ตอนที่ 245 เราหย่ากันเถอะ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 245 เราหย่ากันเถอะ

ตอนที่ 245 เราหย่ากันเถอะ

ดวงตาของทุกคนจับจ้องไปที่ใบหน้าของเซี่ยหลาน

โจวลี่หรงถามอย่างรวดเร็ว “หมอเซี่ย นี่มันเรื่องอะไรกันคะ?”

“เสิ่นเสี่ยวเหมย เธออยากพูดเองไหม”

เซี่ยหลานมองเสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยดวงตาวาวโรจน์ แต่เสิ่นเสี่ยวเหมยกลับหลบตาไม่กล้ามอง

เมื่อเห็นแบบนี้ ผู้เฒ่าเสิ่นก็ก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าเสิ่นเสี่ยวเหมย มองไปที่เซี่ยหลานและพูดด้วยความโกรธว่า “เซี่ยหลาน เธอเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? หรือเพราะเธอเคยเลี้ยงนังหลินเซี่ย ก็เลยกลัวคนอื่นจะกล่าวหาว่าตัวเองล้มเหลวในความเป็นแม่ ถึงขนาดรวมหัวกับพวกมันใส่ร้ายเสี่ยวเหมยเพื่อปกป้องมันเชียวรึ? ในเมื่อกล้าพูดว่าหล่อนไม่ได้ท้อง งั้นเธอมีหลักฐานไหม ถังหลิงและหลิวลี่ลี่ต่างก็เห็นว่าวันนั้นหล่อนเสียเลือดไปมากแค่ไหน ถามหลินเซี่ยก็ได้ เมื่อวานนี้เสี่ยวเหมยเลือดไหลไม่หยุดจริงไหม?”

หลินเซี่ยกำลังจะเปิดปากโต้แย้งเขา แต่เซี่ยหลานชิงให้คำตอบก่อน “พวกผู้ชายที่นี่รู้กันหรือเปล่าว่าผู้หญิงมีสิ่งที่เรียกว่าประจำเดือน?”

ทุกคน “!!!”

เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยรีบหันมองหน้ากัน เพราะไม่คาดคิดว่าตัวเองจะคาดเดาได้ถูกต้อง

เซี่ยหลานมองผู้เฒ่าเสิ่น จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่แข็งแกร่ง “หลานสาวคุณแค่มีประจำเดือน แต่หล่อนเข้าใจผิดคิดว่าการมีประจำเดือนของตัวเองคือการแท้งลูก เมื่อวันก่อนหล่อนวิ่งแจ้นไปหาหมอที่โรงพยาบาลไห่เฉิง หลังจากรู้ความจริงว่าตัวเองไม่ได้ท้องก็นึกกลัวขึ้นมาด้วยไม่รู้ว่าตัวเองจะมีหน้าไปอธิบายให้ตระกูลเฉินฟังอย่างไร เลยใช้โอกาสนี้ทำลายหลินเซี่ยเสียเลย คงนึกไม่ถึงว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะฉลาดแก้เกมทัน น่าเสียดาย สุดท้ายความชั่วก็ไม่สามารถเอาชนะความดีได้”

ทุกคนยกเว้นเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยต่างก็ตกใจและพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยหลาน

เข้าใจผิดคิดว่าเลือดประจำเดือนคือเลือดแท้ง?

เซี่ยไห่และเฉินเจียวั่งอดไม่ได้ที่จะหันมองหลินเซี่ยพร้อม ๆ กัน

ในสายตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความชื่นชม

การวิเคราะห์ของหลินเซี่ยเมื่อคืนนี้แม่นยำเกินไป

อาจเป็นเพราะเธอกับเสิ่นเสี่ยวเหมยเติบโตมาด้วยกัน ทำให้รู้เช่นเห็นชาติถึงจิตใจอันดำมืดของเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างชัดเจน

เสิ่นเสี่ยวเหมยนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย บนใบหน้ายังมีน้ำตาไหลออกมาเป็นสองสาย เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนระคนโกรธเกรี้ยวของทุกคน หล่อนก็ไม่กล้าสบสายตาใครอีกต่อไป ท่ามกลางความสิ้นหวัง หล่อนจึงทำได้เพียงแกล้งเป็นลม

“เสิ่นเสี่ยวเหมย พี่สะใภ้ของคุณพูดจริงหรือเปล่า?” เฉินเจียซิ่งไม่ปล่อยให้หล่อนได้แกล้งเป็นลม เขาเขย่าตัวหล่อนให้ตื่น จากนั้นมองหน้าหล่อนแล้วเค้นเสียงถามลอดไรฟัน “คุณไม่ได้ท้องแต่แรก คุณก็เลยจัดฉากทุกอย่างขึ้นมาเองแล้วเสแสร้งแสดงละครใช่ไหม?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยถูกเขาเขย่าตัวจนหัวโยกคลอน แต่ยังไม่กล้าลืมตามอง

เฉินเจียซิ่งคำรามด้วยความโกรธ “บอกผมมา มันคือเรื่องจริงหรือเปล่า?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยแกล้งทำเป็นตายท่าเดียว เฉินเจียซิ่งก็ยังไม่วายฉุดหล่อนให้ลุกออกจากเตียง “ไป ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลไห่เฉิงด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย ผมอยากรู้ว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่”

ผู้เฒ่าเสิ่นและเสิ่นเถี่ยจวินผู้เย่อหยิ่งมาโดยตลอดมองดูปฏิกิริยาของเสิ่นเสี่ยวเหมย รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เซี่ยหลานพูดมาทั้งหมดอาจเป็นเรื่องจริง

ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยเกรี้ยวกราดไม่ยอมคนของเสิ่นเสี่ยวเหมยแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่หล่อนจะยอมให้คนอื่นโจมตีตัวเองแบบนี้

เสิ่นเถี่ยจวินถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เสี่ยวเหมย ตกลงมันเป็นยังไงกันแน่?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่ยอมลืมตา

“เอาล่ะ ไม่ต้องถามอะไรแล้ว เสี่ยวเหมยถูกกระตุ้นอย่างกะทันหันจนเป็นลมไป พวกคุณทุกคนออกไปข้างนอกก่อน รอให้หล่อนตื่นเมื่อไหร่ผมจะถามเองว่าเรื่องมันเป็นยังไง”

สมาชิกครอบครัวเฉินไม่ใช่คนโง่ แม้แต่เซี่ยหลานยังออกมาฉีกหน้ากากโฉดชั่วของลูกพี่ลูกน้องสามีด้วยตัวเอง แถมเสิ่นเสี่ยวเหมยยังไม่กล้าไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลไห่เฉิง ทุกอย่างจึงได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้ว

“ขอบคุณมากนะครับที่แวะมาชี้แจงความจริง อย่างนั้นผมคงไม่รู้เรื่องราวอย่างชัดเจนจริง ๆ”

ใบหน้าของเซี่ยหลานจริงจังเช่นเคย “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็ทนไม่ได้กับพฤติกรรมลวงโลกของหล่อน”

ขณะที่เซี่ยหลานกำลังจะเดินออกไป หางตาก็เหลือบไปเห็นเซี่ยไห่ หล่อนดูตกตะลึงเล็กน้อย

เซี่ยไห่รีบทักทายหล่อนอย่างกระตือรือร้น “พี่เซี่ยหลาน ขอบคุณครับ”

เซี่ยหลานไม่เข้าใจว่าทำไมเซี่ยไห่ถึงต้องกล่าวขอบคุณหล่อนด้วย

เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยก็กล่าวขอบคุณอย่างเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน “หมอเซี่ย ขอบคุณมากนะครับ/คะ”

เมื่อได้ยินหลินเซี่ยเรียกหล่อนว่าหมอเซี่ยอย่างห่างเหิน เซี่ยหลานก็ไม่ตอบสนองอะไร เพียงเหลือบมองพวกเขาแล้วจากไปเงียบ ๆ

เฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงมองไปทางเสิ่นเสี่ยวเหมยที่ยังแสร้งทำเป็นวิงเวียนศีรษะ ใบหน้าแสดงความผิดหวังอย่างสุดซึ้ง

โจวลี่หรงมองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าเศร้าใจ พูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “เซี่ยเซี่ย พวกเราทำผิดต่อเธอมากจริง ๆ”

“คุณพ่อ คุณแม่ ฉันทนถูกใส่ร้ายในเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ยังไงฉันก็ต้องแจ้งความ”

“ไปกันเถอะ ไว้ค่อยคุยกันหลังจากเราออกมาแล้ว”

เฉินเจียซิ่งยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างโง่เขลา ในใจของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายที่ประเดประดังเข้ามา

หลังจากที่พ่อ แม่ พี่ชายคนโต และคนอื่น ๆ เดินออกจากวอร์ดไปไกลแล้ว เขาถึงกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง แล้วพูดกับเสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เราหย่ากันเถอะ”

แม้เสียงของเขาจะไม่ดังมาก แต่กลับมีพลังอำนาจแข็งแกร่งยิ่ง

“เฉินเจียซิ่ง แกพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง?”

เฉินเจียซิ่งไม่หวาดกลัวต่อท่าทางทรงอำนาจของผู้เฒ่าเสิ่นในเวลานี้อีกต่อไป เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมไม่ต้องการรับใช้บรรพบุรุษของตระกูลคุณอีกต่อไป หลังจากนี้โปรดหลีกทางให้ผมหย่ากับหล่อนเถอะครับ”

เมื่อได้ยินว่าเฉินเจียซิ่งกำลังขอหย่า เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ไม่อาจทนเสแสร้งได้อีกต่อไป หล่อนลืมตาขึ้นทันที จากนั้นคุกเข่าลงบนเตียงและอ้อนวอนขอร้องเขา

“เจียซิ่ง ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้วจริง ๆ ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วยเถอะนะคะ ฉันไม่ตั้งใจจะทำให้เรื่องทั้งหมดออกมาเป็นแบบนี้ ฉันเพิ่งรู้ได้ไม่นานว่าตัวเองไม่ได้ท้อง แต่ไม่รู้จะอธิบายกับคุณและครอบครัวยังไงดี พอฉันลนลานก็เลยตัดสินใจทำแบบนี้ เป็นความคิดที่ผิดถนัดจริง ๆ”

เฉินเจียซิ่งมองผู้หญิงที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย รู้สึกรังเกียจหล่อนขึ้นมาเต็มประดา

เขาตาบอดไปจริง ๆ ที่เคยตกหลุมรักคนอย่างหล่อน

เขาเคยคิดว่าหล่อนน่ารักมากเวลาทำตัวหยิ่งยโสและเจ้าอารมณ์ สมองส่วนไหนสักส่วนทำให้เขาคิดว่าหล่อนแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น แต่แล้วในช่วงหกเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่แต่งงานกัน พฤติกรรมต่าง ๆ ของหล่อนก็ทำให้เขาเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ทำให้เขากลายเป็นศัตรูกับพี่น้อง จนถึงตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะรักหล่อนอย่างถวายหัวอีกต่อไปแล้ว

ไหนจะผู้เฒ่าเสิ่นที่เข้าข้างเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างไม่มีเงื่อนไข ทำให้เขาทนแบกรับคำถากถางหยามหมิ่นจากอีกฝ่ายมามากเกินพอ

ในสายตาของผู้เฒ่าเสิ่น ดูเหมือนว่าไม่มีผู้ชายคนไหนในโลกที่คู่ควรกับหลานสาวผู้เป็นดั่งนางฟ้าในเทพนิยาย เป็นเวลานานพอสมควรที่ชายชราไม่ชอบใจเขา ทั้งยังวิพากษ์วิจารณ์ในรูปแบบต่าง ๆ

แม้แต่ครอบครัวของเขาเองยังไม่เคยดูถูกกันถึงขนาดนี้

เฉินเจียซิ่งพูดจบแล้วก็กำลังจะผลักประตูเดินออกไป แต่เสิ่นเถี่ยจวินเข้ามาขวางไว้เสียก่อน “เฉินเจียซิ่ง กลับมาคุยกันให้รู้เรื่อง”

เสิ่นเถี่ยจวินประจันหน้าขวางทางเขาไว้ พูดด้วยสีหน้าตรงไปตรงมา “เรื่องแค่นี้ทำให้นายถึงขั้นขอหย่ากับเสี่ยวเหมยเชียวเหรอ? นายยังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า?”

เฉินเจียซิ่งมองเขาอย่างไม่แยแส ตอบกลับไป

“ผู้อำนวยการเสิ่น ก็เพราะผมเป็นผู้ชายไงถึงยอมทนให้หล่อนเล่นกับความรู้สึกของผมแบบนี้ไม่ได้ ผมเบื่อหล่อนมาตั้งนานแล้ว และคราวนี้หล่อนก็ทำให้ขีดความอดทนสุดท้ายของผมหมดลง ถ้าไม่ให้ผมหย่าแล้วจะให้ผมอยู่อย่างทรมานรอรับการโขกสับจากหล่อนต่อไปหรือไงครับ?

ตระกูลเสิ่นของพวกคุณนี่มันเห็นแก่ตัวดีจริง ๆ คงคุ้นเคยกับการอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่ามานาน เลยคิดว่าทุกคนต้องเลียแข้งเลียขาประจบประแจงคุณสินะ? ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าเหตุใดทั้ง ๆ ที่พวกคุณพยายามแสดงความเมตตามากแค่ไหน แต่หลินเซี่ยก็ไม่เต็มใจจะกลับไปหาตระกูลเสิ่นของพวกคุณสักนิด”

เมื่อได้ยินคำเสียดสีของเฉินเจียซิ่ง เสิ่นเถี่ยจวินก็กลายร่างเป็นแมวที่ถูกเหยียบหาง เงื้อหมัดขึ้นและต่อยเฉินเจียซิ่งอย่างแรงเข้าที่ใบหน้า

แรงหมัดของเสิ่นเถี่ยจวินแข็งแกร่งมาก สร้างความเจ็บปวดให้อีกฝ่ายไม่น้อย ขณะที่ดวงตาของเสิ่นเสี่ยวเหมยเบิกกว้างด้วยความกลัว

“ผู้อำนวยการเสิ่น เห็นแก่ความอาวุโสของคุณ ดังนั้นผมจะไม่สู้กลับ แต่หมัดของคุณที่ชกหน้าผม ทำให้ผมยิ่งอยากอยู่ห่างจากครอบครัวของคุณมากกว่าเดิม”

เฉินเจียซิ่งเช็ดเลือดจากมุมปากของตัวเอง แสยะยิ้มเยาะอย่างขมขื่น ก่อนจะผลักอีกฝ่ายออกไปให้พ้นทางและเดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว

และภายในห้องก็เหลือเพียงเสียงร้องไห้อย่างสิ้นหวังของเสิ่นเสี่ยวเหมย

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เจียซิ่งไม่ทนแล้วโว้ยยย สมน้ำหน้าค่านังเหมยเน่า ที่ผ่านมาปั่นหัวคนอื่นเล่นสนุกมากไหมล่ะ เขาขอหย่าแล้วเพิ่งจะมาอ้อนวอนร้องขอให้กลับมาคืนดี

ไหหม่า(海馬)