หลานเสี่ยวถางมองไปที่สือมูเฉินด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง
สือมูเฉินก้มศีรษะลงและจูบริมฝีปากของหลานเสี่ยวถาง: “คุณรู้ไหม?ผมรักคุณ”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกเขินอายมากขึ้นกับคำสารภาพดังกล่าว เธอที่กำลังจะเอามือปิดหน้า ก็มีเสียงหนึ่งล้อเลียนดังขึ้นมาจากที่ประตู: “ยินดีด้วย คืนดีกันแล้ว!”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงว่าเลือดพุ่งไปจนถึงสมองแล้ว เธอหันหน้าไปมองและเห็นเงามืดยืนอยู่ที่ประตู เธอรู้สึกอายจนอยากจะหาที่หลบซ่อนทันที
เมื่อกี้นี้ฟู่สีเกออยู่ที่นั่นตลอดเลยเหรอ? คำพูดของเธอและที่เธอร้องไห้ขี้มูกโป่งเขาก็เห็นหมดแล้วสิ? !
ชั่วขณะหนึ่ง เธอรู้สึกว่าสือมูเฉินมีอายุมากกว่าฟู่สีเกอตั้ง 3 ปี และเธอสามารถเชิดหน้าชูตาข่มในฐานะพี่สะใภ้ได้ ในตอนนี้ศักดิ์ศรีและความมั่นหน้าที่อยากเชิดหน้าชูตาข่มในฐานะที่เธอเป็นพี่สะใภ้นั้นไม่หลงเหลือแล้ว!
“เสี่ยวถาง ผมเลวตรงไหน?” ฟู่สีเกอจับประเด็นคำพูดของหลานเสี่ยวถางได้ทันทีและพูดว่า: “แม้ว่าผมจะพูดเกี่ยวกับเรื่องความรักแต่ผมก็เป็นคนจริงใจ การที่พี่เฉินเรียนรู้จากคนอย่างผม นั่นก็เป็นการเรียนรู้ในทางที่ดี คุณดูสิตอนนี้พวกคุณก็คืนดีกันแล้วนี่?”
หลานเสี่ยวถางไม่ได้พูดอะไร และเธอนั้นรีบมุดหลบเข้าไปอยู่ในก้อมแขนของสือมูเฉิน
สือมูเฉินดึงผ้าห่มขึ้นและห่อหลานเสี่ยวถางไว้แน่น เขาเงยหน้าขึ้นมองฟู่สีเกอและพูดว่า: “สีเกอ นี่นายไปเรียนรู้การสอดรู้สอดเห็นระหว่างคู่สามีภรรยาของชาวบ้านตอนไหนเนี่ย?”
“ยังมีหน้ามาพูดอีก ฉันกำลังนอนหลับสบายอยู่เลย ก็ได้ยินเสียงข้าง ๆห้องทะเลาะกัน! ฉันเกรงว่าเสี่ยวหลานจะถูกนายทำร้าย ฉันจึงลุกขึ้นมาดูนี่ไง” ฟู่สีเกอถอนหายใจ: “สรุปคือจะดูฉากตื่นเต้นสักหน่อยกลับไม่ได้ดู ได้ยินแต่เสียงคนกำลังพลอดรักกันเนี่ย!อีกอย่างนะอาเฉิน แกนี้มีพรสวรรค์ไม่น้อยเลยนะ คำพูดเกลี้ยกล่อมสาว ๆ นี่มีมากมายเหลือเกิน!”
“แกจะไปไหนก็รีบไปซะ?” สือมูเฉินเหลือบมองฟู่สีเกออย่างรำคาญ: “ฉันยังมีอะไรจะพูดกับเสี่ยวถางอีกมากมาย”
“หึ พอหมดประโยชน์เท่านั้นแหละรีบถีบส่งเลยนะ เนรคุณจริง ๆเลย!” ฟู่สีเกอบ่น: “เฮ้ คนโสดจะไปนอนแล้ว!”
เมื่อเห็นฟู่สีเกอจากไป สือมูเฉินก็ค่อย ๆดึงผมของหลานเสี่ยวถางเล่นพันวนรอบ ๆ นิ้วของเขา และมองลงไปที่เธอ: “ที่รัก ถ้าเช่นนั้นแปลว่าเราคืนดีกันแล้วใช่ไหม?”
หลานเสี่ยวถางกัดริมฝีปากของเธอพร้อมพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นถึงเวลาที่สามีจะกอดเข้านอนแล้วนะ?” สือมูเฉินพูดอีกครั้ง
หลานเสี่ยวถางเปล่งเสียงออกมาหนึ่งคำ ‘อืม’ และเอนตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของสือมูเฉินอย่างเชื่อฟัง
ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง สือมูเฉินจำภาพที่ส่งให้หลานเสี่ยวถางเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาได้และถามว่า: “เสี่ยวถาง คุณเห็นชุดแต่งงานแล้วหรือยัง?”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “อืม ช่วงกลางวันตอนที่กลับบ้านฉันก็เห็นมันแล้ว”
มุมปากของสือมูเฉินม้วนขึ้น: “ดังนั้น โจ๊กนั้นคุณเป็นคนทำจริง ๆ”
หลานเสี่ยวถางหน้ามุ่ย: “คุณทานยังไงถึงดูไม่ออกว่าเป็นรสชาติฝีมือของฉัน?”
สือมูเฉินพยักหน้า: “คืนแรกที่คุณมานั้น ผมก็รู้ว่าเป็นคุณแล้ว แต่แค่ไม่มีหลักฐานเท่านั้นเอง เลยยังไม่แน่ใจ”
หลานเสี่ยวถางยิ้มอย่างเขินอาย: “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ที่คุณแกล้งออกมาเข้าห้องน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วคุณต้องการจะจับฉันคาหนังคาเขาใช่ไหม?”
สือมูเฉินยอมรับพร้อมพูดว่า: “ก็ผมได้กลิ่นของคุณอยู่ใกล้ ๆผมนี่นา”
หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะยิ้ม: “นี่คุณมีจมูกเหมือนจมูกสุนัขหรือ?”
สือมูเฉินแสร้งทำเป็นโกรธ: “ถ้าเช่นนั้นคุณก็หมายความว่าสามีของคุณเป็นสุนัขนะสิ ลูกชายและลูกสาวในอนาคตของคุณจะเป็นลูกสุนัขด้วยใช่ไหม”
หลานเสี่ยวถางจิ้มหน้าอกของสือมูเฉิน: “ใครเขาว่าลูกของตัวเองเช่นนี้กันล่ะ!”
สือมูเฉินยิ้มและพูดว่า: “ลูกที่คุณเป็นคนให้กำเนิด ผมรักทุกอย่าง”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงว่าวันนี้สือมูเฉินดูเหมือนจะพูดประโยคคำว่ารักทั้งหมดตั้งแต่ที่พวกเขารู้จักกันแรก ๆ พูดขึ้นมาอีกรอบ คำพูดหวาน ๆเหล่านั้นเธอฟังแล้วเธอรู้สึกมีความสุขมาก แต่ทันใดนั้นเธอก็นึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ : “มูเฉิน ตอนกลางคืนคุณดื่มจนเมา เป็นเพราะสาเหตุอะไร……”
เมื่อสือมูเฉินได้ยินคำพูดเหล่านี้ หัวใจของเขาก็โศกเศร้าทันที: “เสี่ยวถาง ทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่ต้องแลกมาเสมอ ไม่มีอะไรในโลกที่เราได้มาโดยไม่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาค่อย ๆ พูด: “จำไว้ว่าผมเคยพาคุณไปที่ลานเล็ก ๆแห่งนั้นไหม ผมบอกคุณในเวลานั้นว่า ผมรู้สึกผิดต่อคุณแม่ของผมอยู่เสมอ”
เขาถอนหายใจ: “แต่อย่างไรก็ตามเพราะความรู้สึกผิดดังกล่าว ในที่สุดผมก็กลายเป็นเครื่องมือระบายสำหรับท่าน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ผมพึ่งรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วหลายปีมานี้คุณแม่ของผมท่านไม่ได้ไปต่างประเทศ แต่เพราะถูกคุมขังและใช้ชีวิตแบบตายไปยังจะดีกว่ามีชีวิตอยู่ซะอีก ท่านเกลียดผม ท่านจึงเกลียดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผม”
เมื่อเห็นความอ่อนแอของสือมูเฉิน หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะไปกุมมือของสือมูเฉินไว้แน่น และส่งมอบความอบอุ่นให้กับเขา
“ท่านเกลียดผม ดังนั้นท่านจึงพลอยเกลียดคุณไปด้วย ท่านต้องการทำลายความสัมพันธ์ของเรา เพียงเพราะท่านไม่อยากให้ผมมีความสุข” สือมูเฉินกล่าวอย่างเจ็บปวด “เสี่ยวถาง ท่านกล่าวว่าสิ่งที่ท่านเสียใจมากที่สุดในชีวิต นั่นก็คือการที่คลอดผมออกมา !”
เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยินคำเหล่านี้ เธอก็รู้สึกเจ็บปวดในใจขึ้นมาทันที
แม้ว่าประโยคนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณแม่ของตัวเองพูด แต่ในฐานะภรรยาของสือมูเฉิน เมื่อได้ยินคำพูดที่เขาถูกทำร้าย เธอรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก
เธอเอื้อมแขนออกและกอดสือมูเฉินไว้แน่น: “มูเฉิน ท่านอาจจะพูดด้วยความโกรธและอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น และเดี๋ยวทุกอย่างมันจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง หลายปีผ่านมาแล้วเธอมีชีวิตที่ตกต่ำอย่างมาก และโกรธเพราะตอนนั้นคุณยังเด็กยังไม่ค่อยรู้เรื่อง คำพูดของคุณในวันนั้นได้ทำลายความสัมพันธ์ของท่านทั้งสองจนทำให้ท่านหนีออกจากบ้านไปมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปท่านจะจำความรักของคุณที่มีต่อท่านได้อย่างแน่นอน!”
สือมูเฉินส่ายหัวและพูดอย่างโศกเศร้า: “แต่ท่านบอกว่าแม้ว่าท่านจะตายท่านก็จะไม่มีวันยกโทษให้ผม!”
เขาซุกหัวของตัวเองเข้าไปอยู่ที่ไหล่ของหลานเสี่ยวถาง: “เสี่ยวถาง คุณรู้ไหมว่าการถูกมารดาผู้ให้กำเนิดของตัวเองนั้นรังเกียจ และถูกมารดาผู้ให้กำเนิดของคุณนั้นเกลียดชังรสชาติความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างไร?วันนั้นผมได้คุกเข่าลงบนพื้นแล้วก้มคำนับให้ท่านสามครั้ง ในเวลานั้น ผมบอกว่าต่อจากนี้ไปผมอาจจะไม่มีแม่อีกแล้ว แม้ว่าท่านจะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกที่ไหล่เปียกชื้น และเธอก็รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ เธออดไม่ได้ที่จะกระชับแขนของตัวเองและตบหลังของสือมูเฉินเบาๆ : “มูเฉิน อย่าเศร้าเสียใจไปเลยนะคะ คุณยังมีฉันอยู่และยังมีคุณแม่ของฉัน คุณลองนึกดูสิ ตอนที่เราไปต่างประเทศ คุณแม่ของฉันชอบคุณมากด้วย!”
“เสี่ยวถาง เมื่อผมมองดูเธอจากไปในวันนั้น ผมรู้ทั้งรู้ว่าการที่ท่านอาศัยอยู่ด้วยกันกับเรานั้นท่านจะทำไม่ดีกับเรา แต่เมื่อตอนที่ท่านจากไปแล้ว เหมือนหัวใจของผมนั้นว่างเปล่า” สือมูเฉินกล่าวว่า: “ในตอนนั้น ผมรู้สึกว่ารากของตัวเองเหมือนหักออกจากกันแล้ว”
“มูเฉิน ฉันพูดไม่ค่อยเก่ง และไม่รู้จะปลอบคุณยังไง” หลานเสี่ยวถางผละออกมาเล็กน้อย จับใบหน้าของสือมูเฉิน และมองตรงเข้าไปในดวงตาของเขา: “อย่างไรก็ตาม ฉันจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่ออยู่เคียงข้างคุณตลอดไป”
หลังจากพูดจบ เธอรู้สึกว่ากำลังของเธอดูเล็กเกินไปเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เธอจึงหัวเราะเยาะตัวเองอีกครั้ง: “อย่างไรก็ตาม ฉันเดาว่าฉันคงช่วยเหลืออะไรคุณไม่ได้เลยสักนิดจริง ๆ……”
อย่างไรก็ตามก่อนที่หลานเสี่ยวถางจะพูดจบ สือมูเฉินก็กอดเธอไว้แน่น เขากระชับแขนและโอบเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างแน่นหนา: “การที่คุณอยู่เคียงข้างผม นั่นก็คือกำลังใจที่ดีที่สุดของผมแล้วล่ะ”
“จริงเหรอ?” หัวใจของหลานเสี่ยวถางกระตุกสั่นไหวกับคำพูดของเขา
“อืม จริง ๆ” สือมูเฉินพูด :“หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่เคยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคุณแม่ของผมให้ใครฟังอีกเลย วันนี้หลังจากที่ผมได้เล่าให้คุณฟังแล้ว ผมก็รู้สึกว่าในใจของผมไม่ได้ทรมานขนาดนั้นแล้ว”
หลานเสี่ยวถางปลอบโยนเขา: “มูเฉินไม่ว่าความเจ็บปวดนั้นจะลึกมากแค่ไหน มันก็จะผ่านไปอย่างช้า ๆ ท่านเพิ่งหลุดพ้นจากความทุกข์ และแม้ว่าความเกลียดชังในหัวใจของท่านนั้นจะลึกมากเพียงใด อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป บางทีทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็ได้”
สือมูเฉินกอดหลานเสี่ยวถาง และถอนหายใจออกมาพูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า: “เสี่ยวถาง คุณเป็นคนที่มีจิตใจดีและมีน้ำใจมากขนาดนี้ เป็นความโชคดีของผมจริง ๆที่มีภรรยาเช่นคุณ”
“คุณจะคิดไหมว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรหลาย ๆอย่างเลย บางครั้งต้องพึ่งพาคุณอยู่ตลอด และในบางครั้งยังเข้าใจคุณผิดอีก?” หลานเสี่ยวถางกล่าวว่า: “ฉันเป็นคนที่ไร้ประโยชน์เกินไปหรือเปล่า?”
“สภาพแวดล้อมการเติบโตของทุกคนนั้นแตกต่างกัน บางทีคุณอาจเห็นว่าบางคนประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่บางคนก็เป็นได้แค่เหมือนกบในกะลาเท่านั้น” สือมูเฉินกล่าวว่า: “เพราะเราเกิดมา และถูกกำหนดในความไม่เท่าเทียมกันแล้ว”
เขากล่าวต่อว่า: “เมื่อลูกของเศรษฐีลืมตาขึ้น เขาได้ทานสิ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีสุด และได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม เด็กในสลัมที่ดีที่สุดอาจจะทำธุรกิจอยู่ได้แค่ข้างถนน และหาเลี้ยงคนในครอบครัวเพื่อให้กินอยู่สบาย”
เขามองดูเธอ: “เสี่ยวถาง เราค่อยเป็นค่อยไป เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ผมก็เห็นพรสวรรค์ของคุณแล้ว ต่อไปนี้คุณจงตั้งใจแล้วคุณจะพบว่าตัวเองนั้นยิ่งอยู่ยิ่งเก่ง ยิ่งอยู่ยิ่งประสบความสำเร็จมากขึ้น เพราะเราจะเติบโตไปด้วยกัน ”
หัวใจของหลานเสี่ยวถางสั่นเทาเมื่อเธอได้ยินสิ่งที่เขาพูด
คำพูดเหล่านี้ไม่มีใครเคยพูดกับเธอมาก่อน และในวันนี้เมื่อสือมูเฉินพูดอย่างจริงจัง ดูเหมือนหลานเสี่ยวถางก็พบความมั่นใจอีกครั้ง
เธอพยักหน้าและพูดว่า: “โอเค ฉันจะพยายามตั้งใจและสามารถเทียบชั้นกับคุณให้ได้!”
สือมูเฉินมองดูท่าทางเธอที่จริงจังและตั้งตารอของเธอ และอดไม่ได้ที่จะขดริมฝีปากขึ้น: “อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้คาดหวังกับคุณมากนัก ขอเพียงคุณอยู่เคียงข้างผมก็พอ ทุกครั้งที่ผมกลับถึงบ้าน เวลาสภาพจิตใจของผมแย่ มีคุณเคียงข้างกายแค่นั้นก็พอแล้ว ดังนั้นคุณไม่ต้องลำบากตัวเองมากเกินไป!”
หลานเสี่ยวถางยิ้ม: “ไม่ว่าคุณจะพูดแบบไหนคุณก็พูดถูกเสมอ”
สือมูเฉินกล่าวว่า: “ผมพูดจริงจังนะ เสี่ยวถาง คนเราการที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องมีความสุข ชีวิตของคุณเอง คุณอยากทำให้ชีวิตมีความสุขมากแค่ไหน คุณเป็นคนกำหนดด้วยตนเอง ไม่สำคัญว่าคุณจะตั้งใจทำงานหรือเปล่า คุณไม่จำเป็นต้องทำงานอยู่แต่บ้านเฉย ๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร และมีกินมีใช้อยู่ตลอดเวลา เพราะยังไงเสียสามีของคุณก็มีปัญญาเลี้ยงคุณอยู่แล้ว คุณอยากทำอะไรก็ได้ตามใจคุณ!”
มุมปากของหลานเสี่ยวถางยกขึ้น: “ฉันรู้สึกว่ายิ่งอยู่คุณก็ยิ่งดีกับฉันมากขึ้นเรื่อย ๆ ”
“ผมก็ดีแบบนี้มาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ?” สือมูเฉินถามกลับ
ทั้งสองคุยกันสักพักก่อนจะกอดและผล็อยหลับไป
จนกระทั่งสายของเช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองเพิ่งตื่น
ทันทีที่หลานเสี่ยวถางลืมตาขึ้น เธอได้รับสายจากเฉียวโยวโยว เฉียวโยวโยวถามเธอว่าสองสามวันที่ผ่านมานี้เธอกำลังทำอะไรอยู่
เมื่อเธอได้ยินว่าสือมูเฉินป่วยจนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เฉียวโยวโยวบอกว่าจะเข้ามาเยี่ยม แต่หลานเสี่ยวถางไม่สามารถรั้งเธอไว้ได้ ดังนั้นเธอจึงต้องบอกหมายเลขห้องกับเฉียวโยวโยว
ฟู่สีเกอกำลังจะสับเปลี่ยนกับหยานชิงเจ๋อ แต่เมื่อเขาเห็นหลานเสี่ยวถางกดวางสาย และเดินเข้าไปถามเธอว่า:“ เสี่ยวถาง ใครจะมาเหรอ?”
หลานเสี่ยวถางกล่าวว่า: “โยวโยวบอกว่าจะมา อีกสักพักน่าจะถึงแล้วล่ะ”
ฟู่สีเกอพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน สือมูเฉินก็เห็นว่าฟู่สีเกอยังคงอยู่ที่นั่น และอดไม่ได้ที่จะถาม: “สีเกอ ทำไมนายถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะ?”
ฟู่สีเกอเลิกคิ้ว: “จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกว่าวันนี้นายอยู่ในโรงพยาบาลและทรงผมของนายดูไม่ค่อยเป็นทรงเท่าไหร่ เดี๋ยวฉันจะช่วยนายจัดทรงสักหน่อย!”
เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยินเหตุผลเช่นนี้ มองไปที่สือมูเฉินอย่างมึนงง จากนั้นจึงหันไปหาฟู่สีเกอและพูดว่า: “ทรงผมของมูเฉินไม่ดีตรงไหน? ทั้ง ๆที่หล่อมากขนาดนี้!”
ชิ อย่าแสดงความรักออกมาซะปานจะกลืนกินขนาดนี้ได้ไหมครับ!” ฟู่สีเกอนั่งลงบนโซฟา หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดเลื่อนดูอย่างช้า ๆ: “ความจริงแล้วฉันคิดว่าชิงเจ๋อกำลังมีความรัก ทางที่ดีไม่ต้องให้เขามาหรอก อีกทั้ง DR นั้นก็ต้องมีคนคอยเฝ้าดูแลอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าเขาพูดได้มีเหตุผลและพยักหน้า: “ก็ถูกนะ ได้ยินมาว่าชิงเจ๋อมักจะนอนดึกมาก และดูเหมือนว่าเขาจะยุ่งมากเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นคุณอยู่ที่นี่ต่อเถอะ ไม่ต้องให้ชิงเจ๋อมาแล้วล่ะ!”