ตอนที่ 237 ข่มขู่ ผู้ที่มีความรอบคอบจะยากต่อการผิดพลาด (1)
หากจะปฏิบัติต่อนางโดยไม่ให้ความเคารพ ก็คงจะไม่ส่งหมัวมัวคนสนิทมา
พอมั่วเหนียงรับเทียบเชิญมาแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงเอ่ยขอบคุณ “ท่านหญิงมีไมตรีจิต แต่เชียนเสวี่ยต้องขออภัยท่านหญิงด้วย เพราะตอนนี้เชียนเสวี่ยอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ออกจากจวนไม่ได้ ไม่สะดวกที่จะไปจริงๆ ข้าหวังว่าหมัวมัวจะกลับไปบอกให้ท่านหญิงยกโทษให้ข้าด้วย รอไว้ทุกข์เสร็จ เชียนเสวี่ยจะไปเยี่ยมเยียนท่านหญิงที่จวนอย่างแน่นอน!”
จางหมัวมัวไม่ได้สนใจการปฏิเสธของมั่วเชียนเสวี่ย ราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่านางจะพูดเช่นนี้ จึงยิ้มตอบ “คุณหนูใหญ่มั่วอย่าเพิ่งปฏิเสธไปเสียก่อน งานชมดอกท้อจัดขึ้นเจ็ดวันหลังจากนี้พอดี ในตอนนั้นคุณหนูก็น่าจะไว้ทุกข์เสร็จแล้ว คำสั่งที่ห้ามออกจากจวนก็ถูกถอนออก ไม่เป็นอุปสรรคต่อทั้งสองฝ่าย คุณหนูรับเทียบเชิญไปก่อนได้เจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ย่อมจะไม่รู้จักงานชมดอกท้ออะไรนั่นอยู่แล้ว นางจึงกวาดสายตามองไปที่มั่วเหนียงที่อยู่ข้างๆ ก็เห็นเพียงนางพยักหน้าให้เล็กน้อย
มั่วเหนียงไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักหนักเบา เมื่อเช้านี้จิ่งชินอ๋องเพิ่งจะช่วยคุณหนูในท้องพระโรง คิดดูแล้วท่านหญิงซูซูผู้นั้นคงจะไม่ได้มีเจตนาไม่ดีแต่อย่างไร
ความคิดมากมายถาโถมเข้าใส่พร้อมๆ กัน มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้เป็นกังวลอยู่แล้ว “เช่นนั้น…ก็ขอให้หมัวมัวกลับไปรายงานท่านหญิงว่า ถึงวันงานมั่วเชียนเสวี่ยจะต้องไปตามนัดอย่างแน่นอน”
จางหมัวมัวส่งเทียบเชิญเสร็จแล้ว หน้าที่ก็ได้เสร็จสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไป จึงได้เอ่ยปากขอลากลับ มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้สั่งให้มั่วเหนียงไปส่งนาง
รอมั่วเหนียงกลับมาจากส่งจางหมัวมัวแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงเอ่ยปากถาม “หมัวมัว ท่านหญิงซูซูเป็นคนอย่างไร งานชมดอกท้อนี้มันเรื่องอะไรกัน” มั่วเหนียงได้เล่าเรื่องที่นางรู้เกี่ยวกับงานชมดอกท้อและท่านหญิงซูซูให้มั่วเชียนเสวี่ยฟัง
งานชมดอกท้อ เป็นงานรวมตัวครั้งใหญ่ของเหล่าสตรีที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง มีเพียงสตรีที่เป็นเชื้อพระวงศ์ไม่กี่คนที่มีอำนาจส่งเทียบเชิญได้ ท่านหญิงซูซูแห่งจวนจิ่งชินอ๋องคือหนึ่งในราชนิกูล เป็นสตรีชั้นสูงที่มีสิทธิ์ส่งเทียบเชิญได้
เหล่าคุณหนูที่ได้รับเทียบเชิญล้วนร่ำรวย มีอำนาจ มียศฐาบรรดาศักดิ์ และเป็นบุตรีของตระกูลขุนนาง เทียบเชิญนี้ดูเหมือนแค่เชิญไปเข้าร่วมงานชุมชุมใหญ่ ความจริงไม่ใช่แค่นั้น มันคือสัญลักณ์แสดงฐานะและเป็นการสำแดงเกียรติยศอย่างหนึ่ง
หากมีสถานะเหมาะสม แต่กลับไม่ได้รับเทียบเชิญ จะต้องถูกคนที่อยู่วงในมองเป็นตัวตลก และถูกคนหยามเหยียดเป็นแน่
จะว่าไปแล้วท่านหญิงซูซูผู้นี้ เป็นบุตรีอันเป็นที่รักยิ่งของจิ่งชินอ๋อง นางคือบุตรีคนโตของเขา ทั้งยังเป็นบุตรีเพียงคนเดียวในจวนจิ่งชินอ๋องที่เกิดจากฮูหยินเอก มีพี่ชายที่มีพ่อแม่เดียวกันอีกสามคน คนในจวนต่างดูแลประคบประหงมนางเป็นอย่างดี
ทว่า ถึงแม้จะบอกว่าท่านหญิงผู้นี้ถูกตามใจ มีนิสัยที่เอาแต่ใจตัวเอง แต่นางก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร
วิเคราะห์เจ้านายผ่านบ่าว มั่วเชียนเสวี่ยเห็นจางหมัวมัวคนนั้นแล้วก็รู้ถึงนิสัยใจคอของท่านหญิงซูซูเล็กน้อย
เป็นถึงหมัวมัวคนสนิทของท่านหญิงอันเป็นที่รักยิ่งในจวนชินอ๋อง แต่กลับไม่เย่อหยิ่ง มีมารยาท ทำให้รู้ได้ว่าเจ้านายของนางมีนิสัยที่ไม่เลวเลยทีเดียว แม้นางจะเอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่ก็ต้องเป็นคนที่มีเหตุผลอย่างแน่นอน
เอาแต่ใจ บางครั้งก็เป็นเพียงการพูดเปรียบเปรย อีกด้านนึงอาจตีความได้ว่านางเป็นคนที่กล้าหาญ ตรงไปตรงมากับคนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยก็เป็นได้
ในช่วงค่ำ จวนกั๋วกงเงียบมาก ในบรรดาคุณชายทั้งสาม จื่อฮว่าและจื่อเยี่ยดับไฟก่อน ทว่ามั่วจื่อถังยังคงจุดตะเกียง อ่านตำราภายใต้แสงไฟอย่างเงียบๆ
เที่ยงคืน นอนหลับสะลึมสะลือ รู้สึกเพียงว่ามีคนมาผลักนางพลางกระซิบที่ข้างหูนางเบาๆ “เชียนเสวี่ย ขยับเข้าไปด้านในหน่อย”
“มาเร็วจัง” ได้ยินเสียงของหนิงเซ่าชิงแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ลืมตาขึ้น ปากก็พูดพึมพำ ร่างกายขยับเข้าไปด้านในอย่างไม่รู้ตัว “ความฝันในวันนี้ช่างเหมือนจริงเหลือเกิน รู้สึกได้ถึงการสัมผัส”
ฝัน?
หนิงเซ่าชิงที่อยู่ในความมืดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ชายร่างใหญ่เช่นเขานอนอยู่ข้างๆ นางเช่นนี้ แต่นางกลับคิดว่าเป็นความฝัน!
นึกถึงเรื่องที่สองสามวันนี้นางต้องลำบากตรากตรำผ่านการนองเลือดมา หนิงเซ่าชิงก็รู้สึกสงสาร เขาใช้นิ้วแตะไปที่ปลายจมูกของนาง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงยิ้มกล่าว “เมื่อวานนี้ฝันถึงข้าใช่หรือไม่”
มั่วเชียนเสวี่ยพลิกตัวหันมากอดเขา “วันนี้เพิ่งจะหลับ พอผล็อยหลับก็ฝันถึงท่านเลย อีกทั้งท่านยังอยู่ข้างกายข้าอีก ช่างดีจริง!”
หนิงเซ่าชิงยื่นแขนออกมาโอบนางเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ไปลูบบริเวณผ้าพันแผลตรงหน้าผากเบาๆ ทั้งโมโห ทั้งปวดใจ “เจ้าคิดถึงข้าไหม”
มั่วเชียนเสวี่ยพูดเพ้อราวกับอยู่ในภวังค์ฝัน “ข้าคิดถึงท่าน”
เขาหันหน้าไปจูบนาง นางเอ่ยชมเขา “ริมฝีปากของท่านอุ่นกว่าเมื่อวานมากนัก ร้อนมากขึ้น เพียงแต่ว่า วันนี้ก่อนที่จะหายไป อย่าปล่อยหมอกหรือควันออกมามากได้ไหม ให้ข้าได้ตราตรึงอยู่ในความรู้สึกนี้สักพัก”
ครั้งนี้หนิงเซ่าชิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ในใจรู้สึกขมขื่นจนแทบทนไม่ไหว วันนั้นนางตามหาเขาไปทั่ว ตามหาเขาทั้งคืน มีหรือที่เขาจะไม่รู้
เขาอยู่ในที่ลับ เพียงแต่ไม่สามารถออกมาได้ เพราะว่าในความมืดมิดยังมีสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองดูฉากนี้อยู่ คนผู้นั้นไม่ใช่มือสังหาร เป็นเพียงดวงตาคู่หนึ่ง เป็นดวงตาที่คอยเฝ้าติดตาม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อิ่งซาทำได้ดีที่สุดนั่นก็คือการซ่อนตัว แม้ว่าจะไล่จับร่างของดวงตาคู่นั้นไม่ได้ แต่ก็ได้ยินเสียงหายใจ และรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของคนผู้นั้น
เขาไม่อาจทำให้นางตกอยู่ในอันตรายได้
เขาจำเป็นต้องเล่นละครตบตา
ทำให้ศัตรูมึนงง ในขณะเดียวกันก็เป็นการบอกคนอื่นว่า เขาไม่ได้เห็นมั่วเชียนเสวี่ยเป็นที่หนึ่ง ไม่ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะเป็นหรือตาย มีแต่การทำแบบนี้ถึงจะไม่ดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้อง
ช่วงเวลาคับขันนี้ จัดการเช่นนี้ ดูเหมือนจะใจร้าย แต่มันก็ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยปลอดภัยขึ้นมาหน่อย
หนิงเซ่าชิงถอนหายใจ พลางลูบหัวมั่วเชียนเสวี่ย และกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าจะไม่หายไปโดยไม่พูดอะไรอีกแล้ว”
มั่วเชียนเสวี่ยกอดเอวเขาเอาไว้ ซุกที่อกเขาน้ำตาอาบหน้า แม้ว่าเมื่อวานในฝันเขาก็พูดแบบนี้ แต่นางก็เต็มใจที่จะเชื่อใจเขาเช่นเคย
เมื่อเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยเหมือนจะยังอยู่ในภวังค์ฝัน ดวงตาของหนิงเซ่าชิงก็เป็นประกาย อ้าปากงับไปที่แก้มของนาง และกล่าว “เสวี่ย นี่ไม่ใช่ฝัน”
ห้าคำนี้บวกกับความเจ็บที่แก้ม ในที่สุดก็ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตื่นขึ้นมา
บางทีนางอาจจะตื่นอยู่แล้ว แต่ว่าตอนกลางวันเหนื่อยมาก เมื่อคืนนี้ก็ฝัน คืนนี้จึงกลัวว่าจะเป็นฝันอีก ดังนั้นเมื่อครู่นี้จึงไม่กล้าดูตรงๆ และไม่กล้าหยิกตัวเอง เพราะคิดว่านี่คือฝัน ถ้าหยิกไปแล้ว ก็กลัวว่าจะไม่เห็นร่างหนิงเซ่าชิงอีก
“ไม่ใช่ความฝัน?!” มั่วเชียนเสวี่ยที่เพิ่งตื่นมาก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ ริมฝีปากอุ่นก็ประทับลงไปทันที ตรึงความประหลาดใจทั้งหมดของนางเอาไว้ในปาก เหลือเพียงความเสน่หาเท่านั้น
แสงจันทราสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่าง ทำให้ทั้งห้องปกคลุมไปด้วยแสงสลัว ดูอบอุ่นหวานซึ้งและผ่อนคลายเป็นพิเศษ
ทั้งสองคนเพียงไม่ได้พบหน้ากันสองวัน แต่กลับดูเหมือนไม่ได้พบเจอกันมานานแสนนาน ความคะนึงหาอันเหลือล้น
จูบนี้ค่อนข้างจะรุนแรงในคราแรก…จากนั้นก็ดูดดื่ม…อ่อนโยน…
มีเพียงความคะนึงหา ไม่ได้มีความใคร่แม้แต่น้อย
เป็นเวลานาน หนิงเซ่าชิงที่ก้มลงมาก็ถอนริมฝีปากอันอ่อนนุ่มอกจากปากนาง และย้ายไปตรงหน้าผากที่พันไว้ด้วยผ้าพันแผล ก้มหัวลงมา ประทับริมฝีปากลงไปบนนั้นอย่างแผ่วเบาราวกับแมลงปอที่เกาะอยู่บนผิวน้ำ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสาร
“ตรงนี้ยังเจ็บอยู่ไหม”
“เจ็บ…” เดิมทีน้ำเสียงของมั่วเชียนเสวี่ยก็ไพเราะมากอยู่แล้ว ในยามนี้ทั้งสองเพิ่งจะแสดงความโหยหาต่อกันเสร็จ จึงเกิดความรู้สึกออดอ้อนขึ้นในใจ “เจ็บมาก…”