ตอนที่ 246 เสนาธิการหัวสุนัข

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 246 เสนาธิการหัวสุนัข

ตอนที่ 246 เสนาธิการหัวสุนัข

หลังหลินเซี่ยและเฉินเจียเหอออกจากวอร์ด พวกเขาก็ไปหาผู้บริหารของโรงพยาบาลเหรินกวงทันที เพื่อรายงานว่าแพทย์ในโรงพยาบาลของที่นี่สมรู้ร่วมคิดกับผู้ป่วยในการหลอกลวงผู้อื่น

จากนั้นก็วางแผนจะไปแจ้งความต่อ

หลังผู้บริหารโรงพยาบาลทราบเรื่องนี้ เขาก็บอกว่าจะดำเนินการสอบสวนโดยเร็วที่สุด โดยขอให้พวกเขาอย่าเพิ่งแจ้งตำรวจ แต่ทางโรงพยาบาลจะสืบความจริงแล้วให้คำอธิบายและจัดการกับแพทย์ที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังด้วยตัวเอง เมื่อสถานการณ์คลี่คลายอย่างชัดเจนแล้วพวกเขาจะดำเนินคดีและจัดการสะสางเมื่อถึงเวลาจำเป็น

เมื่อทั้งสองลงมาจากชั้นบน เฉินเจิ้นเจียง โจวลี่หรง เซี่ยไห่ และคนอื่น ๆ กำลังรออยู่ที่ทางเข้าโรงพยาบาล

เฉินเจิ้นเจียงพูดกับพวกเขา “เรากลับบ้านกันก่อนเถอะ”

หลินเซี่ยตอบกลับ “คุณพ่อ พวกเราคงยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้ค่ะ เรายังมีงานอื่นที่ต้องทำอยู่”

เฉินเจิ้นเจียงรับรู้ถึงน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนักของหลินเซี่ย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด “เซี่ยเซี่ย อย่ากังวลเกินไปเลย ฉันเชื่อในตัวเธอเสมอ แต่ในฐานะพ่อแม่แล้วเราต้องพิจารณาสถานการณ์โดยรวมก่อนแก้ปัญหา ไม่อาจด่วนตัดสินปัญหาได้หรอก ถ้าเสิ่นเสี่ยวเหมยพลั้งผิดอะไรไปก็ต้องขอโทษเธอด้วย”

หลินเซี่ยยิ้มและตอบกลับ “คุณพ่อ ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกค่ะ ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาตัดสินใจแทน ยังไงฉันก็จะพยายามต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของตัวเองสุดความสามารถ พวกเราไปก่อนนะคะ”

ขณะหลินเซี่ยและเฉินเจียเหอกำลังจะก้าวเข้าไปในรถของเซี่ยไห่ เฉินเจียซิ่งก็เดินออกจากประตูโรงพยาบาลพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

เมื่อเห็นสมาชิกในครอบครัวยืนอยู่ตรงนั้น เขาก็ไม่ได้ทักทายอีกฝ่ายเลย แต่เดินตรงไปข้างหน้าพลางก้มหน้าลง

“เจียซิ่ง มานี่ก่อน” เฉินเจิ้นเจียงหยุดเขาไว้ “แกไปขอโทษพี่สะใภ้ให้เรียบร้อยซะ”

เฉินเจียซิ่งหยุดมองเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แล้วถามกลับว่า “จะให้ผมขอโทษเรื่องอะไรครับ?”

เฉินเจิ้นเจียงพูดพลางแสดงท่าทางเคร่งขรึม “ในเมื่อเมียแกก่อเรื่องแบบนั้น ในฐานะสามี แกไม่ควรไปขอโทษพี่สะใภ้หรอกเหรอ? ทำไมถึงไม่รู้ตัวว่าอะไรถูกอะไรผิด?”

“ผมจะหย่าอยู่ทนโท่แล้ว”

เฉินเจียซิ่งมองพวกเขาแล้วพูดอย่างใจเย็น “ตั้งแต่นี้ไป ผมกับเสิ่นเสี่ยวเหมยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ผมจะบอกให้หล่อนอธิบายสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แล้วผมจะไม่ตามเช็ดตามล้างวีรกรรมให้หล่อนอีกต่อไปแล้ว”

หลังพูดอย่างนั้น เขาก็เดินจากไป

เฉินเจิ้นเจียงคว้าตัวเขาพลางมองด้วยความประหลาดใจ ก่อนถามเพื่อยืนยันว่า “เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ?”บราวนี่ออนไลน์

“ผมจะหย่า ผมบอกว่าต้องการหย่าไงเล่า!” เฉินเจียซิ่งตะโกนประโยคสุดท้ายดังลั่น เมื่อเห็นอีกฝ่ายตกตะลึงและดูเหมือนไม่เข้าใจว่าเขาสื่อเรื่องอะไร

“การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเด็กเล่นนะ ตระกูลเฉินของเรารุ่นต่อรุ่นไม่เคยมีเรื่องหย่าร้างหรือทิ้งคู่ครองเลยนะ แก… “ เฉินเจิ้นเจียงมีใบหน้าที่มืดมนลงมาก เดิมทีเขาอยากจะบอกว่าเฉินเจียซิ่งไม่มีสิทธิทำตามความคิดเห็นของตัวเอง แต่เมื่อคิดถึงการกระทำและคำพูดในอดีตของเสิ่นเสี่ยวเหมยที่ผุดขึ้นมา เขาก็ไม่สามารถหาเหตุผลอะไรมาเกลี้ยกล่อมได้อีก

เฉินเจียซิ่งในเวลานี้ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว น้ำเสียงยังสงบเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าเขาคิดมาอย่างรอบคอบพอสมควร

“ผมจะเป็นคนแรกไม่ได้หรือไง? พวกพ่ออย่าห้ามผมเลย ผมตัดสินใจไปแล้วว่าการแต่งงานครั้งนี้ต้องจบด้วยการหย่าร้างเท่านั้น ถ้าไม่ยอมให้หย่า ผมจะทำลายชีวิตหล่อนให้ล่มจมกันไปข้าง”

“เจ้าลูกคนนี้ แกรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา?”

เฉินเจียซิ่งเพิกเฉยต่อคำถามของเฉินเจิ้นเจียง และเดินตรงไปตามถนน

เฉินเจียเหอและคนอื่นต่างประหลาดใจกับปฏิกิริยาของเฉินเจียซิ่งในตอนนี้

ไม่คิดว่าน้องชายคนรองจะมีความกล้ามากขนาดนี้

เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยขึ้นรถของเซี่ยไห่ ขณะที่เฉินเจียวั่งกลับบ้านพร้อมพ่อแม่

เมื่อได้ยินว่าเฉินเจียซิ่งต้องการหย่า เซี่ยไห่ก็ตื่นเต้นมากกว่าเฉินเจียซิ่งเสียอีก เขาขับรถพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “เจียเหอ ในที่สุดน้องรองนายก็ตาสว่างได้สักที ลูกสาวตระกูลเสิ่นนี่ทำตัวเหลืออดจริง ๆ ถึงมีความคิดเลวทรามแบบนั้น ถ้ายังปล่อยคาราคาซังต่อไป ป่านนั้นน้องชายนายคงถูกหล่อนชักนำให้หลงทางไปไหนต่อไหนแล้ว”

หลินเซี่ยพูดขึ้น “เรื่องนี้ไม่ได้เป็นฝีมือเสิ่นเสี่ยวเหมยคนเดียวแน่ หล่อนอาจมีที่ปรึกษาเป็นเสนาธิการหัวสุนัข(1)อยู่เบื้องหลัง”

เธอรู้อยู่แล้วว่าใครคือคนผู้นั้น ถ้าเสิ่นเสี่ยวเหมยไม่คายความจริง ผู้หญิงคนนั้นก็จะคงยังซ่อนตัวอยู่หลังม่านและสวมหน้ากากจอมปลอมยามเสนอหน้าต่อคนอื่น

เฉินเจียเหอนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ เขามองไปทางหลินเซี่ย “คุณหมายถึง…”

“ฉันเดาว่าถังหลิงมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ติดตรงที่ไม่มีหลักฐาน”

ตอนนี้เหลือเพียงต้องหาวิธีที่จะทำให้สุนัขกินเหยื่อให้ได้

และจะต้องเป็นวิธีที่อยู่หมัด

เซี่ยไห่ฟังคำพูดของหลินเซี่ย จากนั้นแสดงสีหน้าเหลือเชื่อ “หมายถึงคุณถังเหรอ? ทำไมหล่อนถึงมีส่วนในการใส่ร้ายเธอล่ะ?”

“เพราะผู้ชายไงล่ะ”

เฉินเจียเหอกระแอมไอเล็กน้อย พูดอย่างเคอะเขิน “เซี่ยเซี่ย มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมสักหน่อย”

เซี่ยไห่เหลือบมองเฉินเจียเหอแล้วหยอกล้อ “แต่คุณถังยอมแพ้เรื่องตามจีบเจียเหอไปนานแล้วนี่ ถึงยังไงเธอก็ควรปฏิบัติต่อเขาเหมือนสมบัติให้ดี ๆ”

หลินเซี่ย “เขาเป็นสมบัติของฉันแต่แรกอยู่แล้ว”

เฉินเจียเหอ “…”

รอยยิ้มอันภาคภูมิใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ก่อนจะมองหน้าเซี่ยไห่อย่างยั่วยุ

เซี่ยไห่ “…”

“ได้ ฉันไม่พูดอะไรแล้ว”

เมื่อมาถึงทางเข้าร้านตัดผม เซี่ยไห่ก็รีบจอดรถ หลินจินซานและเฉียนต้าเฉิงยังคงรออยู่ที่นั่นอย่างใจจดใจจ่อ ขณะเซี่ยไหที่กลับมาถึงก็รีบบอกว่าตัวเองมีเรื่องต้องจัดการ หลังจอดรถเสร็จแล้วก็รีบไปยังห้องเต้นรำ

เฉินเจียเหอเองก็ยุ่งกับการกลับไปทำงานที่โรงงานเช่นกัน

“เซี่ยเซี่ย ผมไปโรงงานก่อนนะ คุณอยู่ที่ร้านไปก่อน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เราค่อยกลับมาคุยกันช่วงบ่าย”

“ค่ะ”

เธอยืนมองเฉินเจียเหอเดินจากไป

หลินเซี่ยไม่ได้กลับร้านตัดผมของตัวเอง แต่ไปร้านเสริมสวยฝั่งตรงข้ามก่อน

ตอนนี้ถังหลิงกำลังทำทรีตเมนต์เสริมความงามให้กับหญิงวัยกลางคน

“พี่สาว ผิวหน้าของคุณแห้งเกินไป ต้องทำสักสามครั้งติดกันถึงจะเห็นผล อย่าลืมกลับมาอีกทีวันมะรืนนะคะ”

“อืม”

หลังส่งลูกค้าแล้ว ถังหลิงก็รีบหันเหความสนใจมาที่หลินเซี่ยทันที

“หลินเซี่ย ลมอะไรหอบมาที่นี่ได้เนี่ย? เมื่อเช้าฉันไม่เห็นเธอที่ร้านเลย ออกไปข้างนอกมาเหรอ?”

หลินเซี่ยพยักหน้า “ใช่ ฉันไปโรงพยาบาลมา”

“ไปหาเสี่ยวเหมยใช่หรือเปล่า?” ถังหลิงมองเธอแล้วถามด้วยรอยยิ้ม

หลินเซี่ยมองหล่อนอย่างมีเลศนัยและส่ายหน้า “ไม่ใช่ ฉันไปสืบความจริงมาต่างหาก”

“สืบความจริง?” ถังหลิงแสดงสีหน้าแข็งทื่อ และฝืนยิ้มถามออกไป “ความจริงอะไรเหรอ?”

หลินเซี่ยมองถังหลิงด้วยรอยยิ้มครึ่ง ๆ กลาง ๆ และแล้วก็ปฏิเสธที่จะตีกรอบรอบพุ่มไม้ “เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่ได้ตั้งท้องจริง ๆ หล่อนแค่ประจำเดือนมาผิดปกติ”

ถังหลิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง อาจเป็นเพราะประหลาดใจกับความเร็วในการสืบหาความจริงของหลินเซี่ยหรืออย่างอื่น หล่อนจึงแสดงท่าทางตกใจอย่างออกนอกหน้า “เป็นไปได้ยังไง? ประจำเดือนหล่อนไม่มานานแล้วนะ จะไม่ได้ท้องได้ยังไงกัน?”

หลิวลี่ลี่กังวลมากจนเกือบจะโพล่งอะไรออกไป แต่ก็ต้องหุบปากฉับเพราะสายตาของถังหลิง

หลินเซี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม

“ใช่ คุณคิดว่าหล่อนโง่หรือเปล่าล่ะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองท้องจริงไหม และไม่ฉุกคิดด้วยว่าตัวเองแค่ประจำเดือนมาล่าช้า รีบวิ่งแจ้นไปตรวจที่โรงพยาบาลเลย โชคดีที่แม่บุญธรรมฉันเหลือบไปเห็นเข้า ไม่งั้นฉันคงถูกหล่อนใส่ร้ายสำเร็จไปแล้ว”

ถังหลิงควบคุมสติอารมณ์ได้ดีทีเดียว แถมยังมีทัศนคติที่แข็งแกร่งมาก แม้ในเวลานี้ก็ยังรักษาสีหน้าไม่ให้แสดงพิรุธอะไรได้ขณะตอบกลับหลินเซี่ย “ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวเหมยก็ต้องเป็นคนขอโทษเธอสำหรับเรื่องนี้ หล่อนไม่ควรวางแผนการใหญ่โตแบบนี้เลย ทำไมถึงได้เลอะเลือนขนาดนี้กัน พวกเธอเป็นครอบครัวเดียวกันแท้ ๆ ไม่ควรใส่ร้ายกันเสีย ๆ หาย ๆ แต่ฉันเข้าใจความรู้สึกของเสี่ยวเหมยนะ หล่อนคงตกใจมากพอรู้ว่าตัวเองไม่ได้ท้อง แล้วไม่รู้จะอธิบายให้ทุกคนฟังยังไง ก็เลยตัดสินใจผิดพลาดไปเพราะแรงกระตุ้นตามสถานการณ์ เราต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ไม่ต้องสนใจเรื่องแค่นี้หรอก อย่าไปถือสาอะไรหล่อนเลย”

“ฉันไม่ถือสาอะไรหล่อนอยู่แล้ว” หลินเซี่ยมองอีกฝ่ายพลางเผยรอยยิ้มที่แฝงความหมายบางอย่าง และพูดต่อ

“เพราะหล่อนเป็นคนโง่ที่ถูกคนอื่นจูงจมูกอีกที หล่อนควรไปบอกให้เสนาธิการหัวสุนัขเจ้าเล่ห์ที่อยู่เบื้องหลังออกมาขอโทษฉันสิถึงจะถูก คุณคิดดูนะ ทำไมจู่ ๆ เสิ่นเสี่ยวเหมยถึงอาจหาญมาใส่ร้ายฉัน เราสองคนไม่เคยญาติดีต่อกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วฉันก็ไม่มีความคับข้องหมองใจส่วนตัวหรือตั้งตนเป็นปรปักษ์กับหล่อน แต่ทำไมหล่อนถึงเพ่งเล็งฉันโดยตรงล่ะ?”

ในที่สุดถังหลิงก็สูญเสียบุคลิกนิ่งสงบ อธิบายด้วยรอยยิ้มแฝงความอึดอัดใจ “เธอลองคิดดูดี ๆ นะ มีแค่เสี่ยวเหมยเท่านั้นแหละที่สามารถคิดทำเรื่องแบบนี้ได้ คนอื่นคงไม่สอดมือเข้าไปยุ่งธุระของคนอื่นหรอกมั้ง”

“จริงเหรอ? ยังไงก็เถอะ ทุกความคับข้องใจย่อมมีที่มา หนี้ทุกก้อนมีเจ้าของ ฉันไม่ปล่อยใครก็ตามมากล่าวหาฉันส่งเดชแบบนี้แน่”

เธอพูดพลางมองไปยังหลิวลี่ลี่อย่างมีความหมาย

หลิวลี่ลี่ที่เงียบฟังอยู่นานได้ยินหลินเซี่ยพูดว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยไม่ได้ตั้งท้อง เดิมทีก็สับสนพออยู่แล้ว เมื่อเผชิญกับสายตาน่ากลัวของหลินเซี่ย หล่อนก็รีบแหวใส่ “มองฉันทำไม? ใครกล่าวหาเธอส่งเดช?”

“บ่างช่างยุสักตัวไงล่ะ แถมยังเป็นบ่างหน้าโง่อีกด้วย”

หลังจากพูดเหน็บแนมหลิวลี่ลี่ หลินเซี่ยก็ยิ้มและโบกมือให้ถังหลิง “คุณถัง ฉันขอตัวก่อนนะคะ พอดีงานค่อนข้างยุ่ง”

คราวนี้ถังหลิงแสดงท่าทางรำคาญใจออกมาแล้ว ดวงตาของหลินเซี่ยพลันมืดครึ้มลง เพราะหาวิธีจัดการกับอีกฝ่ายอย่างอยู่หมัดได้แล้ว

นั่นก็คือวิธีที่เรียกว่า ‘ตีงูตรงจุดตาย(2)’

เธอเก็บรวบรวมข้อมูลสกปรกเบื้องลึกเบื้องหลังของหล่อนไว้มามากมาย และตอนนี้ก็ถึงเวลาเปิดโปงแล้ว

ทันทีที่หลินเซี่ยออกไป ถังหลิงก็รีบร้อนออกไปจากร้านเช่นกัน คราวนี้หล่อนไม่ได้ไปโรงพยาบาล แต่ไปยังตรอกที่ค่อนข้างห่างไกลแห่งหนึ่ง

หลังออกมาจากที่นั่นถึงค่อยตรงไปยังโรงพยาบาล ตอนแรกหล่อนคิดจะแวะไปเยี่ยมเสิ่นเสี่ยวเหมยในตอนเช้า แต่วันนี้ลูกค้ารายแรกที่จะใช้บริการเสริมความงามกลับเข้าร้านเสียก่อน และแน่นอนว่าหล่อนไม่อยากพลาด

โดยไม่คาดคิด หลินเซี่ยก็รู้เรื่องที่เสิ่นเสี่ยวเหมยท้องลมอย่างหมดเปลือก และสืบหาความจริงเรื่องนี้อย่างชัดเจนในเวลาเพียงวันเดียว

เมื่อหล่อนรีบไปโรงพยาบาล เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว

เนื่องจากความจริงเปิดเผยแล้วว่าหล่อนไม่ได้ท้องแต่แรก แค่ประจำเดือนมาผิดปกติ จึงไม่จำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก

ถังหลิงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปบ้านตระกูลเสิ่น

ทันทีที่เข้าประตูไป ก็ได้ยินเสิ่นเสี่ยวเหมยร้องห่มร้องไห้

นอกจากนี้ยังมีเสียงพูดติเตือนของผู้เฒ่าเสิ่น “หลานนี่นะ ถ้าไม่ได้ท้องก็บอกไปตรง ๆ สิว่าไม่ได้ท้อง ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้? นังเด็กหลินเซี่ยนั่นฉลาดเป็นกรด หลานจะรับมือกับมันได้ยังไง? ตอนนี้กระทั่งตระกูลเฉินก็เลือกปฏิบัติกับเราแล้ว หลานได้ยินแล้วนี่ว่าเฉินเจียซิ่งขอหย่า แล้วคราวนี้พวกเราจะทำยังไงกันต่อไป?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยร้องไห้ฟูมฟาย “ลุงคะ ฉันไม่อยากหย่ากับเขา”

…………………………………………………………………………………………………………….

(1)เสนาธิการหัวสุนัข หมายถึง คนที่ชอบออกความคิดเห็นที่ไร้ค่าแก่คนอื่น

(2)ตีงูตรงจุดตาย หรือ ตีงูเจ็ดนิ้ว หมายถึง ตีงูต้องตีให้แม่นในตำแหน่งที่หลังหัว 7 นิ้วจีน งูถึงจะสยบทันที จากนั้นคนตีงูก็ย่อมพ้นอันตรายอย่างสำเร็จ อุปมาว่าจะจัดการกับใครต้องจัดการที่จุดอ่อน

สารจากผู้แปล

เริ่มกินปูนร้อนท้องแล้วล่ะสิยัยถัง พวกยุแยงตะแคงรั่วของเธอมันต้องเจออะไรน้า?

ไหหม่า(海馬)