางมา? ถ้างั้นนายก็รู้ว่าจะเข้าและออกจากที่นี้ได้ยังไงสินะ?”

“ฉันรู้ทำไมเหรอ?”

“หา หา หา หา หา!”

เมื่อคำพูดของฉันหลุดออกจากปากไป เยคาเทริน่าก็ได้จับแขนของฉันไว้ด้วยแขนเล็กๆที่ผอมแห้งของเธอและตะโกนออกมาด้วยความสิ้นหวัง

“เยี่ยมไปเลย ถ้างั้นก็พาฉันออกไปจากที่นี่ที! ได้โปรดเถอะฉันขอร้อง! ฉันไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว! เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นมันพยายามที่ฆ่าฉัน”

อย่างไรก็ตามคำพูดของเธอฟังดูแปลกเป็นอย่างมากสำหรับตัวฉัน

“ถ้าหากว่าเธอกำลังพูดถึงเจ้ามอนสเตอร์ตัวเมื่อกี้นี่นั้นมันก็เธอในอนาคตไม่ใช่หรือไง?”

ทำไมตัวเธอในอนาคตถึงได้พยายามที่จะทำร้ายตัวเธอเองในอดีตกัน?