บทที่ 188 ความแตกต่าง
บทที่ 188 ความแตกต่าง

ซูเสี่ยวฉินกำลังสร้างปัญหาให้กลุ่มคนมาที่นี่ทุก ๆ สองสามวัน ส่งผลให้ผู้คนหงซินไม่สบายใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ฝั่งคอกวัว แม้แต่ข้าวสักคำยังไม่ได้กิน

“ดีไม่ดีไม่สำคัญหรอกค่ะ ถ้าอยากคุยด้วยก็สักสองประโยคพอ ถ้าไม่อยากคุยด้วยก็คุยกันน้อย ๆ ก็พอ”

ซูเถาฮวามองได้ทะลุปรุโปร่งมาก ถ้าพวกเขาอยู่ในหงซินคงไม่กล้ารังแกเธอแน่

คุณย่าคิด แล้วมันก็จริงอย่างที่ว่า ถ้าเถาฮวาไม่ได้อยู่บ้านก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่

“เถาฮวา เมื่อกี้เรียกตะโกนเรียกเสี่ยวเถียนตอนเดินเข้ามามีเรื่องอะไรหรือ!” คุณย่าซูถามเมื่อนึกขึ้นได้

“ถ้าคุณป้าไม่ถาม ฉันก็ลืมไปแล้ว ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ แค่ทำรองเท้ามาให้เธอคู่หนึ่ง”

อย่างที่เถาฮวาพูด เธอหยิบรองเท้าคู่หนึ่งออกมาจากถุงจริง ๆ ผิวรองเท้าเป็นผ้ากำมะหยี่สีแดง มีขอบสีดำ ฝีมือประณีตมาก เป็นรองเท้าที่น่ารักมากจริง ๆ

“ไอ๊หยา ดูกำมะหยี่สีแดงนี่สิ สีสดจริง ๆ ไม่เคยเห็นสีที่สวยแบบนี้มาก่อนในช่วงสองปีเลย”

“ป้าพูดถูกค่ะ ฉันยังคิดอยู่เลยเพราะมันเป็นของเก่ามาหลายปีแล้ว เหมือนว่าจะเคยทำให้ตอนที่เสี่ยวเหม่ยตอนเด็กด้วย”

“มีของดีแบบนี้ทำให้เสี่ยวเหม่ยเถอะ เด็กคนนี้โตแล้ว อีกสองปีต้องพูดเรื่องหาคู่ครองแล้ว” คุณย่าซูบ่นกระปอดกระแปด

สีแบบนี้ทำให้เสี่ยวเหม่ยตอนแต่งงานถึงจะดูดี ถ้าให้เสี่ยวเถียนเด็กคนนี้ของมันจะเสียเปล่า

จริง ๆ

“ฉันคิดจะทำให้เสี่ยวเหม่ยค่ะ แต่ผ้าแค่นี้ทำไปก็ไม่พอ ฉันเลยคิดทำให้เสี่ยวเถียนคู่หนึ่งค่ะ” ซูเถาฮวาเป็นคนที่รู้จึกตอบแทนผู้มีพระคุณ

เธอรู้ดีว่าที่ลูกชายรับราชการทหารได้เพราะบ้านซู และที่เสี่ยวเหม่ยได้ทำงานที่ฟาร์มก็เพราะบ้านซูพูดต่อหน้าหัวหน้าซูให้

ช่วงนี้เสี่ยวเหม่ยก็บอกว่าตอนที่อ่านหนังสือ เด็ก ๆ บ้านซูช่วยเธอไว้ไม่น้อยเลย

ก็เพราะช่วงนี้แม่กำลังลำบาก การที่เดินมาถึงจุดนี้ได้ต้องขอบคุณบ้านซู

เธอไม่ใช่คนประเภทที่ว่า ฉันมันคนน่าสงสาร อ่อนแอ ฉันมีเหตุผลเลยต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อเป็นการตอบแทน จะได้รู้สึกสบายใจขึ้น

คุณย่าซูได้ฟังก็ไม่ปฏิเสธอีก ถ้ามีโอกาสช่วยเถาฮวาได้ก็ดีแล้ว

คุยต่อไม่กี่ประโยค เถาฮวาก็ขอตัวกลับบ้านไปเก็บกวาดก่อน

คุณย่าซูรีบพูดทันที “พอดีเลย หม่านซิ่วเพิ่งให้คนส่งอาหารมาให้ ฉันว่าจะส่งให้เธอด้วย เธอมาก็ดีแล้วเอาไปด้วยเลยสิ”

ซูเถาฮวารีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอกป้า ดูแลฉันเยอะพอแล้ว ฉันรู้สึกละอายใจจริง ๆ อีกอย่างตอนนี้ชีวิตฉันก็ไม่ใช่ว่าจะผ่านมันไปไม่ได้ ถ้าหม่านซิ่วให้มา ป้าก็เก็บไปเองเถอะ”

แต่สุดท้ายก็เอาน้ำตาลกับไข่มาอยู่ดี ส่วนเรื่องที่ต้องคอยต้อนรับคนนอก เถาฮวาปวดหัวจริง ๆ

ถ้าคนพวกนั้นขี้จุกจิกจะทำอย่างไร?

ถึงจะบอกว่าได้อาหารได้เงิน แต่ถ้าจู้จี้จุกจิกเกินไปแล้วไม่มีอะไรดี ๆ ให้พวกเขากินจนสร้างปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไร?

“แม่ไม่ต้องกังวลไปนะ ไม่ว่าบ้านเราจะเป็นอย่างไรก็ให้พวกเขากินเท่าที่ได้เถอะ ได้ยินป้าใหญ่บอกว่าจะส่งไข่ห้าฟองให้คณะทำงานทุกวันด้วยค่ะ” ซูเสี่ยวเหม่ยช่วยทำความสะอาดไปด้วย ปลอบแม่ไปด้วย

ซูเถาฮวาโล่งใจเมื่อได้ยินว่ามีไข่ให้ห้าฟองต่อวัน

ในสถานที่แบบนี้ถึงมีตั๋วก็ซื้ออะไรดี ๆ ไม่ได้

“มีคนกินข้าวเจ็ดคน บ้านเรามีอาหารไม่พอหรอก กลับไปจะไปพูดกับห้วหน้าซู ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยคณะทำงานก็ได้นะ” ซูเถาฮวานึกคำถามที่สำคัญอีกครั้ง

“หัวหน้าบอกว่า ให้ไข่ก็พอแล้วค่ะเพราะเมล็ดธัญพืชไม่ได้มีมากขนาดนั้น

เพราะหัวหน้าพูดแล้วว่าพวกเกษตรกรกินอะไรก็จะให้กลุ่มคนทำงานแบบนั้น จะได้ประหยัดและไม่สร้างปัญหาด้วย

อีกอย่างคือ คณะทำงานไปทำงานในชนบท ควรกินอาหารแบบเดียวกับพวกเราชาวนา แบ่งปันทุกข์สุขกับพวกเราสิ

สองคนแม่ลูกพูดคุยกันไปด้วยเก็บกวาดไปด้วย ปกติแล้วเถาฮวาเป็นคนขยันขันแข็งอยู่แล้วบ้านเลยสะอาดมาก หลังจากที่ทำเสร็จบ้านก็สะอาดเป็นประกายวิบวับ

“แม่ บ้านเราค่อนข้างใหญ่เลย” เสี่ยวเหม่ยยิ้ม “แต่แค่เตียงเตาสองหลังใหญ่ก็นอนกันไม่พอแล้ว”

“ลูกว่าจะยังมีใครมานอนบ้านเราอีกไหม” ซูเถาฮวาพูดพร้อมจ้องมองลูกสาว

ถ้าไม่ใช่เพราะชีวิตที่ยากลำบาก ซูเถาฮวาคงไม่ยินยอมให้คนไม่รู้จักมาอยู่บ้านหรอก

มันเป็นบ้านที่พ่อสร้างตอนเพิ่งแต่งงาน ตอนแรกเป็นหลังคามุงจาก แต่ต่อมาพอสถานการณ์ภายในบ้านดีขึ้นก็เปลี่ยนจนมาเป็นรูปลักษณ์ในปัจจุบัน

พอแต่งงานแล้วก็อยู่ที่นี่มาตลอด

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตพวกนี้ ซูเถาฮวาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าตอนที่พ่อแม่มีชีวิตอยู่ พวกเขารักเธอมากขนาดไหนกันนะ

ถึงบ้านเราจะไม่มีลูกชาย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกสาวทั้งสามดีมาก

เรียกได้ว่าบ้านหลังนี้มีความทรงจำของพ่อแม่อย่างลึกซึ้ง

คงจะดีกว่าถ้าบ้านหลังนี้ไม่มีร่องรอยการใช้ชีวิตของหลี่ฉางหมิง

แต่เธอพูดแบบนั้นต่อหน้าลูกไม่ได้

แต่เธอคิดมาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะดูแลบ้านที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ดี และรักษารากเหง้าไว้ให้ได้

หลังจากเก็บข้าวของก็ได้ยินเสียงหัวหน้าซูในลานบ้าน

สองแม่ลูกรีบออกไป ก่อนจะเห็นหัวหน้าและซูโส่วเวินยืนอยู่ในลานกับคนแปลกหน้า

“เถาฮวา คนพวกนี้เป็นสหายของคณะทำงาน คนนี้สหายหลี่ สหายหม่า สหายจ้าว แล้วก็สหายจางกับสหายเสี่ยวจาง ส่วนคนนี้สหายลั่ว แล้วก็มีสหายเฉียนอีกท่าน”

ซูเถาฮวาความจำดี ฟังรอบเดียวก็จำได้ทั้งหมด เธอยิ้มทักทายทันที

คนที่อายุน้อยที่สุดคือสหายเสี่ยวจาง เป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบปี หน้าเด็ก ใบหน้ามีรอยยิ้ม ดูดีมาก

แม้แต่ซูเถาฮวาก็อดไม่ได้ที่จะชอบเด็กคนนี้

แต่เธอไม่ได้สนใจมากนัก แล้วมุ่งไปที่สหายหลี่แทน

เธอเดาว่าสหายหลี่ที่หัวหน้าซูแนะนำคนแรกน่าจะเป็นผู้รับผิดชอบคณะทำงานในครั้งนี้

กล่าวคือ ในอนาคตจะมีหลายเรื่องที่เธอต้องพูดคุยกับสหายหลี่ท่านนี้ และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรับมือยากหรือเปล่า จึงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองสำรวจ

ชายคนนี้อายุสี่สิบปีเศษ ผิวขาวกระจ่างใส ใส่แว่น ดูไม่เหมือนพวกผู้ชายหยาบกร้านในชนบทเลย

เขาสวมเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ทหาร ที่กระเป๋าเสื้อมีปากกาสีทองเสียบอยู่ มองแล้วดูสง่างามมาก

ตอนที่ซูเถาฮวามองเขา อีกฝ่ายกำลังมองบ้านนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยไม่รู้ว่าไม่ชอบที่นี่หรือเปล่า

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซูเถาฮวารู้สึกว่าคนตรงหน้าดูไม่มีพิษมีภัย แต่ก็ทำให้เธอไม่สบายใจ

แววตานั้นแตกต่างไปจากคนในกลุ่ม

“สหายทั้งหลายพักก่อนเถอะ ฉันจะไปต้มน้ำให้ดื่ม หัวหน้าช่วยต้อนรับพวกเขาทีค่ะ มีสองห้องที่ใช้ได้ เตียงเตาทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วค่ะ”

ซูเถาฮวาหมายถึงห้องใหญ่

เธอเคยอยู่ที่นี่ มันเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในบ้าน ครั้งนี้จึงเว้นเอาไว้เพื่อทำต้อนรับคณะทำงาน

“มันเป็นห้องหลักนะ ทำไมถึงให้ล่ะ?” สหายหลี่ถามด้วยความสงสัย

“เพื่อให้พวกคุณได้พักอย่างสะดวกสบาย ช่วงนี้ฉันจะไปเบียดกับคนอื่นก่อน”

สหายเสี่ยวจางพูดอย่างเขินอาย “น่าอายอะไรอย่างนี้? พวกเราพักไม่กี่วันยังต้องให้เจ้าของบ้านย้ายไปอยู่ที่อื่นอีก”

“ห้องหลักมันทั้งใหญ่แล้วก็มีแสงสว่างเพียงพอ เหมาะจะให้พวกสหายใช้”

พูดจบเธอก็ไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืด และจงใจดึงลูกสาวให้ไปต้มน้ำด้วยกัน

เสี่ยวเหม่ยสนใจเสี่ยวจาง

เธอเป็นเด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ด เป็นช่วงที่ความรักผลิบาน ปกติจะเห็นแต่ผู้ชายหยาบกร้านในชุมชน แล้วจู่ ๆ ก็มีเด็กหนุ่มหล่อเหลาและอ่อนโยนปรากฏตัวต่อหน้า จึงถูกดึงดูดความสนใจโดยไม่รู้ตัว

ซูเถาฮวาเห็นลูกสาวเอาแต่มองไม่หยุด เลยกระตุ้นให้ลูกสาวรีบเดิน

ส่วนสหายเสี่ยวจาง ไม่รู้ว่ามีเด็กสาวผู้มีเปียสองข้างกำลังแอบมองตนเองอยู่

เขาวางสัมภาระในมือลงกับพื้นก่อนจะยืดเอวแล้วพูดขึ้น “เดินทางมาที่นี่ไม่ง่ายเลย ผมเหนื่อยจนจะทรุดแล้ว!”

“มันเพิ่งเริ่มเอง จะทรุดไม่ได้นะ!” มีคนขอร้องสหายเสี่ยวจาง

“ไม่ได้นะ นายเป็นน้องเล็กสุด จะทรุดก่อนใครไม่ได้นะ!”

ทุกคนพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ บรรยากาศกลมกลืนกันมาก ไม่หดหู่เหมือนก่อนหน้านี้เลย

เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาเหนื่อยจริง

ซูฉางจิ่วไม่ใช่คนมองสถานการณ์ไม่ออก เขารีบต้อนรับทันที “เหล่าสหายเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาแล้ว พักสักหน่อยเถอะแล้วค่อยจัดที่นอนนะ จะได้ดื่มน้ำอุ่น”

ซูฉางจิ่วเป็นฝ่ายคอยต้อนรับ ใจในพลันคิดว่าเถาฮวาอยู่ที่นี่ก็ดี แต่เพราะไม่มีผู้ชายมาคอยต้อนรับก็เลยไม่สะดวก