บทที่ 190 หนูร้องไห้ให้พี่เห็น

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 190 หนูร้องไห้ให้พี่เห็น

บทที่ 190 หนูร้องไห้ให้พี่เห็น

ชีวิตในบ้านตอนนี้ก็ไม่ลำบาก แล้วก็ไม่ต้องไปฟาร์มหมูด้วย

จูซิ่วหงยิ้มเยาะ พูดแบบนี้แล้วใครบ้างจะไม่รู้ล่ะว่า หน้าที่ฟาร์มหมูมอบหมายให้ซูเถาฮวาแล้ว

ซูเถาฮวามันหน้าด้านจริง ๆ ส่งสามีไปเหมืองไม่พอยังมีหน้ามาอยู่ที่นี่อีก

“ป้าเถาฮวาพูดถูกแล้ว ผู้หญิงก็แบบนี้แหละ ควรอยู่บ้านดูแลสามีสั่งสอนลูกหลาน ใช้ชีวิตให้สงบสุข! ถ้าผู้หญิงดีจริง ผู้ชายก็ไม่มีใจคิดไปอื่นใดหรอก ป้าว่าไหม?” ซิ่วหงว่าก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูจากข้างนอก

เธอหมุนตัวกลับมาแล้วผุดลุกขึ้น “สามีฉันมารับแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะ ป้าเถาฮวา ผู้ชายก็แบบนี้แหละ ทำผิดบ้างเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

คำพูดของหล่อนทำให้สีหน้าของซูเถาฮวาไม่ค่อยดีนัก อันที่จริงมันดำมืดเลยต่างหาก

คงจะแปลกถ้าเถาฮวาไม่เข้าใจความหมาย

เรื่องราวบนโลกก็เป็นแบบนี้ เห็นชัด ๆ ว่าผู้ชายทำผิด แต่ส่วนใหญ่ดันบอกเป็นปัญหาของผู้หญิง

เธอนึกถึงตัวเองเมื่อหลายปีก่อน มุมปากผุดรอยยิ้มขมขื่น

ซูเถาฮวาอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน

ตอนนั้นเธอเป็นสาวแกร่งของหงซิน

อ้อ ตอนนั้นยังไม่เรียกว่าหงซินเลย เรียกว่าเวิ้งน้ำตระกูลซูต่างหาก

ผู้คนในระยะสิบลี้ทั้งแปดหมู่บ้านรู้ว่าที่เวิ้งน้ำตระกูลซูมีหญิงสาวน้ำดี หน้าตางดงาม มือเท้าว่องไว มีผมเปียสองข้างสะบัดไปมา ทั้งยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ตอนนั้นพวกผู้ชายถ่อมาขอแต่งงานถึงบ้าน บางคนก็กล้า ๆ กลัว ๆ มารอพบที่ถนน บางคนก็อายเวลาเห็นโดยบังเอิญ

ซูเถาฮวายังเคยคิดว่าตนเองจะได้พบรักกับสามี แต่งงาน มีลูก และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป

แต่สุดท้ายที่บ้านไม่มีลูกชายเลย ก็เลยเลือกแต่งกับคนที่มาขอแต่งเข้าบ้านแทนนั่นคือ หลี่ฉางหมิง

ถึงจะเลือกเขยแต่งเข้าบ้านมา แต่เถาฮวาคิดว่าเธอควรมีความสุขมากกว่านี้

หลี่ฉางหมิงเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี อ่านออกเขียนได้ เวลาพูดอ่อนโยนมาก

ถ้าไม่ใช่เพราะฐานะทางบ้านยากจน ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ไม่หาภรรยาก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่ยินยอมแต่งเข้าบ้านใครเช่นกัน

เธอในตอนนั้นที่อยู่เบื้องหน้าเป็นสาวน้อยวัยหาคู่ครอง ใบหน้ายิ้มแย้ม

ย้อนกลับไป เถาฮวาก็ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะกลายเป็นแบบนี้

ชีวิตมันเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไร?

ตั้งแต่ที่พ่อเสียไป แล้วหลี่ฉางหมิงก็รับตำแหน่งนักบัญชีหลังจากนั้น? หรือถัดออกมาอีก?

แต่หลังจากที่แต่งงานได้ไม่นานก็พบว่าสามีเป็นพวกชายแท้

เขาเป็นพวกให้ความสำคัญกับการรักษาหน้าตา และคับข้องใจที่ต้องแต่งงานเข้าบ้านภรรยา

เพราะแบบนี้ เขาจึงคิดเสมอว่า เถาฮวาเสียใจต่อเขาที่ทำให้ต้องมาอยู่ที่หงซิน

หลี่ฉางหมิงเคยพูดมากกว่าหนึ่งครั้งว่า คงจะดีไม่น้อยหากซูเถาฮวายอมแต่งเข้าบ้านเขาแทนที่จะให้เขาแต่งเข้าบ้านเธอแทน

แล้วยังเคยพูดหลังจากพ่อเสียด้วยว่า ลูก ๆ ควรเปลี่ยนเป็นนามสกุลของเขาแทน

แต่เถาฮวาไม่เห็นด้วย พ่อให้เธอแต่งลูกเขยเข้ามาเพื่อสืบสกุล

บางทีทั้งคู่คงเริ่มมีความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่นั้นมาใช่ไหมนะ?

“แม่ คิดอะไรอยู่คะ?” เสี่ยวเหม่ยไม่ได้ยินคำตอบจากแม่เลยถามออกมา

เพราะถูกลูกสาวเอ่ยเรียกดึงสติ สติจึงถูกชักกลับ

“ไม่มีอะไร แค่คิดว่าพวกลูกได้ทำงานในฟาร์มก็ดีนะ”

จูซิ่วหงจากไปแล้ว ส่วนพวกสาว ๆ ก็สนทนาอย่างมีความสุข น้ำเสียงเริงร่า ทั้งยังขบคิดถึงอนาคตด้วย

ซูเถาฮวาได้ฟังพลันรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นเมื่อคุยกับเด็ก ๆ ราวกับตัวเองกลับไปเป็นเด็ก

ช่วงนี้งานในทุ่งไม่ยุ่งนัก หัวหน้าซูง่วนอยู่กับการทำเขื่อนกั้นแม่น้ำ ไม่มีเวลามาดูสมาชิกที่ทุ่งหรอก แค่กำหนดงานที่ต้องทำก็เท่านั้น

ซูเถาฮวาทำงานมาก ออกไปแต่เช้าทุกวัน ดังนั้นจึงมีเวลามากพอจะทำงานอาหารให้คณะทำงาน

วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุข ซูเถาฮวาคิดเกี่ยวกับเงินที่ทำได้และเธอก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ จึงเดินไปทำงานโดยไม่มีเหน็ดเหนื่อยเลย

ณ บ้านผู้เฒ่าซู

เสี่ยวเถียนง่วนอยู่กับการอ่านหนังสือทุกวัน

แต่ก็ยังกำชับกับพี่ ๆ ว่าอย่าผ่อนปรนกันนัก ต้องเรียนให้ได้ทุกวันนะ

นอกจากหวังให้พี่ๆ เรียนต่อมหาวิทยาลัย เธอก็ได้งานงานหนึ่งมาจากระบบอ่านหนังสือ

มันเป็นภารกิจที่จะอัปเกรดให้โดยระบบ

ก่อนหน้านี้เธอได้รางวัลจากการอ่านหนังสือมา เลยทำให้บ้านซูมีชีวิตที่ดีขึ้น

แต่เรามีสมาชิกเกือบยี่สิบคน รายได้ที่ได้รับมาถึงจะไม่น้อยแต่ก็ไม่พอ

ไม่สิ ตั๋วช่วงนี้ยังไม่พอใช่จ่ายเลย

แต่ตอนนี้ด้วยภารกิจใหม่ที่อัปเกรดโดยทางระบบ ประสิทธิภาพและเวลาในการอ่านหนังสือของพี่ ๆ ก็จะทำให้ได้รับรางวัลด้วยเช่นกัน

ถึงจะน้อยกว่า แต่เสี่ยวเถียนเป็นพวกรอบคอบ

ตามหลักการของเธอคือ ถึงยุงจะตัวเล็ก แต่ก็ยังเป็นเนื้อ เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกระตุ้นให้พวกพี่ ๆ อ่านหนังสืออยู่ทุกวันเพื่อเงินและตั๋ว

แต่เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเด็กหนุ่มที่ชินกับการอ่านหนังสือมาอย่างสงบสุขตลอดทั้งเช้าชักจะเจ็บปวดแล้วสิ

เสี่ยวอู่เป็นคนแรกที่ทนไม่ได้ เขาบีบนวดไหล่ที่ปวดก่อนจะบ่น “เสี่ยวเถียน วันนี้พี่อ่านมันมาสามชั่วโมงแล้วนะ ทำไมเราไม่ไปเล่นบนเขากันล่ะ พี่ได้ยินคนพูดว่าช่วงนี้มีเห็ดเยอะเลยนะ!”

เขาทนไม่ไหว ไม่อยากอ่านอีกแล้ว

ไม่รู้น้องเล็กคิดอะไรถึงรบเร้าให้เรียนอยู่ได้?

อ่านไปก็ไม่ได้มีประโยชน์ใช่ไหมนะ?

“พี่คะ พี่ไม่อยากอ่านต่อแล้วใช่ไหม?” เสี่ยวเถียนไม่พุดพร่ำทำเพลง แค่ทำหน้าตาจะร้องไห้เท่านั้น

เขาไม่คิดว่า แค่พูดออกไปประโยคเดียวเกือบทำให้น้องสาวร้องไห้เสียแล้ว

พอเห็นสายตาประณามของพี่น้องคนอื่น ๆ เขาก็อยากร้องไห้ด้วยแต่ไม่มีน้ำตาเนี่ยสิ

เสี่ยวเถียนเป็นน้องสาวเขาแท้ ๆ เขาจะไม่รักเธอได้อย่างไร?

ตอนนี้พวกนายมองเป็นอะไรกัน? คิดว่าเขารังแกเสี่ยวเถียน?

พูดด้วยความสัจจริงนะ เขาไม่อยากอ่านหนังสือแล้วก็แค่นั้น

“พี่ไม่…” เสี่ยวอู่พูดอย่างอ่อนแรง

“เสี่ยวอู่ ถ้านายไม่ตั้งใจอย่าหาว่ากำปั้นของพี่ไม่เกรงใจนะ!” เสี่ยวซื่อมองน้องห้าด้วยสายตาดำทะมึน

สองคนนี้อายุไล่เลี่ยกัน เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ

ตอนนั้นที่มือเสี่ยวซื่อมีอาการคันยิบ ๆ ไม่อยากอ่านหนังสือแล้ว

พูดตามตรง อ่านหนังสือเหนื่อยมากเลย แต่ถ้าได้ต่อยสักหมัดเพื่อบริหารกล้ามเนื้อก็ดีนะ!

เดิมทีก็ไม่มีเหตุผล ใครจะรู้ว่าหลับตาลงหัวก็ถึงหมอน เสี่ยวอู่ได้ให้โอกาสเช่นนี้กับเขาจริง ๆ

เสี่ยวเถียนมองพี่ชายทั้งสอง พูดไม่ออกเลย คิดจะทำอะไรกันเนี่ย?

“พวกพี่อ่านอย่างสงบเถอะ เนื้อหาพวกนี้ ถ้าจำไม่ได้ก็อย่ามาโทษที่หนูร้องไห้ให้พี่เห็นแล้วกัน!” เสี่ยวเถียนต้องใช้ไม้เด็ดแล้ว!

เสี่ยวอู่ที่รู้สึกคับข้องใจหันมองน้องสาว

ช่างมัน ๆ อ่านไปก็ไม่ตายหรอก อ่าน ๆ ไปเถอะ!