พยาบาลฝ่ายต้อนรับที่โต๊ะสังเกตเห็นเด็กน้อยเข้า เขามีศรีษะที่ปกคลุมด้วยผมสีดำทรงเสน่ห์ และใส่เสื้อยืดสีขาวที่มีรูปชุดเกราะถูกสกรีนอยู่บนอก พร้อมด้วยกางเกงวอร์มสีดำและหน้ากากอนามัยสีดำเช่นกัน

ด้วยลุคสีขาวดำจากเสื้อผ้าหน้าผม ทำให้เขาดูมีสไตล์อย่างมาก ราวกับว่าเขาเป็นผลงานศิลปะจากศิลปินเอก ในจินตนาการของพยาบาลสาว เขาดูเหมือนเจ้าชายที่หลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูนเลยทีเดียว

‘เด็กคนนี้น่ารักสุดๆเลย!’

“หนูกำลังตามหาใครอยู่จ้ะ หนุ่มน้อย?” คุณพยาบาลได้เข้ามาหาเขาและกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น เสียงของเธอฟังดูอ่อนโยน

“ผมกำลังตามหาคุณ—คุณพ่อของผมอยู่ครับ!” เด็กชายกล่าวโดยสัญชาตญาณ

‘คุณแม่บอกว่าเราควรระวังเวลาที่อยู่ข้างนอก’

‘ห้ามบอกความจริงกับใคร ยกเว้นกับคุณตำรวจ แน่นอนอยู่แล้ว’

หนุ่มน้อยเงยหน้ามองพยาบาลด้วยใบหน้าใสซื่อ “คุณผู้หญิง คุณพอจะรู้ไหมครับว่าคุณพ่อผมอยู่ไหน?”

เมื่อพยาบาลร่างเล็กพิจารณาใบหน้าของเด็กชาย ด้วยดวงตากลมโตที่ถูกบดบังอยู่ใต้หน้ากากอนามัย เธอตกใจพร้อมกับรู้ได้ทันที ‘ตาพวกนั้นเหมือนกับตาของคุณอาเรสผู้เย็นชาเลย!’

ยังไงก็ตามแต่ คุณอาเรสนั้นมีใบหน้าจริงจังเป็นเครื่องหมายการค้าตลอดเวลา แม้จะมีรูปร่างหน้าตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์มาตั้งแต่เกิดก็ตาม แต่ก็แทบไม่มีใครหน้าไหนกล้าที่จะเข้าใกล้เข้านัก

แต่หนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้นั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง เขาดูนุ่มนิ่มน่ากอด รอยยิ้มของเขาอบอุ่นพอที่จะละลายหิมะได้เลย พูดตามตรง ความน่ารักของเขามันเกินต้านจริง ๆ

“โอ้ แน่นอนจ้ะ ห้องทำงานของคุณอาเรสอยู่ที่ชั้นเก้าน่ะ!” นางพยาบาลรีบตอบโดยไม่ลังเล

หนุ่มน้อยรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย นี่เขาดูเหมือนลูกชายของคุณอาเรสอะไรนั่นขนาดนั้นเลยเหรอ? หรือว่าเขาหน้าโหล?

ท่าทางของพยาบาลดูเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เธอโน้มตัวเข้ามาแล้วถามอย่างสุภาพ “ให้ฉันพาเธอไปที่ห้องทำงานเขาไหม?”

เด็กชายรีบสายหัว “ไม่ครับ”

‘พยาบาลคนนี้หน้าตาค่อนข้างดี แต่เธอไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ ถ้าเธอตามเราไปล่ะก็ แผนเราพังไม่เป็นท่าแน่’ เขาคิด

ในตอนนั้นเองที่ประตูลิฟต์พลันเปิดออก แล้วเด็กชายจึงโผเข้าไปในลิฟต์

เมื่อลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นไป ตัวติดตามในสมาร์ทวอทช์ของเขาก็บอกว่าเขากำลังเข้าใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเขาขึ้นมาถึงชั้นที่เก้า ตำแหน่งที่เขาอยู่และตำแหน่งปลายทางที่ระบุไว้ก็ซ้อนทับกัน

หนุ่มน้อยออกมาจากลิฟต์และเดินตามที่ระบบนำทางบอกไว้ ในที่สุดตำแหน่งของห้องที่โรสอยู่ก็ถูกระบุอย่างชัดเจน

ที่หน้าประตูไม้บานใหญ่ซึ่งมีป้ายไม้ที่สลักไว้ว่า “ห้องรับรองท่านประธาน” ติดเอาไว้

เด็กชายตัวน้อยผลักประตู ทว่ามันไม่ขยับเลย

เขาสังเกตเห็นล็อคทองแดงแบบสแกนลายนิ้วมือบนประตู ด้วยความที่เขาไม่มีแผนที่ดีไปกว่านี้แล้ว เขาจึงลองแปะนิ้วลงที่แป้นสแกน และนั่นก็ทำให้เขาต้องประหลาดใจ เขาได้ยินเสียงล็อคที่ถูกปลดออกพร้อมกับบานประตูที่ถูกเลื่อนออกมา

เจ้าหนุ่มน้อยงงเป็นไก่ตาแตก ‘นี่ล็อคสแกนลายนิ้วมืออันนี้มันถูกออกแบบมาเพื่อเรารึเปล่า?’ เขานึกฉงน

เด็กชายดันประตูให้เปิดออกและเห็นเข้ากับร่างที่ถูกรังแกของแม่เขาซึ่งถูกผูกติดไว้กับขาโต๊ะ เส้นผมของเธอยุ่งเหยิง และใบหน้าของเธอก็ก้มติดกับเข่า ไหล่ของเธอสั่นไหว

“นั่นคุณแม่ร้องไห้อยู่เหรอ?” เขาคิดและเริ่มตื่นตระหนก

เขาไม่เคยเห็นคุณแม่ร้องไห้มาก่อน

‘ต้องมีใครทำเรื่องไม่ดีกับคุณแม่แน่ เธอถึงได้ร้องไห้แบบนี้’

“คุณแม่!” เด็กน้อยตะโกน ก่อนจะปล่อยสกู๊ตเตอร์ลงกับพื้นแล้วพุ่งเข้าไปแก้มัดให้โรส

เมื่อโรสได้ยินเสียงอันน่ารักของลูกชายที่แสนคุ้นเคย เธอเงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้น มันเป็นเขา ร็อบบี้น้อยของเธอ ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอ โรสในตอนนี้เรียกได้ว่าตะลึงจนแทบเป็นใบ้ไปแล้ว

เธอมองไปที่เครื่องแสกนลายนิ้วมือ แล้วเธอก็รู้ได้ว่าลางสังหรณ์ของเธอมันถูกต้อง

ร็อบบี้น้อยของเธอมีลายนิ้วมือแบบเดียวกับของเจนสันจริง ๆ!

ร็อบบี้น้อยดึงหน้ากากของเขาออกและใบหน้าเล็ก ๆ อันหล่อเหลาของเขาก็ลุกโชนไปด้วยโทสะ

“คุณแม่ นักเลงคนไหนมันรังแกคุณแม่? ผมจะฆ่ามัน” ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เขาก็แสดงลูกเตะที่ปราดเปรียวและงดงามไปบนอากาศ

ร็อบบี้น้อยมีพรสวรรค์ด้านเทควันโดที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

ตั้งแต่เริ่มแรก โรสสมัครคลาสเรียนเทควันโดเพื่อเสริมสร้างร่างกายที่ปวกเปียกและอ่อนแอให้เขา

และนั่นทำให้เธอต้องประหลาดใจ เมื่อโค้ชได้บอกถึงพรสวรรค์โดยกำเนิดของเด็กชายอย่างตื่นเต้น สองปีหลังจากนั้น ชั้นหนังสือของร็อบบี้น้อยก็เต็มไปด้วยถ้วยรางวัลเทควันโด

หกเดือนที่ผ่านมา เขาแม้แต่เริ่มท้าทายกลุ่มที่โตกว่าและทำมันได้อย่างดีเยี่ยม

โรสสวมหน้ากากอนามัยบนหน้าของเขาใหม่ “ที่นี่มันอันตราย” เธอกล่าวเสียงเบา “ค่อยคุยทีหลัง เราต้องรีบไปจากที่นี่กันก่อน”

“ได้เลยฮะ!” ร็อบบี้น้อยตอบสนองด้วยความเชื่อฟัง

แต่ก่อนที่เธอจะไป โรสก็พลันนึกขึ้นได้ “เดี๋ยวก่อน” เธอกล่าว “เราต้องหาวิธีลบข้อมูลที่กล้องวงจรปิดบันทึกไว้ก่อน เราจะให้พวกคนไม่ดีรู้ตัวตนลูกไม่ได้เด็ดขาด”

“ง่ายมากฮะ ให้ผมจัดการเอง”

ผ่านไปไม่นาน ภาพที่ถูกบันทึกจากกล้องวงจรปิดของทั้งตึกก็ถูกลบหายไป

หมู่บ้านหรูในเซาธ์ซิตี้แทบดูเหมือนจะหลอมรวมไปกับเส้นขอบฟ้า บริเวณนี้เป็นที่โด่งดังและรู้กันดีว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์สุดหรูที่มีมูลค่าสูงที่สุดในเมือง

คฤหาสน์ตากอากาศของที่นี่ใหญ่โตด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่สวนของที่นี่กลับใหญ่ยิ่งกว่า

หมู่บ้านแถบนี้มีเปอร์เซ็นความหนาแน่นของประชากรในเมืองที่ต่ำ—น้อยกว่า 0.5 เปอร์เซ็นของประชากรอาศัยอยู่ที่นี่ แน่นอน มีเพียงแค่คนที่ร่ำรวยที่สุดและทรงอำนาจที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถอาศัยอยู่ในที่ๆเหมือนเป็นส่วนนึงของสวรรค์นี้ได้

เจย์ขับรถหรูยี่ห้อลินคอล์นเข้าไปเก็บในโรงรถใต้ดินอย่างรวดเร็วและบรรจง เขาโฉบเข้าไปที่จุดจอดรถ และจอดลงอย่างงดงาม

เจย์รีบลงจากรถและพุ่งเข้าบ้านไป

เขาเปิดประตูนิรภัยออก กลิ่นหอมพลันลอยเตะจมูกทันที เจย์ถึงกับผงะเล็กน้อยแล้วกวาดสายตาไปรอบๆห้อง

“เจย์ นายกลับมาตอนไหนน่ะ?” โจเซฟินกำลังถือถาดซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานและกล่าวทักทายเจย์ที่เข้ามา

แม่ของเจย์กำลังจัดโต๊ะสำหรับมื้ออาหาร

พ่อของเจย์กำลังอยู่ในพื้นที่พักผ่อนในห้องนั่งเล่นด้วยกันกับหลานชายของเขา พวกเขากำลังต่อหุ่นเลโก้ตัวใหญ่ด้วยกันอยู่

หรือถ้าจะให้เจาะจงไปมากกว่านั้น คุณปู่ผู้ชราเพียงแค่นั่งอยู่ข้าง ๆ เจนสัน มองดูหลานของเขาอย่างภูมิใจ

อีกด้านหนึ่ง เจนสันไม่สนใจการมีตัวตนของคุณปู่เลยสักนิด

เจย์เปลี่ยนไปใส่รองเท้าสำหรับเดินในบ้านแล้วเดินไปหาเจนสัน และกล่าวอย่างผ่อนคลาย “ถ้าคุณปู่กับคุณย่าอยู่ที่นี่ ทำไมต้องให้คุณพ่อกลับบ้านมาด้วยล่ะ? วันนี้คุณพ่อน่ะยุ่งมาก—”

‘ยุ่งกับผีสิ!’ เจนสันสบประมาทในใจ

เจนสันทำเป็นหูทวนลมต่อคำพูดของพ่อของเขา เขาเริ่มสร้างหุ่นเลโก้ที่ตอนนี้สูงกว่าตัวเขาอย่างมีความสุข

“พูดอะไรบ้างสิ!” เจย์หมดความอดทน

“คุณพ่อกลับมาเองต่างหาก” เจนสันตอบอย่างเฉยชา

ความหมายที่เขาจะสื่อก็คือ ในเมื่อคุณพ่อของเขามีความคิดของตัวเองและมีขาของตัวเอง การกลับบ้านมานั้นเป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง ไม่ใช่เจนสัน จริง ๆ นะ ทำไมเขาถึงได้ไม่พอใจขนาดนั้นถ้าเขาเลือกมันด้วยตัวเอง?

เจย์พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง แต่เขาก็ตั้งสติและพยายามอธิบายเหตุผลแก่ลูกชายของเขา “คุณพ่อรีบกลับบ้านมาเพราะนึกว่าลูกไม่มีอาหารเที่ยงกิน ถ้าลูกบอกคุณพ่อว่าคุณปู่กับคุณย่าอยู่ที่บ้านทางโทรศัพท์ คุณพ่อก็ไม่จำเป็นต้องรีบกลับบ้านมา”

“คุณหมอบอกว่าผมเป็นออทิสติก ทำไมคุณพ่อถึงคาดหวังให้ผมพูดเยอะแบบนั้น? งี่เง่า!” เจนสันกระแทกเลโก้ชิ้นสุดท้ายเข้าที่ดวงตาของหุ่นอย่างแรงก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาผลักเจย์ออกไปและเดินขึ้นชั้นบนไปคนเดียว

“แล้วทำไมตอนนี้ลูกดันพูดเยอะขึ้นมาเล่า?” เจย์ตะโกนไล่หลัง

“ไม่รู้สิ ผมคงชนะตัวเองได้แล้วมั้ง!” เจนสันตะโกนสวนกลับ

ใบหน้าของเจย์พลันมืดมนหลังจากเจนสันยอกย้อนใส่เขา

คุณปู่หัวเราะออกมาและพูดอย่างประชดประชัน “พ่อลูกเหมือนกันไม่มีผิด”

เจย์โมโหมากจนเกือบจะฟาดใส่หุ่นเลโก้ของเจนสัน คุณปู่รีบห้ามเขาทันที “อย่าทำมัน นั่นคือแม่ของเจนสัน ถ้าแกแตะต้องแม่ของเขาล่ะก็ ลูกชายของแกบอกว่าเขาจะทำแบบเดียวกันใส่แก”

มันมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ทั้งครอบครัวมักจะต้องทุกข์ใจเวลาที่เจนสันอาละวาดใส่การกระทำของเจย์

แล้วก็มักจบลงด้วยน้ำตาของคุณย่าที่เสียใจต่อหลานรักของเธอ