<ลองมองดูไปที่สกิลพิพิธภัณฑ์แห่งฝันร้ายของตัวเอก เยคาเทริน่าสิค่ะ>

<ว่าเงื่อนไขการเปิดใช้งานของมันคือตอนที่เธอหลับนะคะ>

<ในทันทีที่เธอหลับสนิท เธอจะอัญเชิญโลกใบนี้ขึ้นมาค่ะ>

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขของการ ‘หลับ’ ก็เป็นปัญหาดัวยตัวของมันเองอยู่แล้ว

<สมมุติฐานว่าตายก็นับเป็นส่วนหนึ่งของ ‘การหลับ’ เช่นกันค่ะ>

<แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกันหละค่ะถ้าหากว่าส่วนนี้ตกไปสู่การหลับไหลชั่วนิรันดร์หละคะ?>

‘เธอก็จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกตลอดไป’

<ใช่แล้วค่ะ เธอจะติดอยู่ที่นี้ตลอดไป>

แต่นั้นไม่ได้ถือเป็นจุดจบของเรื่อง

<แล้วแถม แกนเวลาของโลกนี้ก็ยังบิดเบี้ยวเนื่องมาจากความเป็นไปที่ได้ที่มากเกินไปซึ่งเป็นผลมาจาก

ความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของแม่มดด้วยค่ะ>

<ทำให้ทั้งอดีตและอนาคตถูกผสมรวมเข้าไปไว้ด้วยกัน>

<นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแม่มดคนนี้ที่มาจากอนาคตที่ได้สูญเสียร่างกายของเธอและตกลงไปสู่การหลับไหลชั่วนิรันดร์ กับตัวตนของแม่มดคนนี้ในอดีตที่ยังไม่ได้สูญเสียร่างกายของเธอไปถึงสามารถที่จะอยู่รวมกันภายในสถานที่แห่งนี้ได้ค่ะ>

(ผู้แปล : น่าจะอารมณ์ประมาณว่าเยคาริน่าในอนาคตได้ตายลงไปก็เลยติดพิพิธภัณฑ์นี้แล้วพอเยคาเทริน่าคนปัจจุบันใช่งานความสามารถนี้ก็เลยเจอกับตัวของเยคาเทริน่าจากอนาคตที่ติดอยู่ที่นี่ด้วยนะครับ น่าจะเป็นอย่างนี้มั้งครับ 555)

<บางที ในโลกใบนี้หากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ต่อไปมันก็คงจะไม่พังทลายไปเช่นกันค่ะ>

<เพราะว่านี้ก็คือว่าเป็นบทส่งท้ายของเรื่องด้วยตัวมันเองอยู่แล้วค่ะ>

แม่มดในอดีตที่ได้เสียชีวิตลงในที่สุดและกลายมาเป็นแม่มดในอนาคต แล้วจากนั้นตัวเธอเองก็ได้เซาะแสวงหาตัวของแม่มดในอดีตเพื่อเรียกคืนร่างกายของตนเองคืนมา และแม่มดในอดีตคนนี้เองก็จะกลายมาเป็นแม่มดในอนาคตในเวลาที่เหมาะสมหลังจากที่เธอได้ตายลงไปในขณะที่วิ่งหนีการไล่ล่าไปตลอดทั้งชีวิตของเธอ

มันจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำกันไปมานั้นครั้งไม่ถ้วน

นี้เป็นจุดจบที่ไม่มีวันสิ้นสุดของโลกใบนี้

การตายไม่ใช่ทางออก

มันไม่มีทางเลยสำหรับเยคาเทริน่าที่จะออกไปจากที่นี้ได้

“…จริงหรือค่ะ?”

เยคาเทริน่าถามฉันด้วยดวงตาที่สั่นไหว เธอกำลังหวาดกลัว เธอไม่สามารถที่จะทำใจเชื่อลงได้เลยว่าเจ้ามอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงกลัวและขนลุกซูชั่นเมื่อได้เห็นตัวนี้จะเป็นตัวของเธอเองในอนาคต ร่างกายของเธอสั่นไหวราวกับว่าเป็นใบไม้ที่ปลิวไปตามสายลม เธอดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก

ฉันไม่ได้ล่าตัวเอกมาก็นานพอดูแต่เธอคนนี้เป็นตัวละครที่ดูไม่ปกติมากที่สุดท่ามกลางตัวเอกทั้งหมดที่ฉันได้เจอ

เธอไม่ได้เป็นตัวตนที่ฉันจำเป็นจะต้องล่า

“ล-แล้วฉันควรจะทำอะไรต่อดี?”

มันเป็นโชคชะตาของเธอที่จะต้องเร่รอนไปรอบๆพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไปชั่วนิรันดร์

มันเป็นไปไม่ได้แม้แต่จะตายในโลกแห่งความฝันนี้ ฉันไม่สามารถที่จะฆ่าเยคาเทริน่าได้เช่นกัน แม้ว่าฉันจะยิงไปที่หัวของเธอเป็นร้อยๆนัดด้วยปืนที่ฉันมี เธอก็จะตื่นขึ้นมาและกลับไปยังสถานที่ที่เธอได้ตกลงสู่ห้วงแห่งนิททราจากที่โลกแห่งความเป็นจริงอยู่ดี

“อืมมมม…”

ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมานั่งคิดมากเรื่องช่วยเยคาเทริน่าออกไปจากที่นี้เลย ในเมื่อเธอเป็นตัวเอกของที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มันก็ไม่ได้ผิดอะไรหากว่าฉันตัดสินใจที่จะฆ่าเธอที่นี่แต่ว่ามันจะไปได้อะไรกันหละจากการล่าตัวเอกที่มีเลเวลเพียงแค่ 6 เท่านั้นเอง? มันคงจะดีกว่าที่จะล่าเยคาเทริน่าเลเวล 500 จากในอนาคตแต่ว่านั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไปจัดการกับเจ้าสัตว์ประหลาดแม่มดจากอนาคตตัวนั้นลงได้อีกอยู่ดีนั้นแหละ

สุดท้ายแล้วทางเลือกเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ของฉันก็คงเป็นต้องจ่ายอายุขัยของตัวเองบางส่วน เพื่อออกไปจากพิพิธภัณฑ์แห่งฝันร้ายนี้

‘…นอกจากนี้แล้ว…มันก็น่าเสียดายเกินไปที่จะฆ่าเธอเพราะว่าเธอเป็นผู้พยากรณ์เพียงแค่คนเดียวที่โลกมีอยู่’

ถ้าหากว่าเขาหยุดวงจรของฝันร้ายนี่และช่วยชีวิตของเยคาเทริน่าเอาไว้ คนจากกิลด์โมเรียนจะให้อะไรตอบแทนฉันบ้างไหมน้า?

“เธอมีตำแหน่งสูงแค่ไหนกันในกิลด์โมเรียน? เป็นผู้บริหารรึป่าว? หรือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง? หรือเป็นแขกผู้ทรงเกียรติหละ?”

เธอเป็นถึงนักพยากรณ์เพราะงั้นเขาเลยคิดว่าเธอจะต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแน่นอน

“…ไม่ ฉันนะได้รับการปฏิบัติเพียงแค่ราวกับว่าตัวเองเป็นเครื่องหยอดเหรียญในกิลด์เท่านั้นเอง”

“อะไรนะ?”

“นับตั้งแต่ที่ฉันได้ปลุกพลังอำนาจในการพยากรณ์ขึ้นมาในตอนที่อายุเพียงแค่สิบสี่ปี ฉันไม่เคยที่จะได้ก้าวออกไปข้างนอกอีกเลย มีเครื่องรางจำนวนมากถูกติดตั้งเอาไว้รอบตัวฉันมันเป็นคุกที่อยู่ในชื่อของอุปกรณ์ป้องกันตัวฉันเท่านั้นเอง และยังมีเหล่าฮันเตอร์หญิงอีกนับไม่ถ้วนที่คอยจับตาฉันอยู่”

“จริงดิ? คนพวกนั้นปฏิบัติกับผู้พยากรณ์อย่างนี้จริงดิ?”

“…ใช่แล้ว”

เธอกำมือของตนแน่นด้วยความโกรธ

“ถ้าหากว่าฉันสามารถที่จะใช้ ‘เวทมนตร์’ ได้อย่างเธอหละก็…”

“เวทมนตร์?”

มันเป็นคิดที่ฉันไม่ได้คาดไว้เลยว่าจะได้ยินจากใครสักคนที่อยู่บนโลก

แล้ว ข้อความบางอย่างจากคุณลูกค้าก็ได้เด้งขึ้นมา

<ฉันวิเคราะห์ได้ไว้แล้วค่ะว่าทำไมพวกเราถึงได้มาอยู่ในมิตินี้กัน>

<สกิล ‘ห้องสมุดของแม่มดขาว’ ของคุณและสกิล ‘พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งฝันร้าย’ ของเธอได้ถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเนื่องจากว่ามันมาจากโลกประเภทเดียวกันค่ะ นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราสามารถที่จะมาโผล่ที่นี้ได้ค่ะ>

‘…อย่างนี้นี่เอง’

ห้องสมุดของแม่มดขาวก็เป็นหนึ่งในโลกแห่งจิตของแม่มดเหมือนกันกับที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะนี้เป็นเช่นกัน เนื่องจากว่ามันเป็นโลกแห่งจิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของแม่มด ดังนั้นพวกเราเลยมาติดอยู่ที่นี้เพราะว่าเงื่อนไขของมาตรการหลบหลีฉุกเฉินคือมิติที่ ‘ใกล้ที่สุด’

หืม เดี่ยวกันนะ

‘มิติทั้งสองเชื่อมต่อกันงั้นหรือ?’

<ใช่แล้วค่ะ>

“เธอพาฉันมาที่นี้เพราะว่าฉันมีโอกาส 90% ที่จะล่าตัวเอกคนนี้ลงได้สำเร็จใช่ไหม?”

<ถ้าหากวิเคราะห์ตามหลักของ ‘โชคชะตา’ แล้วคุณมีโอกาสที่จะล่าตัวเอกคนนี้สำเร็จอยู่ที่ 99% ค่ะ>

ฉันกลืนน้ำลายของตัวเองลงไปและมองขึ้นมา

“เปิดใช้งานห้องสมุดของแม่มดข่าว”

แล้ว ก็เหมือนกับปกติ ประตูของห้องสมุดแม่มดขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของฉัน มันก็ดูปกติดีเหมือนอย่างทุกครั้งที่เรียกใช้งาน แต่มันจะเป็นเรื่องปกติจริงๆหากว่ามีเพียงแค่ตัวฉันเองคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมองเห็นมันได้เนื่องจากว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจฉันในขณะที่คนอื่นมองมันไม่เห็น

“หะ….หา?”

เยคาเทริน่าที่อยู่กับฉันอีกคนก็สามารถที่จะมองเห็นห้องสมุดของแม่มดขาวที่ถูกอัญเชิญขึ้นมาได้ เยคาเทริน่าเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

“นี้มันประตูบ้าอะไรกันคะเนี่ย?”

“นี้เป็นทางหนีของพวกเรา”

“ค่ะ?”

อย่างไรก็ตาม เจ้าประตูนี้เป็นส่วนที่แสดงออกให้เห็นถึงโลกในจิตใจของตัวฉันเอง

เยคาเทริน่าจะเข้าไปได้ไหมนะ? ฉันถามคำถามกับเธอด้วยความไม่แน่ใจ

“ลองแตะประตูหน่อยสิ”

“หืมม ฉันนุ่มจัง”

เยคาเทริน่าสามารถที่จะแตะห้องสมุดของแม่มดขาวที่ฉันมีได้ในทันทีที่ฉันได้ยืนยันเรื่องนั้น ฉันก็ได้เปิดประตูและเผยให้เห็นด้านใน

“โอ้ว ว้าว อู้ววววว!”

เมื่อได้เห็นสถานที่ที่ลึกลับแห่งนี้ เยคาเทริน่าได้เดินตรงไปด้านหน้าในขณะที่ได้อุทานออกมา

“เยคาเทริน่า นั้นเป็นทางออกไง”

“อะไรนะ? ที่ไหน?”

เธอเข้าไปสู่ห้องสมุดแห่งนี้และได้กลิ่นของหนังสือพวกนั้น มันดูเหมือนว่าที่นี้จะมืดกว่าทุกวัน เยคาทาริน่ามองโดยรอบห้องสมุดแห่งนี้โดยที่อ้าปากค้าง และดูเหมือนว่าเธอจะอยากวิ่งไปที่ไหนสักที่ในตอนนี้เลย แต่ก่อนหน้าที่เธอจะได้ทำแบบนั้นมันมีบางสิ่งที่ต้องเคลียร์ให้ชัดเจนกับเธอก่อน

“เยคาเทริน่า ถ้าหากว่าเธอได้ปิดประตูนี้ลงไปแล้ว เธอจะไม่สามารถกลับไปยังพิพิธภัณฑ์นั้นได้อีกแล้วนะ”

“…อ้า!”

“และ บางทีตัวเธอเองก็อาจที่จะสูญเสียความสามารถในการพยากรณ์ของเธอ ความสามารถทั้งหมดของเธอในการทำแบบนั้นด้วย”

นั้นก็ถูกแล้ว

แม้แต่ในตอนนี้เอง ที่ฉันสามารถที่จะพูดออกไปแบบนั้นได้นะเป็นเพราะว่าคุณลูกค้าที่รักของฉันได้ส่งข้อความมาให้ฉันอย่างต่อเนื่อง

<นั้นเป็นทางเลือกที่ดีค่ะ>

<ในโลกแห่งนั้นช่วงเวลาจะเกิดขึ้นซ้ำไม่มีที่สิ้นสุด ถึงอย่างนั้นก็เถอะถ้าหากว่าคุณส่งวัตถุที่ตกอยู่ในห้วงเวลาเช่นนี้ไปยังมิติอื่น หากทำแบบนั้นแล้วลูปจะหยุดลงและบทส่งท้ายจะหยุดลงไปหละค่ะ>

<นี้จะถูกนับว่าเป็นการตายของตัวเองเช่นกันค่ะ>

<ในจังหวะที่ตัวเอกคนนั้นได้ไปยังโลกใบอื่นแล้ว คนๆนั้นก็จะสูญเสียความสามารถในการเป็นตัวเอกไปในตอนนั้นเลยค่ะ>

ความสามารถในการเห็นอนาคตได้อย่างชัดเจนเป็นการแลกเปลี่ยนสำหรับการที่ตัวเองต้องตกอยู่ในฝันร้ายที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนั้น อย่างไรก็ตามหากว่าเธอวิ่งหนีไปจากพิพิธภัณฑ์นั้นแล้วเธอจะสูญเสียความสามารถของการเป็นตัวเอกไป หรือในกรณีของเธอก็คงจะเป็นความสามารถใน ‘การพยากรณ์’ ที่จะต้องเสียไป เยคาเทริน่าจะโอเคกับเรื่องนี้รึป่าวนะ? นั้นเลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงได้ต้องถามเธอก่อน

“ฉ-ฉันนะ…ฉันนะหวังให้มันเป็นแบบนี้มาตลอดทั้งชีวิตของฉันเลยหละ”

นับตั้งแต่วันแรกที่เธอได้ปลุกความสามารถพิเศษของตัวเองขึ้นมาในตอนที่อายุได้สิบสี่ปี เธอก็ถูกใช้งานเหมือนกับว่าตัวเป็นเพียงเครื่องจักรแห่งการพยากรณ์มาโดยตลอด ที่ชีวิตของเธอยังดีอยู่ได้ก็เพราะตนเองสามารถที่จะดึงเอาคำพยากรณ์ออกมาได้เท่านั้นเอง

“แต่ว่าฉันไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว”

เธอพูดออกมาในขณะที่เธอมองตรงมาที่ฉันด้วยประกายจากดวงตาที่ชัดเจนราวกับว่าเป็นลูกแก้ว

“ฉันนะต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุขนับตั้งแต่ที่ฉันได้รับความสามารถในการพยากรณ์ที่ทำให้มาเห็นได้ถึงอดีตและอนาคตได้นี้มา แต่ถ้าหากว่าฉันสามารถที่จะเปิดดวงตาของตัวเองได้อีกครั้งและได้เห็นสิ่งต่างๆด้วยดวงตาคู่นี้อย่างชัดเจนแล้ว ฉันมั่นใจว่าฉันคงเลือกที่ขายจะวิญญาณของตัวเองได้อย่างไม่ลังเลเลย”

“ครับ ครับ คร้าบบบ…แต่ว่า”

“อะไรหรือคะ?”

บางทีเหตุผลที่เธอพูดออกมาว่า ‘ฉันมั่นใจว่าฉันคงเลือกที่จะขายวิญญาณของตัวเองได้อย่างไม่ลังเลเลย’ ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่แน่วแน่ของเธอเอง

“เธอต้องการที่จะขายวิญญาณของเธอจริงๆใช่ไหม?”

“….คะ?”

ฉันต้องอธิบายอีกครั้งหนึ่งเมื่อดูเหมือนว่าเยคาเทริน่าจะดูเขินอายที่เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“พิพิธภัณฑ์ศิลปะเป็นโลกแห่งจินตนาการของเธอ และฉันก็อยู่ในโลกแห่งจินตนาการของเธอ แต่กับสถานที่ที่เธอยืนอยู่ในตอนนี้มันเป็นโลกในจินตนาการของฉันในอีกความหมายหนึ่งก็คือเธอจะกลายมาเป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใจของฉัน”

“ค่ะ ค่ะ”

“ถ้าหากว่าเธอวิ่งหนีไปจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้และเข้ามาอยู่ในห้องสมุดของฉันแทน มันหมายความว่าจิตวิญญาณของเธอจะต้องติดอยู่ในจิตใจของฉันตลอดไป”

ใช่แล้วเธอไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร เธอทำอย่างนั้นได้งั้นไงกัน? ฉันพูดพร้อมกับที่ฝามือของฉันกดลงไปที่ประตูของห้องสมุดนี้เบาๆ

“จากวินาทีที่ฉันได้ปิดประตูนี้ลง เธอจะเข้ามาสู่โลกของฉันในขณะที่เธอหลับอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าฉันต้องการที่จะล็อคประตูของห้องสมุดแห่งนี้เอาไว้เธอก็จะไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้เลยอีกต่อไปหรือไม่ฉันก็อาจจะทรมานเธอไว้ที่นี้ก็ได้ พูดอีกอย่างก็คือมันหมายความได้ว่าชีวิตของเธอต่อจากนี้จะถูกผูกไว้กับฉัน แล้วเธอนะมั่นใจแล้วหรือพร้อมที่จะละทิ้งพลังอำนาจในการพยากรณ์ของตนเองลงและยอมขายวิญญาณของตัวเองให้กับฉัน?”

อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวของเยคาเทริน่าแล้วดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้มีความกังวลเรื่องพวกนี้อยู่ในใจเธอเลยทั้งแต่แรก

“ฉันไม่ได้สนใจว่านายจะเป็นปีศาจหรือป่าวหรอกนะยังไงซะที่พิพิธภัณฑ์นั้นก็นรก ฉันนะตกอยู่ในนรกนี้ในทุกๆวันอยู่แล้ว แล้วมันจะไปมีอะไรแย่กว่านี้หรือไงกัน?”

แตะ แตะ

เยคาเทริน่าเดินเข้าหาประตูและปิดมันด้วยตัวของเธอเอง

เธอหันหน้าของเธอ มองมาที่ฉันและยิ้มมาที่ฉันอย่างสดใส

“ในตอนนี้ ฉันจะไม่ต้องฝันร้ายอีกต่อไปแล้ว”

[วิญญาณของตัวเอก เยคาเทริน่าได้ถูกเพิ่มเข้าไปในสกิล ‘ห้องสมุดของแม่มดขาว (E)’ ของคุณ]

[คุณประสบความสำเร็จในการล่าตัวเอกเลเวล 6]

[เนื่องจากการล่าตัวเอกด้วยวิธีการที่พิเศษเป็นอย่างมาก เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น 1]

[ 60 วันของอายุขัยได้ถูกเพิ่มเข้ามา]

[อายุขัยคงเหลือ : 4,697 วัน 14 ชั่วโมง 28 นาที]

[เนื่องจากตัวเอกไม่ได้ตาย คุณไม่สามารถที่จะดูดกลืนพรสวรรค์และทักษะของตัวเอกได้]

เธอปิดประตูโดยไม่ลังเลเลยสักนิดได้ยังไงกัน? ถ้าหากว่าการกระทำบางอย่างของตัวฉันเองอาจจะทำให้ชีวิตของฉันตกอยู่ในอันตรายแล้วหละก็ ฉันคงจะต้องใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่กลับเธอแล้ว เธอเป็นคนที่มีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญถึงขนาดที่ว่าฉันยังมีไม่เท่าเธอเลย เธอทำในหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันไม่กล้าทำ

เธอยิ้มออกมาและก้าวเท้าลึกเข้าไปในห้องสมุดแห่งนี้

“ที่นี่ดูดีมากเลย ขอฉันเดินดูรอบๆหน่อยได้ไหม?”

แล้วในตอนที่เธอเดินไปรอบห้องสมุดแห่งนี้ด้วยย่างก้าวที่แผ่วเบา ทั้งใดนั้นเธอก็ได้หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาและเปิดมันออก

แต่ในทันทีหลังจากนั้นเธอถึงกับตกตะลึงไป

“หา!?!? นี้มันหนังสือเวทมนตร์งั้นเหรอ?”

“อ่าหะ มันคือหนังสือเวทมนตร์”

“ไม่มีทางน่า! หนังสือทุกเล่มที่นี่…?”

“อ่าหะๆ ทุกเล่มนั้นแหละ”

ขณะที่เธอมองไปรอบๆห้องสมุดขนาดยักษ์แห่งนี้ด้วยปากที่เปิดกว้างออก ทันใดนั้นเธอก็ได้ฝั่งหัวของตัวเองลงไปที่หนังสือที่เธอได้หยิบออกมาแล้วเธอก็มองผ่านหนังสือเล่มนั้นไปและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สับสนว่า

“นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย หนังสือของที่นี้มันไม่สามารถจะนำไปเทียบกับหนังสือเวทที่ฉันเคยเห็นจากที่อื่นมากก่อนได้เลย”

คิดๆดูแล้ว เหล่าคนที่ใช้เวทมนตร์ที่โลกก็ยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลยนิ ฉันเดาว่าคนพวกนั้นคงจะไม่กล้าที่จะเปิดเผยตนเองออกมาหรือไปก็ต้องเป็นเพราะเหตุผลอะไรสักอย่างเป็นแน่

‘ถ้างั้นพวกสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ที่ฉันเคยได้เห็นเมื่อตอนนั้นก็คงจะมาจากกิลด์โมเรียนใช่ไหมนะ?’

มันยำเตือนให้ฉันคิดไปถึงอารอน คนที่มีสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์จำนวนมากถึงเจ็ดชิ้นที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของใครบางคนถึงแม้ว่าระดับของสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นจะแย่จนเข้าขั้นน่าสะพรึงกลัว แต่ความจริงในเรื่องที่ฉันได้เห็นสิ่งประดิษฐ์พวกนี้บนโลกก็ค่อนข้างที่จะสร้างความประหลาดใจให้กับฉันได้ไม่น้อย ฉันสามารถที่จะค้นหาต้นต่อของเวทมนตร์นี้ได้เร็วกว่าที่คิดไว้ซะอีก

“ด้วยเล่มนี้ เล่มนี้ และก็เล่มนี้ด้วย หนังสือพวกนี้อาจจะทำให้ฉันสามารถหนีจากในโลกของความเป็นจริงได้ก็ได้นะ”

เยคาเทริน่ามองมาที่ฉันด้วยดวงตาที่สั่นไหว

“ขอฉันอ่านหนังสือเวทมนตร์ที่นี่ได้ไหมคะ ขอร้องนะคะ?”

“ไม่มีปัญหา เธอสามารถที่จะเข้าและออกไปจากที่นี้ได้เมื่อไหรก็ตามตลอดทั้งชีวิตของเธอและเดียวเธอก็จะอ่านมันจนเบื่อไปเองแหละ”

จิตวิญญาณของเยคาเทริน่าอยู่กับฉันแล้วในตอนนี้ ดังนั้นฉันไม่กลัวเลยว่าความลับของเวทมนตร์ที่นี่จะลั่วไหลออกไป

“โอ้ ว้าว อุ้ววว”

เธอก้มหัวลงเมื่อได้รับคำอนุญาตจากฉัน นี่เธอตื่นเต้นเกินไปจนอุทานคำพวกนั้นออกมาเลยงั้นเหรอ? ฉันหละสงสัยว่ามันเป็นแบบนั้นใช่ไหมนะ?

ไฟ!

“หืมมมมมม?”

ไข่มุกเวทย์สีแดงปรากฏขึ้นมาเหนือหัวของเธอและเริ่มที่จะเผาไหม้ เยคาเทริน่าสามารถที่จะร่ายเวทมนตร์ได้สำเร็จในระยะเวลาอันสั้น!

“ม-มันเป็นเวทมนตร์! มันเป็นเวทมนตร์! เย้! ฉันกำลังใช้เวทมนตร์อยู่จริงๆ!”

ฉันประหลาดใจเสียยิ่งว่าที่เธอประหลาดใจหลังจากที่ได้ใช้เวทมนตร์ระดับต่ำออกมาเสียอีก นี่มันโอเคแล้วใช่ไหมกับการที่เป็นเผ่าพันธ์แม่มดแสดงอารมน์ประหลาดใจออกมากับเวทมนตร์ระดับแค่นี้?

<เธอได้รับการสืบทอดด้วยสายเลือดแม่มดที่บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก ดังนั้นทั้งอารมณ์ความรู้สึกจากความเป็นมนุษย์ของเธอและความสามารถของแม่มดเลยโดดเด่นอย่างน่าทึ่ง แต่เธอกลับถูกบังคับให้รับการสืบทอดพลังอำนาจการพยากรณ์และไม่สามารถที่จะใช้เวทมนตร์ได้แทนค่ะ>

<ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าพลังทั้งหมดของเธอก็ใช้ในการเติมเต็มคำพยากรณ์แทนค่ะ>

แต่ในตอนนี้ ความสามารถในการพยากรณ์ของเธอได้หายไปแล้ว

พรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ของเธอซึ่งทั้งล้นหลามและรุนแรงกว่าคนอื่นเสียอีกจึงได้ระเบิดออกมา!

หลังจากนั้น เธอก็ได้นั่งลงไปที่พื้น ลืมไปด้วยซ้ำว่าฉันเองก็อยู่ที่นี่ด้วยและเริ่มอ่านหนังสือเวทมนตร์ต่อไปอย่างเหม่อลอย หลังจากที่มองดูเธอเป็นเวลานาน ฉันได้มองไปที่อากาศอีกครั้ง

“กลับกันเถอะ”

[ย้อนกลับไปยังโลกเดิมโดยการบรรลุเป้าหมาย]

โลกใบนี้เริ่มที่จะสลายหายไป

[การเลือกตำแหน่งย้อนกลับไปสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตามที่ใจต้องการในทันทีหลังจากที่ได้มาตรการหลบหนีฉุกเฉินได้รับการใช้งาน]

“เถือกเขาหิมาลัย ณ จุดที่ชอนมา ซอลจองยอนอยู่”

[อายุขัย 30 ปีจะถูกหักออกไปเพิ่มเติม]

“โอเค”

ฉันได้จบเรื่องของตัวเอกในโลกนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

ในตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องไปจบเรื่องของตัวเอกในโลกยุคปัจจุบันเสียที