ผ่านไปเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้นเองนับตั้งแต่ที่เหตุการณ์ในงานคอนเสิร์ตของเฮโลนี่ได้เกิดขึ้น

อีดงจุนปรากฏตัวขึ้นที่ใจกลางของเทือกเขาหิมาลัย ในเทือกเขาแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งพอที่จะอยู่รอดในสภาพภูมิอากาศที่โหดร้ายซึ่งมนุษย์ไม่อาจที่จะทนไหวเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ ส่วนตัวของอีดงจุนเองก็ใส่เพียงแค่ชุดนักสู้สีดำเท่านั้น

แน่นอนว่ามันไม่ได้บอกว่าชุดที่เขาใส่อยู่นี้เป็นเพียงแค่ชุดธรรดมาทั่วๆไป ชุดๆนี้ถูกเรียกว่า เกียรยองบก มันชุดต่อสู้ที่ทำมาจากเกล็ดมังกร เป็นชุดพิเศษที่จะทำให้ผู้ที่สวมใส่มันรู้สึกสะดวกสบายในทุกๆสภาวะอุณหถูมิ

“……”

นัยน์ตาสีดำของเขาจ้องมองไปยังสิ่งต่างๆโดยรอบตัวของตนเอง

ในครั้งนี้ การเดินทางของเขาไม่ได้ง่ายดังเช่นครั้งก่อนๆเป็นเพราะว่านักรบจากมูริมจำนวนมากและเหล่าผู้คนจากโลกที่ถูกดึงดูดความสนใจไปยังผู้คนจากมูริมหลังจากที่ได้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวแปลกของพวกเขาในช่วงนี้

เทคโนโลยีการเฝ้าระวังของโลกมนุษย์นั้นเหนือไปกว่าของที่มูริมมากนัก และมันคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะเก็บซ่อนร่องรอยของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ในกรณีที่คนบนโลกตัดสินใจที่จะค้นหาพวกเขาอย่างจริงจัง

แล้วไม่ใช่ว่าอีดงจุนไปกลับจากเกาหลีและหิมาลัยเป็นประจำหรือไง?

ก็นะ มันเป็นไปได้สำหรับตัวเขาเองเท่านั้นที่จะมายังที่นี้ได้โดยที่ปราศจากการต่อสู้ใดๆหรือถูกกล้องตรวจจับได้ นั้นเป็นเพราะว่าเขาคืออีดงจุน เขาเป็นปรมาจารย์ที่ได้ไปถึงขอบเขตของชินฮวาแล้ว

ในขณะที่เขาก้าวเข้าไปยังเทือกเขาที่โหมกระหน่ำไปด้วยพายุหิมะ อีดงจุนเริ่มที่จะนึกย้อนไปถึงอดีตของตนเอง

มันเป็นความทรงจำจากอดีตที่ห่างไกล

เป็นความทรงจำในช่วงเวลาที่เขาได้รับร่างกายของเดอมาร์และสืบทอดเจตจำนงของเดอมาร์เพื่อที่จะสอนสั่งความยุติธรรมไปสู่ผู้คนทั่วทั้งมูริม

‘โลกนี้นะเน่าเฟะไปแล้ว เป็นที่ๆทุกคนได้สูญเสียควาชอบธรรมไป คนพวกนี้ต่อสู้กับกับอีกฝ่ายโดยที่ได้คิดถึงความเป็นอยู่ที่ดีของคนอื่นๆเลย,หยาดเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว,ดินแดนเองก็ถูกเหยียบย่ำ…แล้วใครกันหละที่จะแสดงให้โลกใบนี้ได้เห็นถึงความชอบธรรมได้กัน?’

นั้นเป็นช่วงที่เขากำลังหมกมุ่นกับความยุติธรรม

ศิลปะการต่อสู้ที่เขาได้รับการสืบทอดมาจากเดอมาร์เป็นสิ่งที่ทรงพลัง เขาคิดว่าเขาสามารถที่จะปัดเป่าความสับสนวุ่นวายในมูริมจากการคอรัปชันทุกรูปแบบได้ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจที่จะจับดาบของตนและกวาดล้างทั่วทั้งมูริมเพื่อที่จะตีตราความยุติธรรมไปทั่วทุกที่

อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือว่าเขาได้ทำให้เกิดจากนองเลือดมากเกินไป

ในตอนแรก มันเป็นตัวของอีดงจุนเองที่ได้ละเว้นจากการฆ่าตามประสงค์ของพุทธ แต่ว่าหลังจากที่เขาได้รับรู้ว่าเหล่าคนที่เขาได้ช่วยเหลือกลับมาล้างแค้นตัวเขาเอง เขาก็เริ่มที่จะล่าสังหารทุกๆคนที่สามารถจะกลายมาเป็นเมล็ดพันธ์แห่งความชั่วร้ายได้

เดอมาร์เคยแนะนำไว้ว่า

– จงละเว้นการฆ่า

เขาไม่ฟัง

– คนตายนะไม่หลั่งเลือดอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจะหลั่งน้ำตาได้ยังไงกันหละในเมื่อพวกเขาตายไปแล้ว

เขาไม่ฟัง

– จิตใจนะเป็นสิ่งที่ควบคุมตัวเจ้าเอาไว้และเป็นศัตรูตัวฉกาจของเจ้า เพราะงั้นพอเถอะ

เขาก็ยังไม่ฟัง

อีดงจุนยังคงทำการสังหารหมู่อย่างต่อเนื่อง เขาเชื่อว่าหากความชั่วร้ายทั้งหมดถูกสังหารสิ้นแล้ว มูริมจะกลายมาเป็นสถานที่ที่สงบสุขในทันที ดังนั้นเขาเลยฆ่าคนที่ทำสิ่งต่างๆที่ชั่วร้ายและผู้คนที่มีสัญญาณว่าจะกลายมาเป็นความชั่วร้าย

เมื่อ 10,000 ชีวิตถูกสังหารไปเช่นนั้น ทำให้มีเพียงแค่ความว่าเปล่าเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่ในจิตใจของอีดงจุน

– แล้ว โลกกลายมาเป็นสถานที่ที่สงบสุขไหมหละ?

‘เพราะพวกเราคิดในสิ่งที่ดีมันก็นับว่าเป็นกรรมดีและเมื่อเราคิดในสิ่งที่ชั่วร้ายมันก็นับว่าเป็นกรรมเลว’

– คนโง่นะอยากที่จะหมดทุกข์และได้รับการนิพพาน แต่เพราะว่าเขานะหมกมุ่นกับการหมดทุกข์มากเหินไป เขาเลยไม่สามารถที่จะนิพพานได้ เจ้านะหมกมุ่นกับความยุติธรรมมากเกินไปเพราะงั้นแล้วเจ้าไม่สามารถที่จะมองเห็นถึงความยุติธรรมได้อีกต่อไป

‘กิเลสมิใช่ความจริง ฉันนะไม่ได้หมกมุ่นกับความยุติธรรมอีกต่อไป ฉันได้กลายมาเป็นความยุติธรรมด้วยตัวฉันเองแล้ว’

เขาฆ่าหัวหน้าโจรพร้อมกับครอบครัวอีกหลายสิบคนของโจรคนนั้น

เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยกับครอบครัวที่ชั่วร้ายนี้

เขาฆ่าเด็กที่กำลังร้องไห้เพราะว่าเด็กคนนั้นได้ขโมยของพร้อมกับพ่อของตน

เขาฆ่าแม่ไปพร้อมกับลูกเพียงเพราะว่าสามีของเธอเป็นฆาตกร และเธอปิดปากเงียบเอาไว้แม้ว่าเธอจะรู้บาปที่สามีของตนได้กระทำเอาไว้

ความตายไม่นับว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา

เขายังคงฆ่าต่อไปอย่างต่อเนื่อง เขาฆ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาฆ่าทุกสิ่งทุกอย่าง

แล้ว ในจังหวะที่เขาคิดว่าตนเกือบที่จะกำจัดความชั่วร้ายในมูริมไปหมดสิ้นแล้วนั้น…

เขาก็ได้เจอกับเธอ…

‘…มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า กับความจริงที่ว่าความฝันของฉันเองนั้นช่างไร้สาระมากนัก’

เธอคือซอลจองยอน คนที่เป็นที่รู้จักกันในนามของชอนมา

เธอเป็นหัวหน้าของกลุ่มที่เป็นผู้นำของความชั่วร้ายเลวทรามมากมายที่มีนามว่านิกายชอนมา มันเป็นแหล่งที่มาของความชั่วร้ายที่อาจจะปะทุออกมาสู่มูริมในอีกไม่นาน

ชอนจองยอนไม่อาจที่จะยอมอยู่นิ่งเฉยให้กับความตายของตนเองได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พร้อมที่จะตายไปอย่างมีเกียรติ

‘ถ้าหากว่าฉันรู้ว่าตนเองจะต้องตายไปอย่างนี้หละก็ มันคงจะดีเสียกว่าที่ถูกกลบฝั่งแล้วตายลงไปภายใต้หิมะตั้งแต่วันนั้น’

นี้เพราะว่าเธอไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่นานกว่านี้อีกต่อไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอรู้จักได้พังทลายลงและกลายเป็นฝุ่นผงไปหมดสิ้น

ในตอนนี้หลังจากเขาฆ่าเธอลง อีดงจุนก็จะสำเร็จความพยายามทั้งหมดของตน

ความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกใบนี้จะได้รับการพิพากษาและนั้นก็หมายความว่าโลกที่ใสสะอาดกำลังคอยเขาอยู่หลังจากนี้

อย่างไรก็ตาม

ทำไมกัน?

มองไปที่น้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาสีชมพูของชอลจองยอน อีดงจุนไม่สามารถที่จะยกดาบของตนเองขึ้นมาได้

ซอลจองยอน เธอเป็นคนที่แข็งแกร่งและเฉลียวฉลาดยิ่งกว่าใครๆที่เขาเคยได้เจอมา นอกจากนี้ดวงตาสีชมพูของเขาก็ยังทำให้เขานึกถึงดอกบัวสีชมพูที่กำลังเบ่งบานอยู่กลางพื้นหิมะ พวกมันเป็นคู่ของนัยน์ตาที่สวยงามซึ่งสามารถจะสั่นไหวหัวใจพระสูตรของเขาได้

เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น

– โอ้ ช่างเป็นโศกนาฏกรรมเสียจริง

เดอมาร์สูงสุดลังเลใจ

เดอมาร์สูงสุดที่มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อการจำจัดความชั่วร้ายในหมดสิ้นไป ได้ตกหลุมรักกับหญิงสาวที่ชั่วร้ายที่สุดที่เขาเคยได้พบเจอมาก่อนที่จะมาถึงจุดสุดท้ายของเส้นทางการเดินทางของเขาเช่นนี้ โลกใบนี้คงจะหัวเราะเยาะเย้ยให้กับสิ่งที่เขาคิดเป็นแน่

กาลละครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เขามีความมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรมาสั่นไหวหัวใจของตนเองได้ หลังจากที่ได้เกิดใหม่มาเป็นเดอมาร์ หัวใจของเขาก็หนักแน่นกว่า กึมกังซ็อก เสียอีก ไม่มีอะไรที่จะมากวนใจเขาได้อีกต่อไป

แต่ว่า

ตึก!

ดวงตาของซอลจองยอนได้หลอมละลายหัวใจของเดอมาร์

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอะไร?

เกี่ยวกับหัวใจของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ตายลงไปเพื่อคนที่เขารัก

ทำเขาจะไม่รู้?

กับความจริงที่ว่าความรักนะช่างแสนเจ็บปวด

– เจ้าจะเลือกทางไหนหละ?

‘…ฉันทำมันไม่ได้’

– นับจากตอนที่เจ้าช่วยชีวิตเธอไว้ เจ้าจะทำให้วิญญาณของคนทั้งหมดที่เจ้าได้ฆ่าลงไปเพื่อไล่ตามสิ่งที่เรียกว่า ‘ความยุติธรรม’ มีมลทินนะ

‘ฉันรู้ดี แต่ฉันก็ยัง…ไม่สามารถที่จะฆ่าเธอได้อยู่ดี’

– หากว่าเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะไม่มีวันเงยหน้าของตนเองขึ้นมาต่อหน้าของคนที่เจ้าได้ฆ่าไปในนามของความยุติธรรมอีกต่อไป!

อย่างไรก็ตาม เขาได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว

‘คนตายไม่มีแม้แต่เลือดหรือวิญญาณเหลืออยู่ดังนั้นแล้วทำไมฉันต้องไปก้มหัวต่อหน้าพวกเขาด้วยหละ’

ในท้ายที่สุด เขาตัดสินใจที่จะช่วยซอลจองยอนเอาไว้ แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลย

ความชั่วร้ายได้หมุนเวียนไปทั่วทั้งโลกและทำให้โลกมูริมเป็นมลทินอีกครั้ง มูริมที่กลับมาสู่ความชั่วร้ายอีกครั้งและพวกเขาก็ต้องการที่จะให้ชอนมาและเดอมาร์หายไปจากโลกแห่งนี้

‘กลับไปที่โลกกันเถอะ’

ด้วยเหตุผลนั้นเอง เดอมาร์ได้ตัดสินใจที่จะกลับไปยังโลกและวางข้อห้ามไว้บนผู้คนที่ได้กลับไปยังโลกพร้อมกับเขา แต่ว่าซอลจองยอนได้ปฏิเสธ

‘หลังจากที่แกลากฉันออกมาจากหลุมศพที่เต็มไปด้วยความฝันที่พังทลายของฉันแล้ว ในตอนแกยังพยายาที่จะทำลายเกียรติสุดท้ายที่เหลืออยู่ฉันด้วยงั้นสินะ’

‘เธอก็ยังมีชีวิตอยู่นิ เธอสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ด้วยชีวิตที่ยังเหลืออยู่ เพราะงั้นมาที่โลกกับฉันเถอะ’

‘ลมหายใจฉันอาจจะยังอยู่ที่นี่ก็จริงแต่ว่าจริงวิญญาณของฉันได้ถูกฉีกกระฉากเป็นชิ้นๆไปตั้งนานแล้ว นี้แกยังจะบอกว่านี้เรียกว่ามีชีวิตงั้นหรือ?’

ซอลจองยอนพยายามที่จะจบชีวิตของตัวเธอเองลงและในท้ายที่สุดอีดงจุนก็ได้บังคับทำลายคิภายในร่างของเธอและใช้บางอย่างหยุดเธอจาการทำร้ายตัวเธอเอง เพราะงั้นเธอเลยได้ขังเธอไว้ในเทือกเขาหิมาลัย

เมื่อไหรก็ตามที่เขาได้เห็นดวงตาของเธอซึ่งไม่มีอื่นใดอยู่เลยนอกไปจากความขุ่นเคือง หัวใจของเขาก็จะรู้สึกเจ็บปวด หากว่าเธอขอมันแล้วหละก็ เขามั่นใจได้เลยว่าเขาสามารถที่จะเอาโลกทั้งใบมาวางได้แทบเท้าเธอได้เลย

อย่างไรก็ตดี เธอไม่ได้ต้องการอะไรเลย

‘มันมีแค่อย่างเดียวเท่านั้นแหละที่ฉันต้องการ! ฉันอยากให้แกหยุดหายใจและก็ตายๆไปซะ’

เธอไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากความสิ้นหวังของตัวเองได้แม้ว่าจะผ่านไปแล้วสี่ปีหลังจากที่ได้กลับมาที่โลกก็ตาม ชอนมากลับแหลกสลายมากขึ้นเรื่อยๆ

มันไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้ของอะไรกับเขาเลยในช่วงที่ผ่านมา

บางครั้งเธอก็ขอให้เขาฆ่าเธอลงเสียและบางครั้งเธอก็ขอร้องให้เดอมาร์อนุญาตในเธอใช้พลังของเองได้ อย่างไรก็ตามเขาได้ปฏิเสธคำขอร้องทั้งหมดนั้นไป ไม่ใช่แค่ว่าเขาไม่สามารถที่จะฆ่าเธอได้เท่านั้นแต่เพื่อที่จะออกไปด้านนอกชอนมาจะต้องให้คำสานบานกับเขาก่อน

‘ถ้าหากว่าเธอกลายมาเป็นผู้หญิงของฉันแล้ว ฉันจะพาเธอออกไป’

มันไม่ง่ายเลย

กับทัศนคติของซอลจองยอนซึ่งมีเพียงแต่ความเย็นชาเท่านั้นเอง ไม่ได้แสดงออกมาแม้แต่สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงใดๆเลยแม้แต่น้อย

แต่ว่า…

ทัศนคติของเธอเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปที่ละเล็กที่ละน้อย

‘วันนี้ฉันอยากที่จะกินเชอร์สีแดงสดอะ’

‘มันมีนกเกือกม้าอยู่บนโลกรึป่าวน้า? ฉันจำมันไม่ได้เลยมันคงจะดีนะหากว่าฉันได้เห็นมันสักครั้ง’

อะไรกันที่ทำให้ความคิดของเธอเปลี่ยนแปลงไป? เหตุผลนั้นไม่มีใครรู้เลยแต่ว่ารอยยิ้มค่อยๆเริ่มที่จะเบ่งบานบนใบหน้าของซอลจองยอน มันเป็นรอยยิ้มแรกที่เขาเคยได้เห็นจากเธอเลยและมันก็งดงามมากยิ่งกว่าสิ่งใดๆที่อยู่บนใบโลกนี้

เขามีความสุขเพราะว่าเธอยิ้มออกมา

ดังนั้นอีดงจุนวิ่งพล่านไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อที่จะหาสิ่งไหนก็ตามที่เธอต้องการมาให้ เขายอมรับความเสี่ยงของการที่จะถูกเปิดเผยตัวตนจากบัญชีของสมาคมฮันเตอร์ เขาได้ทำงานอยู่ในมุมมืดด้วยการใช้นามแฝงในชื่อของฮงยอบซา ด้วยเหตุนั้นเองที่ทำให้ความสามารถของตัวเขาเองถูกเปิดเผยออกสู่สาธารณชนแต่โชคยังดีที่ตัวตนของเขายังไม่ได้ถูกเปิดเผย

‘ยูซอดัม…ถ้าไม่ได้เป็นเพราะมันหละก็’

คืนวันอันผาสุกคงจะยังอยู่กับเขา รวมกันกับซอลจองยอนและลูกสาวของเขาชินฮเยจี พวกเขาคงจะได้เป็นคนธรรมดาพร้อมกับอนาคตที่มีความสุขต่อไป

แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้พังทลายลงไป

‘มันโอเคๆ สิ่งที่ฉันต้องการก็แค่ให้เธอมองมาที่ฉันเท่านั้น’

แม้ว่าคนทั้งโลกจะหันหลังให้กับเขา เขายังคงพอใจอยู่ดีตราบใดที่คนที่เขารักยังอยู่ข้างเขา บางทีเพียงแค่เรื่องนั้นอย่างเดียวก็เรียกได้ว่าเป็นนิยายของความสุขสำหรับเขาแล้ว

ในขณะที่กำลังคิดเช่นนั้นเอง เขาเกือบที่จะไปถึงกระท่อมที่ชอนมาอยู่แล้ว

ครื้น ครื้น!!

อีดงจุนหยุดฝีเท้าของตนเองลงเนื่องจากเสียงที่มาจากที่ไหนสักที่

ในทันใดหลังจากนั้น

เขาสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงร่องรอยของ ‘ข้อห้าม’ ทั้งหมดโดยรอบที่นี้ได้สั่นไหวขึ้นพร้อมกัน

แล้วหิมะก็ได้หยุดลง

“ก็อะไรขึ้น?”

มันมีหิมะตกลงมาในทุกๆวันที่นี่ในเทือกเขาหิมาลัย มันเป็นเพราะว่ามอนสเตอร์แรงค์ SSS ‘สโนวบิงแบง’ ที่เข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริงเนื่องมากจากการหลอมรวมกันของดันเจี้ยนกับโลกเมื่อหลายสิบปีก่อน ด้วยพลังอำนาจของอีดงจุน มันเป็นไปได้ที่จะทำให้สภาพอากาศในเทือกเขาแห่งนี้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมด้วยการฆ่าเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ลงแต่ว่าเขาไม่ได้ทำมัน เพราะว่าตัวตนของสโนวบิงแบงก็เหมือนกับเป็นคุกในกับชอนมาสำหรับเขา

ครื้น ครื้น….

ก้อนเมฆสีดำทะมึนพร้อมด้วยเสียงของฟ้าร้องและประกายสายฟ้าได้เคลื่อนเข้ามาแต่ถึงอย่างนั้นหิมะก็ไม่ได้ตกลงมา

‘ไม่มีทางน่า มีใครบางคนฆ่าสโนวบิงแบกไปงั้นหรือ?’

ในตอนนั้นเองที่เขามีเกิดความสงสัยเช่นกัน อีดงจุนขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสได้ถึงความกดดันในอากาศที่อยู่โดยรอบเขา

นักรบหลายสิบหรือไม่ก็หลายร้อยคนจากมูริมได้มารวมตัวกันที่นี่!

‘…ได้ไง?’

ไม่มีนักรบจากมูริมสักคนที่สามารถจะไล่ตามอีดงจุนได้ แม้แต่วิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันก็ไม่สามารถที่จะจับตัวเขาได้

‘นี้มันบ้าอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?’

เขาดึงดาบของตนเองออกมาในทันที ร่างของคนหลายร้อยคนได้ปรากฏออกมาจากทุกๆด้าน

คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนมีหน้าตาที่คุ้นเคยสำหรับเขาเพราะว่ามันเป็นตัวเขาเองที่ได้วางข้อห้ามลงไปที่ตัวของคนพวกนี้

ข้อห้ามได้สั่นไหว ตอนนี้เท่านั้นเองที่อีดงจุนได้รู้ถึงสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่และถึงกับคิ้วขมวด

“เดอมาร์! นับตั้งแต่นี้ในสหพันธมิตรมูริมขอประกาศอย่างเป็นเอกฉันท์เลยว่าเจ้าจะเป็นศัตรูที่มิอาจอยู่ใต้ผืนฟ้าเดียวกับได้อีกต่อไปแล้ว จงยอมรับความตายของเจ้าซะดีๆ”

กอมฮี ฮาซุนยังที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดได้พูดออกมา เธอจ้องไปที่อีดงจุนด้วยในหน้าที่ตึงเครียด ต่อจากนั้นเหล่าผู้คนจากมูริมก็ค่อยๆตะโกนออกมาทีละคน

“เดอมาร์! แกจำได้ไหมว่าแกได้ตัดแขนลูกชายคนที่เจ็ดของข้าไปเพียงเพราะเขาแค่ขโมยของแล้วแกยังขว้างมันได้ยังกองขยะอีกด้วยนะ? ข้าหัวหน้ากลุ่มของซาชอนดังมุน มาที่นี่ก็เพื่อแก้แค้นในกับลูกชายของข้า”

“เดอมาร์ หลังจากที่แกได้ทำลายครอบครัวของฉันไปแล้ว แกเคยจำได้บางไหมว่าแกตัดหัวของพวกเขาแล้วทิ้งไว้ในกลางเมืองนะ? ฉันอยากถามแกจริงๆเลย ว่าบาปของพวกเขามันหนักหนามากขนาดที่ต้องลงมือโหดร้ายถึงเพียงนี้กับพวกเขาเชียวหรือ?”

“เดอมาร์ ไอ้สารเลวชาติหมาเอ้ย! ฉันต้องทำงานอย่างหนักที่ไซต์ก่อสร้างหลังจากที่แกได้ปิดผนึกมูกงของฉันไว้ แต่แก แกกลับไปทำตัวเป็นฮีโร่อยู่งั้นสินะ! ขอให้ฟ้าดินเป็นพยาน วันนี้ฉันจะฆ่าแกเองไม้ชาติชั่วเอ้ย”

“เดอมาร์สูงสุด!”

“เดอมาร์!”

“เดอมาร์!”

ที่ละคนๆ พวกเขาเหล่านี้เริ่มที่จะระบายความเคียดอัดอันตันใจที่ตนเองมีต่อเดอมาร์ออกมา

มันเป็นความแค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุดและเดอมาร์ที่ได้แต่ยอมรับความแค้นจากนักรบของมูริมทั้งหลายร้อยคนนี้อย่างไม่มีทางเลือก และมองกลับไปที่พวกเขาด้วยสีหน้าที่เย็นชา

‘สุดท้ายก็เป็นแบบนี้งั้นสินะ?’

ณ ศูนย์กลางของความเคียดแค้นนับไม่ถ้วนจากผู้คนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อเขาทั้งหมด อีดงจุนรู้สึกได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่แน่นอนที่อยู่ในใจของเขาเอง มันเป็นความโดดเดียว

เขาได้อุทิศทั้งชีวิตของตัวเองเพื่อนำพาความยุติธรรม แต่ในท้ายที่สุดเพียงสิ่งที่เดียวที่เขาได้รับกลับมาก็คือความเคียดแค้นเช่นนี้

‘มันไร้ประโยชน์สิ้นดี’

เพื่อจุดประสงค์ของความยุติธรรมของเขางั้นเหรอ? เขาต่อสู้ไปเพื่ออะไรกับแน่?

ทำไมคนพวกนี้ถึงได้ระเบิดความโกรธแค้นของตัวเองออกมาเพียงเพราะว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจถึงความยุติธรรมของเขาและไม่สามารถที่จะก้าวผ่านความโกรธแค้นของตัวเองได้กัน? หากว่าคนพวกนี้เปิดตาของตัวเองให้กว้างขึ้นอีกหน่อยและมองไปที่ภาพรวมแล้ว พวกเขาก็คงจะสามารถเห็นได้ว่ามันดีกว่าและสะอาดกว่าสำหรับโลกนิน่า!

แต่ก็นะ มันก็ยังโอเค

‘ฉันต้องการแค่เพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจในตัวฉัน’

อีดงจุนจ้องมองไปที่กระท้อมที่อยู่ห่างออกไป

เอี้ยดดดด!

ประตูของกระท่อมหลังนั้นได้เปิดออกมา และซอลจองยอนได้ก้าวออกมาพร้อมกับเส้นผมสีแพลตตินั่มที่สว่างไสวของเธอ

ชอนมา ซอลจองยอน หนึ่งเดียวสำหรับเขาและเป็นผู้หญิงคนเดียวคนนั้น

เธอก้าวออกมาจากกระท่อมด้วยท่วงท่าที่สง่างามไม่เหมือนกับการภาพลักษณ์ของเธอในปกติ เธอสวมใส่เสื้อผ้าที่ประณีตซึ่งไม่เคยแสดงให้ใครได้เห็นมาก่อน มันมีร่อยรอยของเส้นผมสีชมพูแทรกอยู่ในเส้นผมสีแพลตตินั่มของเธอ มันเป็นชุดที่เหมาะสมกับชื่อของซอลจองยอนมากกว่าชอนมาสูงสุด

เธอค่อยๆเงยหน้าของตนเองขึ้นมาอย่างช้าๆและสบตากับอีดงจุน

อย่างไรก็ตาม บางสิ่งบางอย่างกับแปลกไปจากเคย

“…ซอลจองยอน??”

สวยตาของเธอเย็นชาเป็นอย่างมาก

เธอจ้องมากที่เขาด้วยสีหน้าแบบเดียวกันกับผู้คนชาวมูริมที่อยู่โดยรอบ

ซอลจองยอนมองมาที่เขาในขณะที่กำลังคิดเกี่ยวกับบางสิ่งอยู่ในใจ แล้วเธอก็หันไปมองรอบๆด้วยรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าและมองไปยังกระท่อม

แล้วจากด้านในของกระท่อมนั้นเอง…

ยูซอดัมได้เดินออกมา เขาสวมใส่ชุดสไตล์จีนสีดำและชุดต่อสู้สีขาว ดวงตาของอีดงจุนสั่นไหวด้วยความตกตะลึง

ชุดต่อสู้ที่ยูซอดัมใส่อยู่ ไม่ใช่ชุดนั้นเป็นชุดที่เขาซื้อให้กับชอนมาเป็นของขวัญหรอกหรือ?

แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าก็สิ่งที่พวกเขากำลังจะทำต่อจากนี้

ยูซอดัมก้าวไปบนพื้นหิมะในขณะที่เขาเดินตรงไปยังซอลจองยอน แล้วเขาก็ค่อยๆอ้อมมือของตนเองไปโอบไว้รอบเอวของเธอ มันราวกับว่าพวกเขาทั้งคู่เป็นคนรักที่อยู่ด้วยกันมาเนินนาน

“อะไรนะ!?”

ตึบ!

หัวใจของอีดงจุนเต้นอย่างบ้าคลั่ง

‘นี่ฉันกำลังมองดูอะไรอยู่กันแน่?’

เขาไม่เข้าใจมันเลย

เขาไม่สามารถที่จะยอมรับความจริงนี้ได้

ตึบ ตึบ

– ใจเย็น ทำให้ในสงบเดียวนี้!

[ความสงบของตัวเอกกำลังสั่นคลอนเป็นอย่างมาก]

[ผลลัพธ์ของสกิลหัวใจพระสูตร (SSS) ลดลง!]

[อารมณ์ความรู้สึกกำลังสั่นไหว]

[ผลลัพธ์ของสกิลธรรมสูตร (SSS) ลดลง!]

– รักษาความสงบของเจ้าไว้สิ!

ตึบ! ตึบ!

-ไม่งั้นแล้ว ธรรมสูตรจะ…!

เสียงที่มาจากที่ไหนสักที่ในหัวของเดอมาร์พยายามที่จะทำให้อีดงจุนสงบลง แต่ว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยเมื่อชอนมาได้เปิดริมฝีปาดสีชมพูของเธอขึ้น

“ฉันขอโทษนะ เดอมาร์”

“…เธอขอโทษอะไรกัน?”

ซอลจองยอนให้คำตอบกับเดอมาร์ด้วยการกระทำของเธอเองแทนที่จะตอบกลับไป เธอยืดมือของตนเองไปทางแก้มของยูซอดัมและยิ้มออกมา

เดอมาร์ไม่เคยได้เห็นเธอยิ้มแบบนี้มาก่อนเลย เธอไม่เคยที่จะแสดงให้เขาเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นนั้นเลยสักครั้งเดียว

แล้วเธอก็จูบกับชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอ

“ฟู…มันดีจริงๆ”

แล้วเธอก็ผละริมฝีปากออกมาและปล่อยลมหายใจอุ่นๆออกไป เธอค่อยๆหันหน้าไปทางเดอมาร์อย่างช้าๆในขณะที่มือทั้งสองข้างของเธอยังคงพาดอยู่รอบคอของยูซอดัม

ด้วยน้ำเสียงที่งดงามราวกับว่าเป็นดอกบัว เธอได้พูดออกมาด้วยความตั้งใจอันแนวแน่ว่า

“ฉันนะรักชายคนนี้ และฉันจะอยู่กับเขาได้ตลอดทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของฉันเอง”

แคร็ก!!

การประกาศออกมาของเธอได้พังทลายบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ด้านในของเดอมาร์ลง