ตอนที่ผู้ใหญ่บ้านมาถึง คนกลุ่มนี้ก็มาอยู่บริเวณหน้าบ้านตระกูลหลินแล้ว…หรือว่าจะเป็นแขกสำคัญที่นางหนูรองรู้จักในเมือง ?
เมื่อลองเพ่งมองให้ดีก็พบว่าหนึ่งในนั้นคือท่านนายอำเภอซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผู้ใหญ่บ้านเคยเจอ หากพบเจอในเวลาปกติ ทุกคนก็จะเห็นนายอำเภอในท่าทางสูงส่ง มีมาดของขุนนางใหญ่ แต่พอมาอยู่ต่อหน้าชายชราตัวอ้วนด้านข้างแล้วกลับดูประจบประแจงไม่น้อย
เหตุใดนายอำเภอจึงมาที่นี่ ? แล้วชายชราเคราแพะคือผู้ใด ? การที่พวกเขามาเยือนหมู่บ้านฉือหลี่โกวถือเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ ?
ผู้ใหญ่บ้านเข้าไปคารวะด้วยใจกังวล ทันใดนั้นนายอำเภอหวางก็ถามว่า “เจียงโม่หาน บัณฑิตเจียงเป็นคนฉือหลี่โกวของพวกเจ้าหรือไม่ ? ”
“เรียนใต้เท้า ใช่ขอรับ ! ” ผู้ใหญ่บ้านตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“ได้ยินว่าบัณฑิตเจียงช่วยสร้างกังหันวิดน้ำให้หมู่บ้าน เรื่องนี้จริงหรือไม่ ? ” คราวนี้คนที่ถามคือฟางเหยียนไว่หลาง
ฟางเหยียนไว่หลางมีรูปร่างค่อนข้างอ้วน ใบหน้าอ้วนกลม ท่าทางใจดี หลังผู้ใหญ่บ้านได้ยินเช่นนั้นก็สบายใจขึ้นพอสมควร เพราะถามถึงเรื่องกังหันวิดน้ำคงไม่ใช่เรื่องร้าย !
เขาจึงรีบตอบ “มีขอรับ ! บัณฑิตเจียงไม่เพียงสร้างกังหันวิดน้ำเท่านั้น ยังเป็นแกนนำร่วมกับบุตรสาวคนรองตระกูลหลินบ้านข้าง ๆ พาทุกคนในหมู่บ้านขุดคูน้ำ คนในหมู่บ้านจึงไม่ต้องไปหาบน้ำมารดแปลงนาอีกต่อไป ! ใต้เท้าอยากพบบัณฑิตเจียงหรือขอรับ ? แต่ว่าตอนนี้เขาน่าจะกำลังอ่านตำราอยู่บนภูเขา ส่วนจะอยู่ตรงจุดใดนั้นข้าน้อยก็ไม่แน่ใจ ใต้เท้าได้โปรดอย่าถือสาเลยขอรับ ! ”
“ไม่เป็นไร ผู้ใหญ่บ้านวังสามารถพาพวกเราไปดูกังหันวิดน้ำของหมู่บ้านฉือหลี่โกวได้หรือไม่ ? ” ฟางเหยียนไว่หลางแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นการทำงานของกังหันวิดน้ำของจริง
ผู้ใหญ่บ้านเห็นขุนนางท่านนี้พูดเก่งยิ่งกว่านายอำเภอ ความหนักอึ้งที่เหลือในใจจึงค่อย ๆ หายไปจนหมด เขารีบโค้งให้แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แน่นอน แน่นอนขอรับ ! ใต้เท้าเชิญตามข้าน้อยมาเลยขอรับ ! ”
เมื่อเดินมาใกล้บ้านตระกูลฝาง กลิ่นหอมอบอวลของบางอย่างก็แรงขึ้นทันที นายอำเภอหวางสูดหายใจหนึ่งครั้ง “นี่คือบ้านของใคร ? ทำของอร่อยอันใดอยู่ ? ”
ผู้ใหญ่บ้านรีบตอบ “นี่คือโรงงานแปรรูปของหมู่บ้านพวกเราโดยมีบุตรสาวคนรองตระกูลหลินเป็นแกนนำ…อ้อ ใช่ เพราะโรงงานนี้บุตรสาวคนรองตระกูลหลินยังขอร้องให้บัณฑิตเจียงปรับปรุงกังหันวิดน้ำใหม่ ตอนนี้กังหันวิดน้ำสองตัวไม่ต้องใช้แรงคนขับเคลื่อนแล้ว แค่พึ่งพาลมให้ขับเคลื่อนกังหันและชักน้ำลงเขาขอรับ ! ”
“กังหันวิดน้ำสองตัว ? ” ฟางเหยียนไว่หลางหันไปมองสหาย เจ้าไม่ได้บอกว่ามีแค่ตัวเดียวหรือ ? เปลี่ยนเป็นสองตัวตั้งแต่เมื่อใด ? ทั้งยังไม่ต้องใช้แรงคนขับเคลื่อนแต่ใช้พลังลมทำแทนอีก…คุยโวเกินไปหน่อยหรือไม่ ?
“ขอรับ ! กังหันตัวเล็กอีกตัวชักน้ำมาที่บ้านหลังนี้ ไม่เพียงมีไว้สำหรับโรงงานเท่านั้นแต่ยังสร้างความสะดวกสบายให้คนทั้งหมู่บ้านด้วย ใต้เท้าทั้งสองเชิญดู นี่คือกังหันวิดน้ำที่ช่วยชักน้ำลงมาจากภูเขาขอรับ”
เมื่อมองไปตามนิ้วมือของผู้ใหญ่บ้าน ทุกคนก็เห็นเพียงท่อไม้ไผ่ขนาดเท่าน่องคนทอดตัวอยู่เหนือกำแพงจนไปถึงบนเขา ระหว่างนั้นน้ำใส ๆ ก็ไหลมาตามท่อไม้โดยไม่ขาดสาย ซึ่งด้านล่างจะมีถังขนาดใหญ่รองรับอยู่ เวลานี้มีเด็กประมาณ 10 ขวบกำลังตักน้ำที่ใกล้เต็มไปใส่ถังขนาดใหญ่อีกใบ…
ผู้ใหญ่บ้านทำงานเป็นสุด ๆ จึงรีบห่อเมล็ดสนที่เพิ่งคั่วเสร็จมาประเคนให้ขุนนางทั้งสองกับอาจารย์ฟ่าน “ใต้เท้าทุกท่านลองชิมผลิตภัณฑ์พิเศษของฉือหลี่โกวเถิดขอรับ…มันชื่อว่า เมล็ดสนปากอ้า ! ”
“ที่แท้เมล็ดสนปากอ้าของร้านตระกูลหนิงก็เป็นผลิตภัณฑ์จากฉือหลี่โกวนี่เอง ! ” นายอำเภอหวางหันไปมองผู้แทนพิเศษ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมรับเมล็ดสนไว้จึงกล้ารับตาม
มารดาของเขาชอบกินเมล็ดสนเป็นพิเศษ แต่เพราะอายุมากแล้วฟันจึงไม่ค่อยดีและยังชอบเมล็ดที่คนอื่นแกะให้ด้วย เมล็ดสนปากอ้าที่ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ล้วนมีเปลือกที่เปิดแล้วทุกเมล็ด แค่ใช้มือแกะเบา ๆ เมล็ดสนก็จะหลุดออกมาแล้ว มันจะไม่ถูกใจนางได้อย่างไร ? นางกินวันละหนึ่งกำมือเลยทีเดียว !
นายอำเภอหวางขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรกตัญญู เขามักเข้าร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้บ่อยครั้ง เนื่องจากต้องซื้อเมล็ดสนให้มารดาและยังมีขนมซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของภรรยารวมถึงเด็กในบ้าน !
ไม่ว่าเป็นเมล็ดสนหรือขนมของร้านตระกูลหนิงก็ดีหมดทุกอย่าง เพียงแต่…ราคาค่อนข้างแพงไปหน่อย ! เงินเดือนน้อยนิดของเขาไม่เพียงพออยู่แล้ว โชคดีที่ภรรยามีสินเดิมเป็นร้านค้าสองสามร้าน นางจึงพอมีเงินในมืออยู่บ้าง
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ “ใช่ขอรับ ! ไม่ว่าจะเป็นผลไม้อบแห้ง เนื้อแผ่น แยมผลไม้แล้วก็เมล็ดสนปากอ้าอีก 4 รสชาติล้วนเป็นสินค้าที่ส่งออกจากหมู่บ้านฉือหลี่โกวของพวกเรา ! ”
“ผู้ใหญ่บ้าน ระหว่างที่ผ่านมานี้ชาวบ้านของหมู่บ้านอื่นล้วนตัวผอมแห้งกันหมด มีเพียงหมู่บ้านของพวกเจ้าที่ชาวบ้านยังมีชีวิตชีวาอยู่ ผู้ใหญ่บ้านวังสร้างผลงานชิ้นใหญ่แล้ว ! ”
การที่ฟางเหยียนไว่หลางเดินทางมาถึงที่นี่ย่อมได้เห็นพิษจากภัยแล้งในภาคเหนือด้วยสองตา หญ้าไม่อาจหยั่งราก ชาวบ้านอดอยากมีอยู่ทุกหนทุกแห่งแล้วจะไม่ใช้คำว่าน่าสลดใจได้อย่างไร แต่เมื่อเข้ามาในฉือหลี่โกวทุกอย่างกลับต่างออกไป ราวกับจู่ ๆ ก็ออกมาจากเขตภาคเหนือแล้วเข้าสู่พื้นที่แห่งใหม่
“ข้าน้อยไม่อาจรับว่ามีผลงานใดได้ขอรับ ! ใต้เท้า มีคำกล่าวประโยคหนึ่งที่เอ่ยว่าอยู่ใกล้ภูเขากินของในภูเขา อยู่ใกล้น้ำกินของในน้ำ หมู่บ้านแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหลายพันลี้ เป็นเส้นทางหล่อเลี้ยงหลักของฉือหลี่โกวขอรับ ! ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยความซาบซึ้ง
“หืม ? อย่างไรหรือ ? ” ฟางเหยียนไว่หลางมีฐานะครอบครัวค่อนข้างดีจึงไม่รู้ว่าภูเขาขนาดใหญ่เหล่านี้สามารถหล่อเลี้ยงชาวบ้านได้อย่างไร
ผู้ใหญ่บ้านชี้ไปยังบ้านตระกูลฝาง “พวกเราทั้งหมู่บ้านขึ้นไปเก็บลูกสนด้วยกัน จากนั้นก็นำมาแปรรูปที่นี่ขอรับ หากขายได้เงินก็จะนำมาแบ่งกันอีกที พวกผู้หญิงและเด็กเก็บผลไม้ป่าที่อยู่ในละแวกหมู่บ้านแล้วตระกูลหลินก็จะรับซื้อในราคาสูง หากเป็นผู้หญิงที่ขยันหน่อย เมื่อออกทำงานทั้งวันก็จะแลกข้าวสารมาได้ถึงสองสามชั่ง ! ปีนี้ภัยแล้งรุนแรง ผลผลิตลดลงกว่าครึ่ง คนในหมู่บ้านจึงต้องหันมาพึ่งงานเหล่านี้เพื่อเอาชีวิตรอดขอรับ ! ”
นายอำเภอหวางนึกถึงหมู่บ้านอื่นที่อยู่ติดภูเขาเช่นกัน ผู้ใหญ่บ้านล้วนไปร้องไห้ไม่เว้นวัน ณ ที่ว่าการอำเภอเพื่อขอให้ทางการเปิดยุ้งฉางบรรเทาทุกข์ ดูเหมือนฉือหลี่โกวแห่งนี้จะอาศัยความขยันหมั่นเพียรของชาวบ้านจนสามารถหาเส้นทางอันมั่งคั่งได้ นับว่าเป็นมนุษย์เหนือมนุษย์ สินค้าเหนือสินค้าอย่างแท้จริง !
“ไม่ได้บอกว่าในภูเขามีสัตว์ป่าเดินเพ่นพ่าน ขึ้นเขามีเพียงความตายเท่านั้นหรือ ? หรือสัตว์ป่าบนเขาก็ดูแลพวกเจ้าชาวฉือหลี่โกวเป็นพิเศษ ? ” นายอำเภอหวางถามขึ้นมา
“ท่านนายอำเภอล้อเล่นแล้ว ! ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้สัตว์บนเขาดุร้ายมาก หมู่บ้านของพวกเราเคยจับกลุ่มเด็กหนุ่มขึ้นไปล่าสัตว์แต่ก็เกือบโดนหมีควายไล่ฆ่า โชคดีที่ในหมู่บ้านมีพรานฝีมือฉกาจ 2 คน พวกเขามีประสบการณ์ในการล่าสัตว์มากจึงสามารถพาทุกคนในหมู่บ้านไปยังสถานที่ไร้สัตว์ดุร้ายโผล่มาได้ ชาวบ้านอย่างเราก็ไร้ทางเลือกถึงได้กล้าขึ้นเขาไปแย่งอาหารมาจากปากของสัตว์ป่าขอรับ ! ”
ผู้ใหญ่บ้านนึกถึงตอนเก็บลูกสน เสียงหมาป่าหอนดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้หลิวต้าจ้วงตกใจแทบตกจากต้นไม้ แล้วพรานหวังยังบอกว่าเห็นหมาป่า 50-60 ตัวซึ่งพวกมันกำลังล่าเหยื่อภายใต้คำสั่งของจ่าฝูง แม้แต่นายพรานผู้มากประสบการณ์ก็ยังเข่าอ่อน…
“ชาวฉือหลี่โกวต้องเดิมพันด้วยชีวิตขอรับ ! ” ไม่พูดก็คงไม่ได้ว่าระหว่างอดตายกับไปเสี่ยงตายบนภูเขา พวกเขาเลือกอย่างหลัง แต่ก็โชคดีที่สามารถชนะเดิมพันมาได้ !
ระยะทาง 5 ลี้จากหมู่บ้านขึ้นไปยังสระน้ำบนภูเขาทำให้นายอำเภอและเหยียนไว่หลางต้องฝืนสังขารกันเลยทีเดียว เมื่อมาถึงบริเวณแหล่งน้ำแล้วแต่ละคนก็หอบหายใจเหนื่อยและมีเหงื่อโซกเต็มตัว
ตอนต่อไป