บทที่ 171 เจ้าสามารถเดินได้โดยไม่ต้องถลุ่มพื้นที่ ใช้ผ่าปฐผี…

ขณะที่มูฟาซาและเด็ก ๆ กําลังวิ่งเล่นอยู่ในบริเวณพื้นที่ล่าสัตว์ ผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่นําโดยมาร์นี่ก็ได้มาถึงบึงเซ ร่าแล้ว

บึงเซร่าครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของจักรวรรดิวัลลา โดยไม่มีคนอาศัยอยู่เช่นเดียวกับป่าทริเนียทางตอนเหนือซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่เอื้ออํานวยสําหรับการใช้ชีวิตของมนุษย์ มันเต็มไปด้วยสัตว์ป่าและสัตว์ประหลาดความจริงเมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิวัลลารังเกียจขุนนางคนใดวิธีแก้ปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดคือมอบที่ดินให้พวกเขาในสองภูมิภาคนั้นพร้อมกับรีบกระตุ้นให้พวกเขารีบไปยังศักดินานั้นด้วยงานเลี้ยงส่งสุดเอ็กเกริก…

แน่นอนว่าการแก้ปัญหาดังกล่าวไม่มีประโยชน์เมื่อคนผู้นั้นเป็นขุนนางคนสําคัญอย่างดยุกฮอร์รันซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่อยู่แล้ว

และเช่นเดียวกับชื่อของมัน ยิ่งเซร่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ําที่จะไม่กลายเป็นน้ําแข็งแม้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาวและมีหนองน้ําจํานวนมากกระจายอยู่รอบๆไม่มีที่สิ้นสุดด้วยเหตุนี้ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์จะไม่สามารถบอกได้ว่าตรงหน้าพวกเขาเป็นหญ้ามอสบนพื้นหรือจอกแหนที่ลอยอยู่เหนือน้ําลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด

นอกจากสัตว์ประหลาดและสัตว์ป่าแล้ว ยังเล่ากันว่ามีแม่มดอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นสถานที่อื่นตรายและไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

ตรงกันข้าม ป่าทริเนียปลอดภัยกว่ามาก แม้ว่ามันจะอันตรายเช่นกัน แต่อย่างน้อยมนุษย์ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเดินจมน้ําเพียงแค่ก้าวพลาดไปก้าวเดียว

ความจริงบึงเซร่าก็ไม่เป็นมิตรกับผู้เล่นเช่นกัน

ขณะที่คาถาคืนชีพสามารถช่วยพวกเขาได้ แต่ผู้เล่นที่หล่นลงไปใต้ผิวน้ําก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่มีศพให้ชุบ ชีวิต และสิ่งที่พวกเขาทําได้ก็คือรออยู่ในห้อวดําเล็ก ๆ เป็นเวลา 3 วันก่อนจะฟื้นคืนชีพ

แต่อย่างที่พูดไป ผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นนักผจญภัย

แม้ว่ามนุษย์อาจไม่เคยทําแผนที่ของบึงเซร่าได้สําเร็จแม้จะเสียสละไปหลายพันคน แต่ผู้เล่นแตกต่างพวกเขาไม่จําเป็นต้องตายหลายครั้งเพื่อสํารวจเส้นทางในบึงเซร่า

เพราะพวกเขาไม่ได้เดินชุ่ม ๆ

มาร์นี่กําลังออกคําสั่งอย่างเป็นระบบ

“ปีกขวา ยิงปูพรมถล่มพื้นที่ไม่ให้เหลือแม้แต่นิ้วเดียว ผ่อนคลาย มั่นใจได้เลยว่านักบวชอาหารทะเลจะลากเจ้ากลับมาปีกซ้ายใช้สไลด์ 3 ครั้งซ้อน และวิ่งกลับมาทันทีที่เจ้าเปิดแผนที่ได้แล้วพวกที่อยู่ตรงกลางระวังอย่าตกลงไประหว่างที่ข้าใช้ผ่าปฐพีพวกเจ้าทุกคนช่วยกันจับตาดูว่าหนองน้ําอยู่ตรงไหน!”

ประโยชน์ของแผนที่ระบบโดดเด่นมากในสถานการณ์นี้

“เฮ้ข้าให้เจ้าพดอีกครั้ง เจ้าว่าใครเป็นนักบวชอาหารทะเล?” นักบวชแห่งท้องทะเลบางคนประท้วงด้วยความโกรธ

ขณะเดียวกันแผนที่ในบึงก็ถูกสํารวจเกือบหมด

ขณะที่ผู้เล่นกําลังทําลายสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศของบึงอย่างเมามัน พวกเขาก็ยังนิ่งมากและสามารถรุกเข้าไปในบึงได้อย่างรวดเร็ว

ความคืบหน้าของพวกเขาจะทําให้ทุกการสํารวจในอดีตต้องหวาดกลัว

อย่างไรก็ตามผู้เล่นกลับได้แต่งนงงทั้งที่พวกเขาได้ทําลายบึงส่วนใหญ่ไปแล้ว หากพูดกันตามหลักเหตุผลสัตว์ประหลาดอย่างเช่นรูทีโอดอน*ก็น่าจะปรากฏตัวขึ้นมาแล้วแต่สิ่งที่พวกเขาพบมาตลอดทางก็คือมนุษย์เงือกหนองน้ํามนุษย์เงือกหนองน้ํา และมนุษย์เงือกหนองน้ํา

(TL:รูทีโอดอน(Rutiodon) สัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่ถูกค้นพบในชั้นหินยุคไทรแอสสิก)

ดังนั้นผู้เล่นเกือบทุกคนที่เข้าร่วมปฏิบัติการนี้จึงมีคําถามเหมือนกันว่า เป็นไปได้ไหมที่ที่นี่จะมีเพียงมนุษย์เงือกหนองน้ําเท่านั้น?

แต่ลางสังหรณ์ของพวกเขาก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิด ไม่ชํานอกจากมนุษย์เงือกหนองน้ําแล้วก็ยังมีสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์อีกด้วย

จากการได้เห็นและเรียนรู้มามาก อดีตพ่อค้าเร่มาร์นี่คาดเดาเรื่องราวเบื้องต้นได้คร่าว ๆ แล้วว่า สัตว์ประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อนไม่ใช่สัตว์ประหลาดท้องถิ่นในบึงเซร่าอย่างแน่นอน เพราะขนาดของมันก็ไม่ได้สอดคล้องกับสิ่งมีชีวิตในพื้นที่ชุ่มน้ําแห่งนี้และร่างกายของพวกมันก็คล้ายกับปลาน้ําเค็มมากกว่า…

แต่เมื่อสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์เหล่านี้มีจํานวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่มาร์นี่เองก็เริ่มสงสัย

หรืออาจมีปรากฏการณ์สําคัญบางอย่างเกิดขึ้นในบึงเซร่า

เรนเจอร์กลับมาหลังจากการสอดแนมพื้นที่ข้างหน้า “คุณวิลฟ์ ข้าคิดว่าข้าเจออะไรบางอย่างแล้วและมันดูไม่ดีเลย”

เดิมมีเรนเจอร์ 12 คนสอดแนมพื้นที่ข้างหน้า แต่ตอนนี้เรนเจอร์คนอื่น ๆ ตายหมดแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่า หนองน้ําแห่งนี้น่ากลัวเพียงใด

“เจ้าเห็นอะไร”

เรนเจอร์ไม่ได้ตอบออกมาตรง ๆ แต่พามาร์นี่และผู้เล่นจํานวนหนึ่งเข้าไปใกล้จุดนั้น

หนองน้ําตรงนี้ค่อนข้างกว้างอย่างเห็นได้ชัด และมาร์นี่ต้องตกใจเมื่อพบว่ามีมนุษย์เงือกหนองน้ําหลายพันตัวมารวมตัวกันรอบบึง และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจํานวนขึ้นเรื่อย ๆ

และที่ใจกลางของหนองน้ํานั้นก็มีนักบวชมนุษย์เงือกสวมหน้ากาก กําลังเต้นรําทําพิธีกรรมบางอย่าง

แม้ว่ามาร์นี่และคนอื่น ๆ จะไม่รู้ว่านักบวชป้องกันตัวเองไม่ให้จมลงไปในน้ําได้อย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ก็ทําให้พวกเขาต้องตกใจ

ขณะที่นักบวชมนุษย์เงือกยังคงร่ายรําต่อไป ลูกออร์บน้ําที่มีลักษณะคล้ายไข่ขนาดใหญ่กว่า 2 เมตรก็โผล่ขี้นมาเหนือผิวน้ํา มันไม่มีสิ่งสกปรกใด ๆ เจือปนและดูใสมากเหมือนผลึกคริสตัล

นั่นคือตอนที่มนุษย์เงือกหนองน้ําจํานวนมากที่มีความสุขกับเหตุการณ์นี้ กระโดดลงไปในบึงและว่ายไปยังลูกออร์บน้ําราวกับกําลังถูกมันเรียกหาอยู่

แม้ลูกออร์บน้ําจะมีลักษณะเป็นผลึกใส แต่น้ําในลูกออร์บก็ละลายมนุษย์เงือกหนองน้ําที่เข้ามาใกล้จนกลายเป็นชีสเหลวได้ภายในไม่กี่วินาทีเหมือนกรด

เมื่อมนุษย์เงือกตายมากขึ้น ศพเหลวเหมือนชีสในลูกออร์บก็จะหลอมรวมกันเป็นก้อน จากนั้นอวัยวะและผิวหนังก็เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

และเมื่อเกล็ดชิ้นสุดท้ายปรากฏขึ้นและอวัยวะทุกชิ้นครบถ้วน ซากศพของมนุษย์เงือกหลาย 10 ตัวก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์อย่างสมบูรณ์

มันร้องคํารามเมื่อออกมาจากลูกออร์บ!

หลังจากสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์เกิดขึ้นมา มันก็กินสิ่งที่มนุษย์เงือกหนองน้ําล่ามาได้จนมันเติบโตขึ้นกว่าเดิมเกล็ดของพวกมันค่อย ๆ มีดลงและแข็งเหมือนเหล็ก

เมื่อได้เห็นกระบวนการทั้งหมดมาร์นี่ก็ตกใจ

เขากําลังสงสัยว่ามนุษย์เงือกหนองน้ําเหล่านี้กับสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์นั้น เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันหรือไม่? ถ้าจะให้เปรียบง่าย ๆ ก็คือ มันเหมือนกับกระบวนการเจริญเติบโตจากหนอนผีเสื้อไปเป็นดักแด้และกลายเป็นผีเสื้อในที่สุดใช่ไหม

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทําให้เขาตกใจที่สุดก็คือนี่เป็นเหตุการณ์ที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน

ปรากฏว่าการที่พวกเขาไม่เจอสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากมนุษย์เงือกหนองน้ํา ก็เพราะเหตุนี้เองสินะ?

นอกจากนั้นการเต้นรําของนักบวชมนุษย์เงือกต้องเป็นพิธีกรรมบางอย่าง แต่มันไม่เหมือนกับการเต้นรําบวงสรวงถวายแด่เทพสมุทร มันเต็มไปด้วยความลึกลับและแปลกประหลาดจนลืมไม่ลง

ขณะเดียวกัน ลูกออร์บที่มนุษย์เงือกหนองน้ําว่ายไปตายก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์ มันต้องเป็นผลจากการเต้นรําบวงสรวงที่ชั่วร้ายบางอย่างแน่

และการบวงสรวงอันชั่วร้ายแต่น่าหลงใหลเช่นนี้ ก็ต้องไม่ใช่พลังของเทพเจ้าฝ่ายดีอย่างแน่นอน มนุษย์ เงือกเหล่านี้ต้องเป็นสาวกของเทพเจ้าชั่วร้าย!