บทที่ 199 มังกรอยู่ที่นี่ด้วยรึด้วยรึ? 4 (1)

ณ จุดสูงสุดของอาณาเขตเฮนิตัส

บาเซ็นยังคงประจำการอยู่ชั้นบนสุดของหอคอยปราสาทเฮนิตัส

“พ..พี่คาร์ล!!”

เสียงตะโกนของบาเซ็นสะท้อนไปทั่วห้อง เขาจับราวกั้นไว้ด้วยมือเดียวราวกับกำลังจะกระโดดลงจากหอคอยเพื่อวิ่งไปดูอาการคาร์ล

เขาหันไปมองต้นกำเนิดของแสงจ้าก่อนที่เสียงบางอย่างจะดังขึ้นจนดึงสายตาของเขาให้หันไปมอง

เคร้งงงงงงงงงงงง!!

ดาบขนาดใหญ่ที่มีรอยบิ่นจากการถูกโจมตีเมื่อครู่กลายเป็นแหลกละเอียดโดยสมบูรณ์ก่อนจะเลือนหายไปในอากาศ ไวย์เวิร์นส่วนหนึ่งที่อยู่ในวงรัศมีของดาบก็แหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันที อย่างไรก็ตามมีบางอย่างที่ดึงความสนใจของบาเซ็นก่อนที่เขาจะรู้สึกกลัวกับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่นี้

เขามองเห็นโล่ป้องกัน

โล่ขนาดเล็กไม่ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆแต่การที่ดาบเล่มใหญ่กระแทกเข้ากับมันส่งผลให้เกิดรอยร้าวลามไปทั่วบริเวณ มันดูเหมือนจะสามารถพังลงได้ตลอดเวลา

จากนั้นเขาก็มองเห็นพี่ชายของเขา ‘คาร์ล เฮนิตัส’

ปี๊บบบบบบบบบบบ!!!!!ปี๊บบบบบบบบบบบ!!!!!

ภายในห้องควบคุมอุปกรณ์เวทย์สื่อสาร เสียงสัญญาณเตือนดังระงมไปทั่วห้อง มีการติดต่อมาจากทั่วทุกส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะนี้อุปกรณ์เวทย์สื่อสารถูกเชื่อมต่อมายังอาณาเขตเฮนิตัส ทั่วทุกภูมิภาคของอาณาจักรโรมันสามารถมองเห็นสนามรบผ่านหน้าจอเวทย์ได้

แม้ว่าจะมีสัญญาณดังมากเพียงใดก็ไม่สามารถดึงความสนใจของบาเซ็นให้กลับไปได้ ความสนใจของเขาพุ่งไปยังพี่ชายที่แทบจะทรงตัวไว้ไม่ไหว เขายังมองเห็นว่าคาร์ลกระอักออกมาเป็นเลือด! บาเซ็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีรับรู้ถึงความเจ็บปวดจากสงครามเป็นครั้งแรกในช่วงชีวิตของเขา

ช่วงเวลานั้นเอง

[“บาเซ็น เฮนิตัส”]

เขาได้ยินเสียงขององค์ชายรัชทายาทดังขึ้น ในตอนแรกเขายังไม่ได้ยินเสียงนี้แต่การที่เสียงขององค์ชายรัชทายาทถูกกดต่ำและเน้นหนักอย่างตั้งใจทำให้สติเขากลับคืนมา

[“พี่ชายของเจ้าสั่งให้เจ้าทำอะไร?”]

บาเซ็นเงยหน้าขึ้น แน่นอนว่าเขายังจำสิ่งที่คาร์ลบอกเอาไว้ได้ เขาหันหลังกลับและหันไปมองรอบๆห้องควบคุมอุปกรณ์เวทย์สื่อสารทันที ในปัจจุบันห้องนี้ถือเป็นศูนย์กลางข้อมูลของอาณาจักรโรมัน การประสานงานและรวบรวมข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในภาวะสงคราม

[“หากเจ้าไม่อยากละอายใจ..ไม่สิ? หากเจ้าไม่อยากมานั่งเสียใจในภายหลังก็อย่าลืมหน้าที่ของตัวเอง”]

แม้ว่าอัลเบิร์กจะพูดสิ่งนี้กับบาเซ็นแต่มันก็เป็นการย้ำกับตัวเขาเองเช่นกัน ใบหน้าของอัลเบิร์กที่ปรากฏบนหน้าจอเริ่มแดงก่ำเพราะความรู้สึกอันหลากหลาย เขามุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาเขตเฮนิตัส

เขาเอ่ยบางอย่างกับบาเซ็น

[“กองพันอัศวินทะลวงฟันและกองกำลังนักเวทย์จะมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตเฮนิตัสเดี๋ยวนี้!”]

คาร์ลบอกให้เขารอแต่ผู้เป็นองค์ชายรัชทายาทเช่นเขาไม่สามารถรอได้อีกต่อไป เขาต้องการมีส่วนร่วมเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกละอายหรือต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง

นี่จะเป็นครั้งแรกที่กองพันอัศวินทะลวงฟันและกองกำลังนักเวทย์ของอาณาจักรโรมันจะปรากฏโฉมให้โลกได้เห็น

บาเซ็นเริ่มออกคำสั่งแก่อัศวินและนักเวทย์ที่รับผิดชอบอุปกรณ์เวทย์สื่อสารทันที

“…นับแต่นี้เป็นต้นไปเราจะเริ่มทยอยส่งข้อมูลศัตรูไปยังภาคต่างๆของอาณาจักรโรมัน..จงตรวจสอบให้มั่นใจว่าข้อมูลทั้งหมดถูกต้อง!”

พี่ชายของเขาเคยคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว มันเป็นวันเดียวกับที่องค์ชายรัชทายาทประกาศท่าทีต่อสงคราม

‘เราคือด่านแรก’

เสียงของพี่ชายยังคงดังชัดอยู่ในใจของเขา

‘มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่าด่านแรกมักมีความสำคัญที่สุด..หากประชาชนได้ยินว่าเรารอดชีวิตและสามารถปกป้องปราสาทของเราเอาไว้ได้..ขวัญกำลังใจของชาวอาณาจักรโรมันจะเปลี่ยนไปทันที’

‘เราต้องสร้างภาพจำแห่งชัยชนะให้ปรากฏขึ้นในใจของชาวอาณาจักรโรมัน..นั่นคือวิธีที่เราจะชนะสงครามได้’

พี่ชายของเขาพูดสิ่งเหล่านี้อย่างใจเย็น

‘นั่นคือวิธีที่เราทุกคนจะมีชีวิตรอด’

คนที่พูดประโยคเหล่านี้ออกมากำลังทำงานอย่างหนักและแทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่

บาเซ็นออกคำสั่งแก่นักเวทย์อีกครั้ง

“จับภาพทุกอย่างให้ชัดและพยายามถ่ายเหตุการณ์สำคัญเอาไว้ให้ได้..เราจะทำให้ทุกคนได้รู้ว่าเราสามารถเอาชนะสงครามนี้ได้อย่างไร!”

ขวัญกำลังใจของชาวอาณาจักรโรมันจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น บาเซ็นมั่นใจว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น เขาก้มศีรษะลงไปมองบริเวณกำแพงเมืองทันที

‘มุลเลอร์’ ครึ่งคนแคระครึ่งหนูยืนอยู่บริเวณดังกล่าว เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงบางอย่าง

เคร้งงงงงงง!!!

เขาก้มลงมองด้านล่างของกำแพงเมือง มันค่อยๆปรากฏรอยร้าวขึ้นบริเวณนั้น

‘กำแพงเมืองที่ข้าอุตส่าห์พัฒนามันขึ้นมา…!’

มุลเลอร์ผู้ขี้ขลาดและทะนงตนในฝีมือ ตอนนี้เขามีอารมณ์นอกเหนือไปจากความกลัวปรากฏขึ้นในแววตา อย่างไรก็ตามเขาทำได้แค่อ้าปากค้างเมื่อเคานต์เตสวิโอแลนกระชากคอเสื้อเขาขึ้น

“ห๊ะ?!”

ร่างของเขาถูกเหวี่ยงไปด้านข้างก่อนที่เสียงกรีดร้องจะดังขึ้น

“คาร์ล!!”

เคานต์เตสวิโอแลนร้องเรียกคาร์ลด้วยความตกใจ เขายังได้ยินเสียงตะโกนของเคานต์เดอรัชเช่นกัน

“ทุกคน!..ตั้งสติ!”

มุลเลอร์เงยหน้าขึ้นมอง ท่าทางของท่านเคานต์ที่ปกติจะดูอบอุ่นและใจดีแต่ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความน่ากลัว เส้นเลือดผุดขึ้นบนหน้าผากของเคานต์เดอรัชเมื่อเขาตะโกนสั่งอีกครั้ง

“เปิดใช้งานปืนใหญ่!!!”

เคานต์เดอรัชชักดาบประจำกายขึ้นมาก่อนจะไปหยุดยืนบริเวณขอบกำแพงเมือง เขายังคงพูดต่อไปแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะปนไปด้วยความรู้สึกโกรธ เศร้าและความไม่แน่นอนก็ตาม

“อย่าปล่อยให้ศัตรูแม้แต่คนเดียวเข้ามาได้เป็นอันขาด!”

ในเวลาเดียวกันเสียงอย่างอื่นก็ดังเข้ามาในหูของมุลเลอร์

บู้มมมมม!!!

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือแสงสีเงิน มันไม่ใช่โล่ของนายน้อยคาร์ล แสงสีเงินที่ดูเหมือนแสงจากทางช้างเผือกปรากฏขึ้นในเมืองเรน

แต่มันคือโล่! โล่ป้องกันที่ดูเหมือนจะเลียนแบบโล่ของคาร์ลนั้น ยังคงปรากฏในอากาศต่อไป

1! 2! 3! 4! โล่สีเงินยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อมันโผล่ขึ้นปกคลุมทั่วท้องฟ้า มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงคนแคระเลือดผสมแต่เขาก็รู้ดีว่าที่มาของโล่ป้องกันนั้นมาจากที่ใด

‘มังกร’

เขารู้ดีว่ามีเพียงมังกรเท่านั้นที่จะสามารถสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้

เขากำลังนึกถึงมังกรน้อยที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตนี้

มังกรดำตัวน้อยเป็นคนสร้างโล่พวกนี้ขึ้นมา

นอกจากนี้มุลเลอร์ยังคุ้นเคยกับบุคคลที่อยู่นอกโล่ป้องกัน เชวฮัน!

เชวฮันกำลังต่อสู้กับอัศวินหมวกเหล็ก ในขณะที่ต่อสู้อยู่นั้นออร่าสีดำของเขาก็เคลื่อนไหวไปมาอย่างน่ากลัว แม้ว่ามันจะมีแสงเพียงเล็กน้อยแต่ออร่าสีดำนี้ก็เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

จากนั้นก็มีดาบที่สามารถป้องกันออร่าสีดำไว้ได้

อัศวินหมวกเหล็กกำลังหัวเราะร่วนเมื่อใช้พลังศักดิ์สิทธิ์โบราณที่มีรูปทรงเป็นดาบขนาดใหญ่เข้าโจมตีเชวฮัน เขาไม่ได้ดูเดือดร้อนเลยสักนิดแม้ว่าดาบของเขาจะถูกทำลายลง

ปั้งงงงงงงงง!!

อาวุธของทั้งคู่เข้าปะทะกันในที่สุด

เชวฮันเซถอยหลังเหมือนกับทรงตัวไม่อยู่

ปั่ก!

มีบางอย่างเข้ามาประคองหลังเชวฮันเอาไว้

มันคือโครงกระดูกเหินเวหาที่บินหนีไปเมื่อครู่ โครงกระดูกสีขาวเหล่านี้กลับมาอีกครั้ง ไม่สิ! แมรี่เป็นคนพาพวกมันกลับมาก่อนที่พวกมันจะเริ่มสร้างเส้นทางเดินให้เชวฮันสามารถเดินบนอากาศได้ โครงกระดูกสีขาวขนาดเล็กรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่พุ่งโจมตีไวย์เวิร์นที่อัศวินหมวกเหล็กบังคับอยู่ มันเป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นร่างของคนทั้งสองเพราะจำนวนโครงกระดูกคอยบดบังระยะสายตา

อย่างไรก็ตามมีคนผู้หนึ่งที่สามารถมองเห็นภาพนี้ได้อย่างชัดเจน

แมรี่

เธอคนคือคนที่ครอบครองพลังเวทย์แห่งความตายและร่างของเธอก็ยังคงล่องหนอยู่เช่นเดิม มือของเธอเริ่มสั่นขึ้นเรื่อยๆและปัญหาอีกอย่างในตอนนี้คือเธอเห็นทุกอย่างได้ชัดเกินไป!

“คาร์ล!!”

เคานต์เตสวิโอแลนรีบเข้าไปประคองร่างของคาร์ลที่เพิ่งทรงตัวลุกขึ้นแต่ทันใดนั้นเธอก็ต้องร้องออกมาอีกครั้ง

คาร์ลล้มลงคุกเข่าทันทีเมื่อเธอประคองร่างเขาเอาไว้ได้

เลือดสีดำไหลออกจากตา หู จมูกและปากของคาร์ล เขากำลังกระอักออกมาเป็นเลือดและดูเหมือนจะหายใจติดขัด

เคานต์เตสสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิในร่างกายของคาร์ลค่อยๆลดลง ลูกเลี้ยงของเธอร่างกายเย็นขึ้นเรื่อยๆ เธอเห็นหมอและนักบวชกำลังมุ่งหน้ามายังจุดที่เธออยู่ด้วยความรวดเร็ว

“คาร์ลทนอีกหน่อย..รออีกหน่อยนะลูก!”

เธอเริ่มบีบนวดร่างกายของคาร์ล เธอกังวลว่าคาร์ลจะเสียเลือดมากเกินไป

เธอได้ยินเสียงของคาร์ลดังขึ้นในตอนนั้น

“ข..ข้าไม่เป็นไร”

‘อะไรนะ?’

ดวงตาของเธอเริ่มสั่นคลอนแม้แต่หมอและนักบวชที่เพิ่งเดินทางมาถึงก็ชะงักไปเช่นกัน

ตอนนี้มีเสียงปนสะอื้นดังอยู่ในหัวของคาร์ล

~ฮึก..มนุษย์! เลือดเจ้าออกมากเกินไปแล้วนะ! มนุษย์มันผิดปกติมากเกินไป! เจ้าห้ามเลือดเดี๋ยวนี้เลยนะ..ฮึก…ข้าจะไม่ปล่อยเจ้านั่นเอาไว้! ข้าจะฆ่ามันให้ได้แม้ว่าตัวข้าจะต้องตายเช่นกัน!..ฮึกกก~

“อยู่..นี่ล่ะ”

มือของคาร์ลขยับขึ้นเพื่อคว้าเอาอากาศที่ว่างเปล่ามาเกาะกุมเอาไว้

เคานต์เตสวิโอแลนเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นคาร์ลพยามไขว่คว้าเอาอากาศ เธอคิดว่าคาร์ลกำลังประสาทหลอน ภายในใจของเขาจะต้องได้รับการกระทบเทือนอย่างแน่นอน วิโอแลนพยายามสงบสติอารมณ์เมื่อเห็นเคานต์เดอรัชมองมาที่คาร์ลราวกับจะเสียสติด้วยความเป็นห่วงบุตรชาย อย่างน้อยต้องมีสักคนที่ต้องมีสติในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยากที่จะสามารถควบคุมอารมณ์ของเธอได้เมื่อได้ยินสิ่งที่คาร์ลเอ่ยต่อไป

“..เจ้า..เจ้าจะต้องเจ็บตัว..ถ้าเจ้าออก..ไป”

ประโยคที่แทบจะจับใจความไม่ได้ทำให้เธอแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ การที่เขาพยายามพูดแม้ว่าจะกระอักออกมาเป็นเลือดย่อมหมายความว่าจิตใจของเขาจะต้องได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก หัวใจของเธอแทบแตกสลายเมื่อเห็นสภาพของคาร์ลเป็นเช่นนี้

ในที่สุดคาร์ลก็สามารถรวบรวมพลังพูดได้อีกครั้ง

“..อยู่เคียงข้าแล้วค่อย..แค่กกกๆๆ!!”

คาร์ลกระอักออกมาเป็นเลือดอีกครั้งก่อนที่เลือดจะทะลักออกมาอีกรอบจนไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้

‘ฆ่าเขา’

อยู่เคียงข้างข้าและค่อยฆ่าเขาในภายหลัง

มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจในสิ่งที่คาร์ลพูด กางเกงของเขาเริ่มเปียกเป็นวง มันไม่ใช่คราบเลือดและแน่นอนว่ามันไม่ใช่น้ำฝน มังกรน้อยผู้เป็นเจ้าของน้ำตาจนทำให้กางเกงของคาร์ลเปียกโชกเข้าใจในสิ่งที่คาร์ลพูดทุกคำ

~ข้าจะฆ่าเจ้านั่นให้ได้!~

ครืดดดดด!!!

ท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยเมฆครึ้มเริ่มแผดเสียงอีกครั้ง

ดาบที่มีออร่าสังหารราวกับภัยธรรมชาติ แม้ว่าราอนจะไม่สามารถสร้างดาบแบบนี้ขึ้นมาได้แต่มังกรก็สามารถทำสิ่งที่คล้ายคลึงได้เช่นกัน

การเลียนแบบไม่ยากเลยสักนิด นั่นคือเหตุผลที่มันคือมังกร!

พายุ

ลูกเห็บ

มังกรเริ่มใช้พลังของตนเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ ในขณะเดียวกันมันก็จำสิ่งที่มังกรวัยชราเคยบอกเอาไว้ เหมือนราอนจะนึกออกว่าทำไมคาร์ลถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ท่านปู่อูฮาเบ็นเคยสอนมันหลายอย่างรวมถึงสิ่งที่มันกำลังคิดอยู่ในตอนนี้

‘เจ้าเด็กน้อย..เจ้าเคยได้ยินเรื่องนักล่ามังกรหรือเปล่า? หรือจะเรียกว่าผู้ฆ่ามังกรก็ได้เช่นกัน’

ราอนรู้สึกไม่พอใจที่ได้ยินคำนี้ พวกเขากล้าตามล่าหรือสังหารมังกรผู้ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ได้อย่างไร

‘เจ้าไม่ต้องจัดการกับนักล่ามังกรที่พยายามจะฆ่าเจ้าก็ได้..หากให้พูดตามตรงนักล่ามังกรอาจทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะสามารถจับตัวเจ้าเป็นๆได้’

อูฮาเบ็นคิดว่าคาร์ลอาจเป็นลูกหลานของตระกูลนักล่ามังกรแม้ว่าช่วงนี้เขาจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มากนักและการพูดถึงเรื่องนักล่ามังกรขึ้นมาก็เป็นเพียงความรู้ที่เขาอยากเล่าให้ราอนฟังเท่านั้น

‘นักล่ามังกรมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร พวกเขาสามารถเอาชนะขีดจำกัดของมนุษย์ได้ พวกเขามีพลังคล้ายกับธรรมชาติ’

มนุษย์ที่มีพลังคล้ายคลึงกับธรรมชาติ ประโยคนี้ทำให้ราอนตอบกลับอูฮาเบ็นทันที

‘มนุษย์อ่อนแอของเราก็มีพลังคล้ายกับธรรมชาติเช่นกัน!’

‘นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าคิดว่ามนุษย์อ่อนแอของเจ้าเป็นนักล่ามัง—เอ่อ..เอาเป็นว่าข้าไม่พูดมันดีกว่าหากเขาต้องการปิดเรื่องนี้เอาไว้’

‘ท่านปู่กำลังจะพูดอะไรเหรอ?’

‘ไม่มีอะไรหรอก..แต่ยังไงก็ตามเจ้าต้องจำคำของข้าเอาไว้…หากเจ้าเจอนักล่ามังกรให้เจ้าหนีไปให้ไกล’

ราอนอยากจะหัวเราะให้กับคำเตือนนั้นแต่อูฮาเบ็นยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง

‘เจ้าขยะนั่นคือมนุษย์ที่เติบโตขึ้นด้วยการกลืนกินมังกร’

มังกรแต่ละตัวมีสีผิวและคุณลักษณะที่แตกต่างกัน มังกรถูกกล่าวว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด พวกนักล่ามังกรจึงต้องกลืนกินมังกรเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังที่เหมือนธรรมชาติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

‘มังกรเด็กเช่นเจ้ายิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ..เจ้ายังโตไม่เต็มที่และไม่สามารถพ่นไฟได้..อืม?.แต่ก็ยังดีที่เจ้ามีมนุษย์ผู้โชคร้ายอยู่ข้างๆ..ข้าเชื่อว่าเจ้านั่นจะทำให้เจ้าเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ’

‘ไม่มีสิ่งใดสามารถทำอันตรายผู้ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่เช่นข้าได้หรอก!’

อูฮาเบ็นหัวเราะเบาๆเมื่อตอบกลับ

‘เด็กน้อย..ไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่จริงๆหรอกนะ’

ในที่สุดราอนก็ตระหนักได้ถึงความจริงในข้อนี้

‘ข้าไม่ได้ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่จริงๆด้วย..ข้ายังห่างไกลจากคำนี้ยิ่งนัก’