บทที่ 189 เรียนหนังสือจะไปมีดีอะไรล่ะ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 189 เรียนหนังสือจะไปมีดีอะไรล่ะ?

บทที่ 189 เรียนหนังสือจะไปมีดีอะไรล่ะ?

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซูเถาฮวาต้องไปอาศัยอยู่ที่ฟาร์มไก่ และเพราะพี่สาวคนนี้มา หวังเซียงฮวาจึงเบาใจลงไปได้เยอะ

เธอวางแผนจะกลับบ้านในตอนเย็น

กลิ่นฟาร์มไก่ไม่ดีสักนิด แต่โชคดีที่เถาฮวาไม่ใช่คนจุกจิกอยู่แล้ว อยู่ในที่แบบนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแย่

ที่ฟาร์มไก่มีบ้านพักสองหลัง และตอนกลางคืนคนอยู่เวรจะต้องพักอยู่ที่นี่

พักอยู่ที่นี่ก็ไม่แย่นะ มีผู้หญิงวัยเดียวกันอยู่ด้วยกันแล้ว บรรยากาศคึกคักมาก

ตกเย็น เธอเห็นพวกเด็ก ๆ ถือหนังสืออ่านอย่างตั้งใจ จึงอดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งในใจ

“เด็กพวกนี้ หน้าตาจริงจังเชียว ไม่รู้ว่าไปสอบจอหงวนกันหรือเปล่าเนี่ย”

เสี่ยวเหม่ยกอดแขนมารดาแน่น “แม่ พวกเราไปสอบดีไหม ไม่แน่ว่าจะอาจจะได้แต่งงานกับองค์หญิงก็ได้นะ!”

เดิมทีเสี่ยวเหม่ยคิดจะพูดเล่น แต่จู่ ๆ แม่ก็คิดอะไรขึ้นได้แล้วรีบพูดก่อน “สาว ๆ อ่านก็อ่านสิ อย่าคิดเล่น ๆ เชียวนะโดยเฉพาะเรื่องพูดไปเรื่อยเนี่ย”

ถึงบรรยากาศจะดีขึ้นแล้ว แต่ช่วงหลายปีมานี้ เถาฮวายังกลัวจะหลุดปากแล้วสร้างปัญหาอยู่เลย

เสี่ยวเหม่ยรู้ว่าพลั้งปากไปแล้ว ก็เลยรีบพูดขึ้น “ปกติพวกเราไม่พูดไปเรื่อยหรอกค่ะ อ่านหนังสือก็พวกเรื่องปลูกต้นไม้นั่นแหละ เสี่ยวเถียนบอกว่าการเลี้ยงไก่ก็เป็นคำถามในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยนะ”

“เสี่ยวเถียนพูดจามีเหตุผล ดูสิ ชุมชนการผลิตหงซินเลี้ยงไก่ดีมากเลย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้มีตั้งหลายชุมชนล้มเหลวกับมัน!” ซูเถาฮวาพูดอย่างซาบซึ้ง

ใครเลยจะรู้ว่าเป็นผลงานของหลานที่ทำให้หงซินเลี้ยงไก่ได้ดี

ถึงหัวหน้าจะบอกว่าเป็นผลงานอาจารย์ตู้ที่คอกวัว แต่เธอรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง

ช่วงสองปีมานี้ อาหารในหงซินเราดีกว่าที่อื่น ๆ เยอะเลย ควรเป็นผลงานของเสี่ยวเถียนด้วยนะ

“แม่ เมื่อวานหนูได้ยินว่าเสี่ยวเถียนชวนเสี่ยวกังอ่านหนังสือด้วย แถมยังบอกน้องด้วยว่าไม่รู้หนังสือไม่ได้นะ”

พอพูดถึงลูกชายคนเล็กเธอก็เศร้าใจ เด็กคนนี้ไม่ชอบเรียนหนังสือ แถมยังบอกอีกว่าเรียนไปก็ไม่มีประโยชน์

ไม่รู้ว่าไปได้ยินคำพูดโง่เง่านี่มาจากไหน ทุกครั้งที่สังหารสุนัขด้วยความชอบธรรม มักเป็นบัณฑิตจิตอธรรมเสมอ*[1]

ฟังแล้วก็ฟัง นี่คือสิ่งที่เด็กควรพูดหรือ?

“เสี่ยวกังน่ะ เด็กคนนี้พูดอะไรไปก็ไม่เข้าหูหรอกค่ะ” ซูเถาฮวาพูดโดยไม่คิด

เสี่ยวเหม่ยยิ้ม “แม่ เพราะแม่รู้จักน้องดี เขาบอกว่าเขาจะเป็นชายที่ยืนค้ำฟ้า มีพละกำลังมาก กินข้าวได้โดยไม่ต้องเรียน”

“ถ้าอยู่ในชนบทเราก็ไม่มีปัญหาหรอก แค่ได้ใช้แรงงานจะไม่ได้กินข้าวได้อย่างไรล่ะ?” สะใภ้คนหนึ่งพูดขึ้น

เธอชื่อจูซิ่วหง เพิ่งแต่งงานได้เดือนกว่า ๆ ก็มาทำงานในฟาร์มไก่

ซูเถาฮวาไม่ชอบเธอ แต่ก็ไม่ได้ขัดคอกัน

“ใช่ ถ้าทำงานก็ได้กินข้าว เสี่ยวกังยังเด็ก ฉันยังอยากให้เขาเรียนก่อนแล้วค่อยทำงาน!” ซูเถาฮวาพูดด้วยรอยยิ้มขณะร้อยด้าย

ช่วงแรก ๆ เถาฮวาไม่ใช่คนแบบในตอนนี้ หลังจากใช้ชีวิตมาหลายปี ตอนนี้เธอได้กลายเป็นคนเฉียบคมแล้ว

“เสี่ยวกังอายุสิบปีแล้วนะ ไม่เด็กแล้วไม่ใช่หรือไง? ชุมชนเราเด็กอายุสิบปีก็ทำงานในไร่ในนากันแล้วทั้งนั้น!” เห็นได้ชัดว่าจูซิ่วหงรับไม่ได้

ไม่รู้ว่าพวกหงซินโง่หรือเปล่า ทุกคนถึงเอาแต่ง่วนอยู่กับการเรียนหนังสือ

เรียนหนังสือจะไปมีดีอะไรล่ะ? ถึงอ่านออกเขียนได้ก็ทำงานอยู่บ้านนอกไม่ใช่หรือไง?

พวกยุวชนอยู่ที่ชนบทมานานแค่ไหนแล้ว? แต่ละคนอยากกลับเมืองทั้งนั้น แต่ก็กลับไปไม่ได้

คนหงซินพวกนี้น่าขันจริง ๆ แม้แต่เรื่องเลี้ยงไก่ยังต้องเรียนรู้จากในหนังสือ

ทุกวันนี้บ้านใครบ้างล่ะที่ไม่เลี้ยงไก่?

ไม่ใช่ว่าแค่โรย ๆ อาหารก็แก้ปัญหาแล้วไม่ใช่หรือ? จะทำให้ยุ่งยากไปทำไม?

ขนาดเธอไม่ได้เรียนมายังได้ทำงานในฟาร์มเลยนะ?

“เด็กขนาดนั้นทำงานได้ไม่เท่าไรหรอก” ซูเถาฮวายั้งรอยยิ้มไว้เล็กน้อย

“เรียนรู้ไปก่อนเดี๋ยวก็ทำได้เองแหละ พี่ชายกับน้องชายของฉันก็ตามพ่อไปทำงานตั้งแต่อายุสิบเอ็ดสิบสอง ชำนาญเลยตอนนี้” ตอนเธอพูด ท่าทางดูภาคภูมิใจมาก

สาว ๆ ได้ยินจูซิ่วหงพูดก็แปลกใจมาก

ก่อนหน้านี้ป้าเล็กของเธอทำงานที่นี่ ทุกคนเริงร่ากันมาก

ไม่รู้ว่าไปพ่อแม่สามีคิดอย่างไร ถึงได้มาทำงานแทนป้าเล็ก

ถ้าทำก็ทำไปสิ จะใช้กลโกงไปทำไม?

เพราะงั้น หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทุกคนก็ไม่ชอบเธอมาก

เพราะอย่างไรก็เป็นพวกสะใภ้ หน้าตาต่ำต้อย ต่อให้ใช้เล่ห์เหลี่ยมก็ทำได้แค่อดทน

เธอล้างเล้าไก่ไม่สะอาดเลยต้องใหม่ทำอีกรอบ เธอผสมอาหารไม่ถูก ก็ต้องมาช่วยอีก

เสี่ยวเฉ่าไม่อยากฟังอีกฝ่ายพูดต่อไปแล้ว จึงเปลี่ยนหัวข้อ

“หนูได้ยินมาว่า ตอนนี้คนในเมืองสวมเสื้อไหมพรมกัน เขาจะใช้ไหมพรมสีต่าง ๆ มาถัก สวยมากเลยค่ะ”

ไม่มีเด็กสาวคนไหนไม่รักสวยรักงาม

“ครั้งก่อนหม่านซิ่วก็ใส่เสื้อไหมพรมใช่ไหม? ได้ยินว่าไหมพรมแพงมาก จินละยี่สิบหยวน แถมต้องใช้ตั๋วด้วย!” เสี่ยวเฉ่าคุยกับซูเถาฮวาด้วยรอยยิ้ม

“พ่อหนูบอกว่าสิ้นปีนี้จะปรึกษากับผู้อำนวยการโรงงานขนมไข่ว่าจะให้ตั๋วกับพวกเราด้วยค่ะ ถึงตอนนั้นอาจจะมีตั๋วไหมพรมก็ได้นะ” เด็กสาวยิ้ม

เธอก็อยากมีเสื้อไหมพรมเป็นของตัวเองด้วย ทั้งสวยทั้งอุ่น

จูซิ่วหงร้องเหอะ นี่กำลังอวดกันชัด ๆ เลยนี่? ใครบ้างไม่รู้ว่าพ่อของหล่อนเป็นหัวหน้าชุมชนการผลิตน่ะ?

แต่หัวหน้าก็เป็นพวกไร้ความสามารถ แม้แต่ฟาร์มหมูยังทำไม่ได้เลยไม่ใช่หรือไง?

“ป้าเถาฮวา ได้ยินว่าฟาร์มหมูก็โดนชุมชนใหญ่ขวางไว้ไม่ใช่หรือ รู้เหตุผลไหม?” จูซิ่วหงชำเลืองมองเสี่ยวเฉ่าตอนที่พูด

แต่อีกฝ่ายจะเข้าใจความหมายที่สื่อออกมาได้อย่างไร

แต่เธอเหน็บแนมคนแบบนี้ไม่ได้!

ซูเถาฮวาถูเข็มบนหนังศีรษะเบา ๆ แล้วมองไปที่จูซิ่วหง

เป็นพวกไม่สงบสุขเลยนะ ไม่รู้จริง ๆ ว่าปล่อยให้คนแบบนี้มาทำงานที่ฟาร์มไก่มันดีหรือไม่ดีกันแน่

“ฉันเป็นแม่บ้าน จะไปรู้เรื่องที่ไหนกัน เรื่องพวกนี้มีพวกหัวหน้ากังวลก็พอแล้ว พวกเราไม่ต้องไปสนใจหรอก”

พอพูดเรื่องนี้ เถาฮวาก็ไม่สบายใจมาก

หัวหน้าบอกว่า ฟาร์มหมูควรมีใครสักคนดูแล แล้วก็แต่งตั้งเธอเป็นคนดูแลจริง ๆ

แต่หลังจากรอมาเดือนกว่า สุดท้ายก็โดนชุมชนใหญ่ขัดขวางเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

ช่างมัน ชีวิตก็ต้องแบบนี้ ฝืนไม่ได้หรอก!

*[1] ผู้ภักดีส่วนใหญ่มักจะเป็นคนธรรมดาที่ประกอบอาชีพต่ำต้อย ในขณะที่คนมีความรู้กลับทำเรื่องที่ขัดต่อมโนธรรม