ตอนที่ 236 กลางคืนจะหายดี การต่อสู้จะหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น (5)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 236 กลางคืนจะหายดี การต่อสู้จะหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น (5)

“เด็กน้อยบ้านไหนๆ เมื่อไม่มีพ่อแม่ ย่อมจะมีความหวาดระแวงอยู่แล้ว หัวหน้าตระกูลไม่เอาเรื่องกับเจ้าก็ได้” น้ำเสียงของหัวหน้าตระกูลมั่วเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“เรื่องอื่นในตอนนี้ไม่ต้องพูดถึง ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้ามีคุณสมบัติอะไร ถึงให้ยึดเบี้ยหวัดทั้งหมดเข้าท้องพระคลังเป็นการลงโทษ เจ้าสังหารขอทานนั่นก็คือความผิดของเจ้า ตนเองทำความผิดก็ต้องรับผิดชอบเอง เหตุใดต้องเอาเบี้ยหวัดของตระกูลมั่วของข้ามอบให้แก่ราชสำนักด้วย เมื่อไม่มีเบี้ยหวัดเหล่านั้นแล้ว ต่อไปข้าจะส่งคนมารับเงินจากจวนกั๋วกงทุกเดือน ไม่ให้ขาดแม้แต่แดงเดียว อย่างไรเสีย ตระกูลมั่วไม่จำเป็นจะต้องรับผิดชอบต่อความผิดของเจ้า”

ไร้ยางอาย! ช่างหน้าด้านได้ถึงขีดสุดจริงๆ!

มั่วเชียนเสวี่ยโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ

เบี้ยหวัดของตระกูลมั่วอะไรกัน เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นเบี้ยหวัดของจวนกั๋วกง!

พวกเขายังจะมาเอาเงินทุกเดือนอีก เกรงว่าเป้าหมายของพวกเขาก็คือสินเดิมของเฟิงชิงอวี้แม่ของนาง

มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ระงับโทสะที่มีอยู่ในใจ จากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยก็กล่าวอย่างหนักแน่น “เบี้ยหวัดที่เชียนเสวี่ยให้ยึดเข้าคลังไปเป็นการลงโทษนั้นเป็นของจวนกั๋วกง ไม่ใช่เบี้ยหวัดของตระกูลมั่วของท่าน ผู้สืบทอดของจวนกั๋วกงก็คือข้ามั่วเชียนเสวี่ยคนนี้ มีอำนาจและสิทธิ์เด็ดขาดในการจัดการดูแล ไม่ต้องลำบากหัวหน้าตระกูล ส่วนเรื่องที่…จะส่งคนมารับเงินที่จวนกั๋วกงทุกเดือนก็ลืมไปได้เลย!”

“เจ้า…เจ้าลองพูดใหม่อีกครั้งสิ…” หัวหน้าตระกูลมั่วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ผู้อาวุโสสองสามคนนั้นล้วนตะลึงงัน แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาก็ถือว่าเบี้ยหวัดของจวนกั๋วกงเป็นทรัพย์สินของตระกูลมั่วอยู่แล้ว

“พูดใหม่อีกรอบ ก็เหมือนเดิม! เบี้ยหวัดของจวนกั๋วกงเป็นของตระกูลมั่วตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าในสายตาของท่านพระราชโองการของฝ่าบาทเป็นเพียงเศษกระดาษแผ่นหนึ่ง อย่างนี้ดีหรือไม่ หัวหน้าตระกูลไปถามฝ่าบาทกับข้าที่ตำหนักจิงหลวนเป่า…”

มั่วเชียนเสวี่ยก้าวร้าว กล่าวแทงใจทุกถ้อยคำ หัวหน้าตระกูลมั่วบังคับตนเองให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ดึงฮ่องเต้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อ้างถึงเรื่องพระราชโองการ ถึงแม้นหัวหน้าตระกูลมั่วจะใจกล้าเพียงใด ก็มิกล้าพูดอะไรอีก

ศัตรูของพวกเขาไม่ใช่ลูกแกะอย่างที่คิดไว้อีกต่อไป แต่กลับเป็นหมาป่าที่พร้อมต่อสู้กลับ

“หากพวกท่านยังกล้าเข้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่อีก เชียนเสวี่ยก็จะให้พ่อบ้านไปที่ตระกูลมั่วคิดคำนวณทรัพย์สิน เงินทอง หมู่บ้าน และกิจการทั้งหมดที่ท่านได้เอาไปจากจวนกั๋วกงของข้า เอากลับคืนมาทั้งหมด”

หัวหน้าตระกูลมั่วกับเหล่าผู้อาวุโสสองสามคนที่เผชิญกับท่าทางที่ดุเดือดรุนแรงของมั่วเชียนเสวี่ยเช่นนี้ ล้วนหมดหนทางตอกกลับโดยสิ้นเชิง

หัวหน้าตระกูลมั่วเงียบไป หากสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาจริงๆ ทรัพย์สมบัติในตอนนี้ของตระกูลมั่วส่วนมากก็มาจากจวนกั๋วกงและสินเดิมของฮูหยินกั๋วกง หากถูกนำกลับคืนไป ไม่มีเงินทองมาสนับสนุน ก็จะเป็นการกดตระกูลมั่วลงไปยังตระกูลขุนนางขั้นสองและสามอีกครั้ง

สตรีผู้นี้ปล่อยเอาไว้ไม่ได้โดยเด็ดขาด จำเป็นต้องค่อยๆ ปรึกษากันให้ดีก่อน

หัวหน้าตระกูลมั่วจ้องมองมั่วเชียนเสวี่ยอย่างเย็นชาอยู่เป็นเวลานาน ใบหน้ามืดหม่นได้แต่ส่งเสียง หึๆ ไม่กล่าวสิ่งใดอีก และเดินออกจากห้องโถงไปคนเดียว เหล่าผู้อาวุโสเมื่อเห็นว่าหัวหน้าตระกูลไปแล้ว ถึงจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป

คนกลุ่มนี้มาอย่างทะนงตน แต่กลับต้องเดินคอตกกลับออกไป

เห็นว่าจากไปอย่างน่าอับอาย ผู้อาวุโสรองผู้นั้นไม่พอใจจึงได้กล่าวทิ้งท้ายอย่างหยาบคายเอาไว้ “คอยดูละกัน ของของตระกูลมั่วของข้าใครก็อย่าหวังจะเอามันไป”

มั่วจื่อถัง มั่วจื่อฮว่า และมั่วจื่อเยี่ย เห็นว่าไม่มีอะไรสนุกๆ ให้ดู ก็ย่อมจะเดินตามหลังออกจากห้องโถงไปอยู่แล้ว แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ออกจากจวนกั๋วกงไป ทว่าแต่ละคนก็กลับกลับไปที่ลานเล็ก

มั่วจื่อฮว่า และมั่วจื่อเยี่ยพอผ่านมั่วเชียนเสวี่ย ต่างก็ขยิบตาให้แก่กันจะเดินกระแทกนาง อยากให้มั่วเชียนเสวี่ยขายหน้า แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกพ่อบ้านมั่วจับโยนออกไป

ก่อนหน้านี้ ที่เขาอดทนต่อพวกเขา นั่นก็เพราะว่าเจ้านายสองคนล้วนลาโลกนี้ไปแล้ว ส่วนคุณหนูก็ไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ใด เมื่อเขาไม่มีเสาหลัก เขาจึงต้องแอบปกป้องมรดกเหล่านี้เอาไว้ให้คุณหนู

เมื่อครู่ที่ยิ้มต้อนรับคนกลุ่มนั้น นั่นก็เพราะเกรงว่าคุณหนูจะรับมือไม่ไหว ในอนาคตจะต้องเสียเปรียบมาก ถ้าเขาเป็นคนกลางคอยจัดการให้ ก็ยังพอมีพื้นที่ให้ไกล่เกลี่ยได้อยู่

ตอนนี้ ได้ฉีกหน้ากันแล้ว เขายังจะต้องสนใจอะไรอีก เพียงแค่จัดการทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ทำให้พวกเขาทนไม่ได้พ่ายแพ้ไป ขับไล่ไปตรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกบ่าวรับใช้ต่อว่าคุณหนูว่าไม่มีเหตุผล

ตอนที่มั่วจื่อถังผ่านด้านข้างของมั่วเชียนเสวี่ย กลับไม่มีพฤติกรรมแปลกประหลาดแม้แต่น้อย ทว่าพอเสียงเบาลง มีเพียงพวกเขาสองคนก็ได้ยินเสียงที่พูดว่าขอโทษ มั่วเชียนเสวี่ยก็ตกตะลึง มั่วจื่อถังกลับค่อยๆ เดินออกไป

คุณชายตระกูลมั่วทั้งสองคนที่ล้มลงไปที่พื้น ก็ลุกขึ้นมาต่อว่าพ่อบ้านมั่ว แต่กลับถูกมั่วจื่อถังเกลี้ยกล่อมให้ออกไป

มั่วเชียนเสวี่ยมีสีหน้าที่เคร่งขรึม แม้จะแพ้หรือชนะ แต่ก็ยังโกรธอยู่ดี อยากนั่งพักผ่อนบนเก้าอี้สักหน่อย แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้พวกสารเลวนั่นเพิ่งจะนั่งไป

ในใจยังคงคุกกรุ่นไปด้วยไฟโทสะ ดังนั้นจึงตะโกนออกไป “ทำลายเก้าอี้ที่อยู่ในห้องโถงนี้ทิ้งเสียให้หมด แล้วเปลี่ยนเก้าอี้ใหม่!”

พ่อบ้านมั่วย่อมจะรู้อยู่แล้วว่าเพราะอะไร จึงเอ่ยตอบ “เก้าอี้ที่อยู่ในห้องโถงนี้ล้วนเก่ามาก ควรจะเปลี่ยนใหม่เสียที”

คำตอบของพ่อบ้านมั่วทำให้มั่วเชียนเสวี่ยพอใจมาก นางไม่อาจพูดว่าเป็นเพราะพวกคนชั่วช้านั้นเคยนั่งนางจึงเปลี่ยนเก้าอี้ หากพูดเช่นนี้ วันหน้าย่อมจะมีคำพูดให้ร้ายแพร่ออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

ถูกพ่อบ้านเตือนสติ อารมณ์เกรี้ยวกราดของนางจึงลดลงเล็กน้อย นางสะบัดแขนเสื้อ เอามือไขว้หลัง แล้วเดินออกจากห้องโถงไป

ไม่คิดเลยว่า เป็นช่วงที่มีปัญหารุมเร้าจริงๆ!

มั่วเชียนเสวี่ยยังเดินไปได้ไม่ไกล พ่อบ้านก็รีบสับเท้าเก้าตามมา รายงานว่ามีเด็กรับใช้เฝ้าประตูมารอส่งข่าวอยู่ข้างนอก บอกว่ามีคนจากจวนจิ่งชินอ๋องมาขอพบคุณหนู

จวนจิ่งชินอ๋อง? จิ่งชินอ๋อง?

เมื่อเช้านี้เขาได้ช่วยนางไว้ นางจะไม่พบก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงให้พ่อบ้านพาเขาไปรอที่เรือนรับรอง อีกสักครู่นางจะตามไป

แน่นอนว่าเรือนรับรองแขกของจวนกั๋วกงไม่ได้มีที่เดียว

มั่วเชียนเสวี่ยเดินมาถึงหน้าประตูเรือนรับรอง มีหมัวมัวคนหนึ่งนั่งจิบชาอยู่ทางด้านขวามือ มั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าไป นางก็รีบลุกขึ้นยืน คำนับมั่วเชียนเสวี่ยอย่างนอบน้อมทันที

หมัวมัวผู้นั้นเกล้าผมเหมือนหมัวมัวทั่วๆ ไป แต่กลับดูสง่างาม ชุดที่สวมใส่ไม่ได้หรูหราอะไร แต่กลับมีสง่าราศี ต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วๆ ไปที่ใครสามารถเทียบได้อย่างแน่นอน มั่วเชียนเสวี่ยยื่นมือไปพยุงนางขึ้นมา และเชิญให้นางนั่งลง

ระหว่างที่คนหนึ่งคำนับคนหนึ่งช่วยพยุง ต่างคนก็ต่างมองดูกันอย่างพินิจพิเคราะห์

บนศีรษะของสตรีคนนี้มีเพียงปิ่นปักผมเพียงอันเดียวประดับไว้อยู่ ทั้งยังมีผ้าพันแผลพันอยู่รอบหน้าผาก บนชุดไว้ทุกข์ก็ยังมีหยาดโลหิตเปรอะเปื้อนอยู่ แต่ทว่าท่าทางของนางกลับยังดูสุขุมนิ่งสงบ ดูไม่มีการเสแร้งแม้แต่น้อย ไม่แสดงท่าทางประจบประแจงนางซึ่งเป็นหมัวมัวที่มาจากจวนอ๋องเลยสักนิด

หมัวมัวคนนั้นวิเคราะห์นางเสร็จแล้วก็พยักหน้า และดึงสายตากลับมา ไม่ได้เย่อหยิ่งแต่อย่างใดจึงได้นั่งลง หากแต่หลังจากที่ผละออกจากนางแล้ว ก็หันข้างพลางหยิบเทียบเชิญออกมาจากแขนเสื้อ

“บ่าวแซ่จาง เป็นหมัวมัวคนสนิทของท่านหญิงซูซูแห่งจิ่งชินอ๋อง นี่คือเทียบเชิญที่ท่านหญิงให้บ่าวนำมามอบให้คุณหนูใหญ่มั่วโดยเฉพาะ ขอคุณหนูใหญ่ได้โปรดตอบรับคำเชิญไปร่วมงานชมดอกท้อในปีนี้ด้วยเจ้าค่ะ…”

หมัวมัวคนนั้นแนะนำตนเองในขณะเดียวกัน ก็ส่งเทียบเชิญให้กับมั่วเหนียงที่อยู่ด้านข้าง มั่วเหนียงรับเทียบเชิญมา พลางตอบกลับอย่างมีมารยาท “ลำบากท่านแล้ว” ไม่รู้เลยว่านางเอาถุงเงินเล็กๆ ยัดเข้าไปในมือของจางหมัวมัวตอนไหน

ทั้งสองคนล้วนมีประสบการณ์มากต่างคนต่างก็คลุกคลีอยู่ในแวดวงของเหล่าสตรีชั้นสูงมาช้านาน ล้วนรู้จัก ‘มารยาท’ เหล่านี้ดี จางหมัวมัวก็ไม่ได้บ่ายเบี่ยง กล่าวขอบคุณแล้วก็รับมันมา

มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้จักท่านหญิงซูซู และก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคนผู้นี้มาก่อน ท่านหญิงผู้นั้นดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยอะไร