ตอนที่ 235 กลางคืนจะหายดี การต่อสู้จะหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น (4)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 235 กลางคืนจะหายดี การต่อสู้จะหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น (4)

ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลมั่วกล่าวเสริมการสนทนาอย่างน่ากลัว “หัวหน้าตระกูลกล่าวได้ถูกต้อง เด็กสาวผู้นี้จะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไร มอบเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ให้บุรุษทำจะเหมาะสมกว่า”

ผู้อาวุโสรองก็พยักหน้า “สตรีควรอยู่ในเรือนชานทำงานเย็บปักถักร้อย ทำสิ่งที่ควรจะทำ ถึงจะเป็นแบบอย่างที่ดี” น้ำเสียงเต็มไปด้วยคำสั่งและการข่มขู่

พอมั่วเชียนเสวี่ยเข้ามา พวกเขาสองสามคนก็กล่าวดูแคลนนางอยู่ก่อนแล้ว บ้างก็ว่ายังเป็นเด็กสาวที่ไม่ถึงวัยปักปิ่น ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก จะไปเข้าใจอะไร พูดคำพูดดีๆ ก่อน แล้วค่อยขู่ ต้องโทษที่นางแยกแยะดีชั่วไม่ได้ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ต้องเกรงใจ

หัวหน้าตระกูลกล่าวเปิดประเด็น เหล่าผู้อาวุโสล้วนคล้อยตามอย่างน่าไม่อาย

มั่วจื่อฮว่าและมั่วจื่อเยี่ยก็คอยสนับสนุนอยู่ข้างๆ คนหนึ่งพูดว่า ‘เมื่อน้องเสวี่ยได้รับคำสั่งจะต้องทำตามอย่างแน่นอน’ อีกคนพูด ‘น้องเสวี่ยมีเรื่องอันใดก็พูดออกมาตามตรง’

มีเพียงมั่วจื่อถังเท่านั้นที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้าง มิกล่าวสิ่งใด ท่าทางอ่อนโยนของเขาราวกับกำลังดูแคลนพี่น้องสองคนนั้น น่าเสียดายที่มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่เด็กสาวที่โง่เขลาในสายตาของพวกเขาคนนั้นอีกแล้ว นางมองดูท่าทางของคนเหล่านั้น และจดจำเอาไว้ในใจ

ผ่านประสบการณ์อันโชกโชนมาจากชาติที่แล้ว เห็นธุรกิจระดับสูงทุกรูปแบบมาหมดแล้ว ทุกงานที่ได้เรียนรู้ได้เห็นและได้คิด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับคนที่อายุมากกว่าเหล่านี้ ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย

พอหัวหน้าตระกูลพูดขึ้นมา นางก็รู้แล้วว่าคำพูดเหล่านี้ล้วนเหลวไหล หาสาระอันใดมิได้

หากนางยังนับญาติ เรียกว่าท่านลุง ถือว่าเป็นญาติผู้ใหญ่

รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่เช่นนี้ หากไม่เชื่อฟังแม้นเพียงน้อยนิด พวกเขาก็จะโทษนางว่าไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่

แม้ว่าตอนนี้นางจะเป็นคนตระกูลมั่ว แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางนั้นคือคุณหนูของจวนกั๋วกง ตราบใดที่ไม่นับเป็นญาติผู้ใหญ่ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ใช้สายสัมพันธ์ครอบครัวมาจัดการนาง ยิ่งไปกว่านั้น มั่วเหนียงก็ยังเคยบอกว่า พ่อของนางไม่เคยเรียกหัวหน้าตระกูลตระกูลมั่วว่าพี่เลย เขาเรียกเพียงว่าหัวหน้าตระกูล

แม้แต่บิดาของนางก็ยังไม่นับญาติกับพวกเขา!

ยังจะพูดว่า ‘มีเรื่องก็ให้เขาเป็นผู้นำ มอบให้พี่ชายที่ไม่เอาไหนสามคนนั่นไปทำ’ มองผิวเผินเหมือนจะช่วยนาง แต่ความจริงแล้วก็ทำเพื่อให้นางสละสิทธิ์การสืบทอดบรรดาศักดิ์ในจวนกั๋วกงเอง

ท่าทางของนาง ดูเหมือนคนโง่ที่ให้คนหลอกได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ

ดูท่าหากนางไม่สั่งสอนพวกเขาสักหน่อย พวกเขาก็คงไม่รู้ว่าที่นี่ใครใหญ่

อย่างไรก็ตามมารยาทที่นางควรมีต่อหัวหน้าตระกูลตระกูลมั่ว และเหล่าผู้อาวุโสนางก็มีให้ไปอย่างเต็มที่แล้ว ตอนนี้ หากพูดจาหยาบคายกับนางอีก อย่าได้คิดว่านางจะไม่ตอกกลับ

สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยแลดูเคร่งขรึมทันที “เรื่องของจ๋วนกั๋วกงก็คือเรื่องของเชียนเสวี่ย ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลมั่ว ต่อไปหัวหน้าตระกูลมั่วได้โปรดอย่าพูดจาคลุมเครือเช่นนี้อีก” ความหมายของคำพูดนี้นั้นชัดเจนยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ปฏิเสธการช่วยเหลือจากพี่ชายทั้งสามตามที่หัวหน้าตระกูลอ้างถึง แต่ยังเป็นการปฏิเสธไม่ให้หัวหน้าตระกูลมีช่องว่างเข้ามาแทรกแซงสิทธิเรื่องในจวนกั๋วกงอีกด้วย

หัวหน้าตระกูลตระกูลมั่วรู้สึกอับอายจนเกิดเป็นโทสะ “ดีมากมั่วเชียนเสวี่ย หากแม้นพ่อเจ้าอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่กล้าแสดงท่าทางกับข้าเช่นนี้เลย เจ้านี่มัน…ช่างไร้มารยาทจริงๆ”

มั่วเชียนเสวี่ยที่เห็นว่าเขาโกรธแล้ว จึงยิ้มเหยียดหยันเล็กน้อย “เชียนเสวี่ยมิได้กล่าววาจาไร้มารยาทกับหัวหน้าตระกูลแต่อย่างใด เหตุใดหัวหน้าตระกูลถึงกล่าวเยี่ยงนี้เจ้าคะ”

จะให้ร้ายนางด้วยโทษนี้ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ไม้อ่อนใช้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องใช้ไม้แข็งแล้ว เด็กคนนี้ใจเสาะมาตั้งแต่เล็กๆ สามารถเอาชีวิตรอดมาจากท้องพระโรงได้ ก็น่าจะเป็นเพราะว่าฝ่าบาทเห็นแก่อำนาจทางการทหารเหล่านั้นกับคุณงามความดีของมั่วเทียนฟ่างเมื่อก่อนนี้ ถึงได้ไว้ชีวิตนางสักครั้งกระมัง

“เจ้าเป็นเพียงสตรี จะมีความสามารถไปสืบทอดบรรดาศักดิ์ได้เยี่ยงไร ช่างเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี”

หัวหน้าตระกูลมั่วหมดความอดทนแล้ว “รอให้ผ่านไปเจ็ดวัน เจ้าก็ค่อยถวายฎีกาให้ฝ่าบาท บอกว่าเจ้าเป็นเพียงสตรีที่อ่อนแอ ไม่มีเวลามาดูแลเรื่องต่างๆ ภายในจวนกั๋วกง จึงขอมอบบรรดาศักดิ์ให้แก่ตระกูลมั่ว ข้าจะหาตระกูลดีๆ ให้เจ้า และจะเตรียมสินเดิมไว้ให้เจ้าอีก เจ้าก็แค่ใช้ชีวิตไปอย่างไร้กังวลไปวันๆ ก็พอแล้ว”

“บรรดาศักดิ์เป็นสิ่งที่ท่านพ่อเหลือเอาไว้ให้ เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทพระราชทานไว้ให้ เชียนเสวี่ยไม่มีสิทธิ์มอบมันให้แก่ผู้อื่น หัวหน้าตระกูลต้องการให้เชียนเสวี่ยเป็นคนอกตัญญูหรือเจ้าคะ หรือต้องการให้เชียนเสวี่ยลบหลู่ฝ่าบาท” เขากล้าตราหน้าว่ากล่าว นางเองก็ทำเป็นเหมือนกัน

“จะว่าไปแล้ว แม้ว่าจวนกั๋วกงของข้าจะมีแซ่มั่ว แต่กลับเกี่ยวข้องกับหัวหน้าตระกูลเล็กน้อย จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องให้หัวหน้าตระกูลจัดเตรียมสินเดิมไว้ให้” เขาอยากให้นางพึ่งพาเหล่าผู้อาวุโสอยู่ตลอด แต่นางเองก็กลับปฏิเสธอยู่ตลอด

“ดื้อด้าน!” เหล่าผู้อาวุโสเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่เชื่อฟัง จึงตบโต๊ะพลางลุกขึ้นตะคอกใส่ “ก็แค่เด็กน้อยตัวเล็กๆ ไม่ประสีประสาอะไร กล้าดีอย่างไรมาโต้แย้งกับหัวหน้าตระกูลอย่างโจ่งแจ้งเยี่ยงนี้ เจ้าให้ความสำคัญกับกฎของตระกูลบ้างหรือไม่”

“คนที่ดื้อด้านก็คือพวกท่าน! กฎหมายของบ้านเมืองใหญ่หรือว่ากฎของตระกูลใหญ่! ไม่มีชาติบ้านเมืองแล้วจะมีตระกูลได้เยี่ยงไร ที่นี่คือจวนกั๋วกง เป็นที่ที่จะพูดถึงเรื่องกฎหมายของบ้านเมืองไม่ใช่จวนตระกูลมั่วของพวกท่านที่จะใช้ศาลเตี้ยมาลงโทษ และยกตนข่มท่านได้ตามอำเภอใจ”

มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มเหยียดหยันอย่างดูแคลน ใบหน้าของนางราวกับปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งอันเย็นเยียบอีกชั้นหนึ่งซึ่งมันแผ่ความหนาวเย็นออกมาในขณะที่หน้าผากของนางยังคงพันผ้าพันแผลเอาไว้

คิดว่ากั๋วกงไม่อยู่แล้ว นางจะสิ้นไร้ไม้ตอ ปล่อยให้พวกเขาควบคุมคุมได้อย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ! นางคือมั่วเชียนเสวี่ยที่เข้มแข็งไม่อ่อนแอ!

ใครที่ทำดีกับนาง นางจะทำดีกับคนผู้นั้นคืนเป็นสิบเท่า

สอดคล้องกับความดีให้เก็บรักษาไว้ในใจ หากคนอื่นไม่ล้ำเส้นจนเกินไป ครั้งแรกนางยังยิ้มออก ครั้งที่สองนางต้องคิดบัญชี แต่หากมีครั้งที่สาม ต่อให้คนผู้นั้นมีอำนาจมากเพียงใดนางก็จะไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด

“เจ้า…” นึกไม่ถึงว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไม่ให้เกียรติถึงเพียงนี้ เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลโกรธถึงขีดสุดอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

เกี่ยวกับอำนาจของกษัตริย์ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงพลเรือน เขาจะพูดอะไรหรือกล้าพูดอะไรได้

หัวหน้าตระกูลมั่วเห็นว่าการเจรจามาสู่ทางตัน จึงตบโต๊ะไปหนึ่งฉาด พลางตะคอก “มั่วเชียนเสวี่ย เจ้าพูดจาอวดดีเช่นนี้ มิกลัวข้าจะขับไล่เจ้าออกจากตระกูลมั่วหรืออย่างไร”

“ขับไล่ออกจากตระกูลมั่ว?” นึกว่าทำลายตระกูลอะไร ตระกูลนี้มีเกียรติอะไรบ้าง ถึงเขาไม่ขับไล่นางออกจากตระกูลไป นางเองก็อยากจะประกาศออกไปให้ทั่วแว่นแคว้นว่านางตัดสายสัมพันธ์กับตระกูลมั่วแล้ว

เพียงแค่โลกแปลกประหลาด และกฎของตระกูลที่โกลาหลวุ่นวายนี้! ทำให้นางทำอย่างที่คิดไม่ได้

“หัวหน้าตระกูลมั่ว ท่านคิดว่าข้าโง่ถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าการลอบสังหารข้าเมื่อเดือนแปดของปีที่แล้วกับสองสามวันก่อนล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือท่านอย่างนั้นหรือ ข้าไม่เอาความท่านนั่นก็เพราะว่ายังนึกถึงความปรารถนาดีของท่านพ่อที่มีต่อท่าน แต่ท่านอย่าได้ไม่รู้จักดีชั่ว”

หัวหน้าตระกูลมั่วมองไปที่เด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้า เห็นได้ชัดว่านางคือเด็กสาวใสซื่อที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น แต่รัศมีที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของนาง ช่างคารมคมคายปราดเปรื่อง คาดไม่ถึงเลยจริงๆ

สายตาที่มั่วเชียนเสวี่ยมองกลับมา และหัวข้อการสนทนาที่เฉียบแหลมดั่งมีด กดดันเขาจนแทบจะพูดอะไรไม่ออก เขาทำเรื่องเหล่านั้นอย่างลับๆ นางจะรู้ได้อย่างไร

เหตุใดนางถึงรู้ได้นะ แล้วนางไม่รู้อะไรบ้าง

ความเหน็บหนาวแผ่ออกมาจากหัวใจของหัวหน้าตระกูลมั่ว บรรยากาศในห้องโถงเงียบสงัดไปชั่วขณะ แม้ว่าการลอบสังหารทั้งสองครั้งนั้นทุกคนจะรู้แก่ใจดี แต่พอพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่มิอาจทนได้

มากกว่าคนอื่นๆ นอกจากหัวหน้าตระกูลมั่วจะรู้สึกตื่นตระหนกและเหน็บหนาวในหัวใจแล้ว เขายังรู้สึกไม่พอใจที่เห็นเนื้อชิ้นใหญ่ที่อยู่ในมือหลุดลอยไปอีก นางจะต้องคาดเดาเป็นแน่ หากนางมีหลักฐานมายืนยันจริงๆ คงจะรายงานต่อฝ่าบาทไปนานแล้ว จะมามัวพูดคุยกับเขาไปทำไม

สตรีผู้นี้ ปล่อยเอาไว้ไม่ได้!

เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าตระกูลมั่วมั่นใจได้ไม่เต็มที่ “เจ้ามาพูดจาเหลวไหลอะไรที่นี่”

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าสีหน้าของเขาแลดูซับซ้อน ยิ่งทำให้นางมั่นใจว่ามือสังหารเหล่านั้นเป็นเขาที่ส่งไป นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ “ข้าพูดจาเหลวไหลหรือไม่นั้น ใจท่านรู้ดีที่สุด ทุกคนในที่นี้ก็เช่นกัน”

เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ที่นี่กระแอมออกมาอย่างไม่ตั้งใจเล็กน้อย ทำให้สติของหัวหน้าตระกูลมั่วกลับคืนมา ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องมาโต้เถียงถึงเรื่องนี้ ถ้าโต้เถียงมากไป ถึงแม้นมั่วเชียนเสวี่ยจะไม่มีหลักฐาน แต่ถ้าเขาพูดอะไรมากไปมันก็จะไม่ส่งผลดี