บทที่ 206 ฉันกลัวว่าตัวเองนั้นจะหนีออกจากงานแต่ง

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

เมื่อเฉียวโยวโยวกำลังจะออกจากบ้าน ทันใดนั้นเธอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สือมูเฉินป่วย ฉะนั้นฟู่สีเกอก็อาจจะอยู่ในโรงพยาบาลด้วย

เธอลังเลเล็กน้อย และในชั่วขณะหนึ่งเธอไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรดี

ทุกวันนี้ ฟู่สีเกอติดต่อกับเธอตลอด แต่ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องในวันนั้นอีกเลย

พวกเขาเป็นเหมือนเพื่อนกัน และส่งข้อความทักทายเป็นครั้งคราว ดูเหมือนว่าเรื่องราวที่ทำให้หัวใจเต้นแรงในคืนนั้นมันเป็นเหมือนความฝันเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าเฉียวโยวโยวหยุดเคลื่อนไหวื ฟู้เจียนปอที่ถือผลิตภัณฑ์โภชนาการอยู่ในมือถามขึ้นว่า: “โยวโยว เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?ทำไมถึงหยุดล่ะ? เราไปกันเถอะ?”

เฉียวโยวโยวส่ายหัว: “โอ้ ไม่มีอะไรคะ ไปกันเถอะ!”

เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าการได้เห็นฟู่สีเกอนั้นก็เป็นสิ่งที่ทั้งสามคนต้องประจันหน้ากันอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายเฉียวโยวโยวก็ตัดสินใจไป

เมื่อทั้งสองมาถึงหน้าประตูห้องพักฟื้นคนไข้ และได้ทักทายพยาบาลเรียบร้อย จากนั้นก็เคาะหน้าประตูห้องพักฟื้นคนไข้เบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงของหลานเสี่ยวถาง พวกเขาจึงเดินเข้าไป

“โยวโยว!” หลานเสี่ยวถางเดินเข้าไปกอดเฉียวโยวโยว และรับของเยี่ยมคนไข้จากในมือของฟู้เจียนปอแล้วพูดว่า: “จริงๆแล้วมาเยี่ยมเฉย ๆก็พอแล้วล่ะ ไม่ต้องรู้สึกเกรงใจขนาดนี้หรอก!”

ในขณะนี้ ฟู่สีเกอซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาได้ละสายตาจากโทรศัพท์และเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของเฉียวโยวโยว

เมื่อทั้งสองสบตากัน

หลังจากที่ทั้งสองสบตากันเพียงระยะสั้น ๆ พวกเขาก็ละสายตาออกจากกันทันที แล้วพยักหน้าทักทายกัน

ฟู้เจียนปอเดินไปที่เตียงของสือมูเฉิน และเห็นว่าสือมูเฉินเติมน้ำเกลือไปด้วยและเคลียร์งานไปด้วย เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ: “พี่สือครับพี่ทุ่มเทกับงานมากเกินไปแล้ว!”

“ไม่มีทางเลือกอื่น มีเรื่องมากมายที่ต้องสะสาง ผมก็อยากถือโอกาสที่ลาป่วยพักผ่อนอยู่เหมือนกัน แต่ธุรกิจของบริษัทไม่เอื้ออำนวยน่ะ!” สือมูเฉินพูดอย่างช่วยไม่ได้

ฟู้เจียนปอสนทนากับเขาสักครู่ และเหมือนรู้สึกว่ากำลังรบกวนสือมูเฉินอยู่ ดังนั้น เขาจึงหันหลังและเดินไปที่โซฟาทันที

ในขณะนี้เฉียวโยวโยวและหลานเสี่ยวถางกำลังพูดคุยกันเงียบ ๆ ข้างโซฟา

ทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หลานเสี่ยวถางก็ลุกขึ้นเพื่อเทน้ำให้สือมูเฉิน จากนั้นไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมโจ๊ก

ในเวลานี้ ฟู่สีเกอเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่เฉียวโยวโยว

เฉียวโยวโยวรู้สึกว่าฟู่สีเกอกำลังจ้องเธออยู่ เธอไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไร ดังนั้นเธอจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ และหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาเล่น

รู้สึกไม่ค่อยสบายใจจริง ๆ เธอต้องลุกขึ้นแล้วพูดว่า: “ฉันจะดูว่าเสี่ยวถางต้องการให้ช่วยหรือไม่”

เป็นผลให้มีเพียงฟู้เจียนปอและฟู่สีเกอเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่โซฟา

ฟู้เจียนปอเงยหน้าขึ้นและพูดกับฟู่สีเกอว่า: “คุณฟู่ครับ ผมเพิ่งรู้ว่าคุณเป็นไตลิสต์ที่มีชื่อเสียงมาก สิ้นเดือนนี้งานแต่งของผมกับโยวโยว คุณสามารถช่วยออกแบบทรงผมให้กับโยวโยวได้ไหมครับ?”

ฟู่สีเกอจ้องมองเขา มุมริมฝีปากของเขาขดขึ้นเล็กน้อย แต่แววตาว่างเปล่า: “เพราะอะไร?”

“เพราะผมคาดหวังว่าเธอจะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุด” ในขณะที่ฟู้เจียนปอพูดอยู่นั้น แสงแห่งความสุขก็แผดเผาในดวงตาของเขา

“อืม เธอจะแต่งงาน ผมช่วยออกแบบทรงผมให้เธอมันก็สมควรอยู่แล้ว” ฟู่สีเกอพูดอย่างมีความหมายแอบแฝง

หลังจากฟังสิ่งที่เขาพูด ฟู่สีเกอไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พูดอย่างมีความสุขว่า: “ถ้าเช่นนั้นก็เยี่ยมมากเลย งั้นผมต้องขอบคุณคุณฟู่ล่วงหน้าแล้วล่ะ!”

รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่สีเกอหายไป และน้ำเสียงของเขาก็เย็นชาทันที: “สำหรับเรื่องนี้ คุณไม่จำเป็นต้องขอบคุณผมหรอก”

ฟู้เจียนปอรู้สึกว่าคำพูดของฟู่สีเกอนั้นแปลก ๆ แต่เมื่อเขาพบว่ามีอะไรผิดปกติ เขาเพียงแค่พยักหน้าและพูดว่า: “อืม เป็นเพื่อนกันทั้งหมด ต่อไปนี้หากมีสิ่งใดที่ต้องการให้ผมและโยวโยวช่วยละก็ พูดมาได้เลยนะครับ พวกเรายินดีช่วยเหลือเสมอ!”

“อืม” ฟู่สีเกอแค่นเสียงเบา ๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก

ในห้องครัว หลานเสี่ยวถางทำโจ๊กให้สือมูเฉิน ขณะที่เธอรอให้น้ำเดือดและเปิดไฟอ่อน ๆไปด้วยนั้น เธอก็พูดคุยกับเฉียวโยวโยวไปด้วย

“โยวโยว พวกเธอแต่งงานสิ้นเดือนนี้กำหนดการคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใช่ไหม?” หลานเสี่ยวถางถาม: “ทำไมฉันยังไม่ได้รับการ์ดงานแต่งล่ะ?”

เฉียวโยวโยวพยายามระงับอารมณ์ที่ซับซ้อนในใจของเธอแล้วพูดว่า: “ไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน การ์ดแต่งงานกำลังสั่งทำอยู่ คิดว่าสุดสัปดาห์นี้น่าจะเสร็จแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นฉันจะไปแจกให้ทีละคน!”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “อืม ถ้าหากต้องการให้ช่วยเหลืออะไรแล้วล่ะก็ โทรหาฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ!”

“ไม่มีปัญหา!” เฉียวโยวโยวตอบกลับ: “น่าเสียดายที่เธอแต่งงานแล้ว ประเพณีที่นี่คือเมื่อแต่งงานแล้วก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนเจ้าสาวได้

……”

“ไม่เป็นไรหรอก ลูกพี่ลูกน้องของเจียนปอก็โอเคนะ เมื่อถึงเวลานั้นเธอจะเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ก็ได้นี่เนอะ!” หลานเสี่ยวถางเห็นน้ำเดือดแล้ว ดังนั้นเธอจึงปรับเปลวไฟให้เบาลงอีกหน่อย

เมื่อเห็นหลานเสี่ยวถางทำโจ๊ก เฉียวโยวโยวก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า: “เสี่ยวถาง เธอนี่ยิ่งอยู่ยิ่งเป็นแม่ศรีเรือนเข้าไปทุกวันแล้วนะ!”

หลานเสี่ยวถางยิ้ม: “นี่สมัยเรียนเธอไม่เคยรู้ว่าฉันก็มีความสามารถในด้านนี้หรอกเหรอเนี่ย?”

“ตอนนั้นไม่เคยคิดจริง ๆด้วยแหละ” เฉียวโยวโยวกล่าวว่า: “ในตอนนั้นเธอมักจะอยู่ด้วยกันกับหันจื่ออี้ แต่กลับรู้สึกว่าเขาเป็นแม่ศรีเรือนมากกว่า ตอนนั้นฉันยังคิดว่าพวกเธอต้องอยู่ด้วยกันอย่างแน่นอน เพียงแต่ ……”

หลานเสี่ยวถางส่ายหัว: “นี่คือโชคชะตาฟ้าลิขิต!”

“ใช่สิ ตอนนี้เมื่อฉันเห็นเธอใช้ชีวิตคู่อยู่กับพี่สือแล้ว ฉันรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมาะสมกันมากกว่า” เฉียวโยวโยวกล่าวว่า: “แม้ว่าเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าสื่อจะดูสูงส่งดูไฮโซก็ตาม ฉันมักจะรู้สึกว่าเมื่อพวกเธออยู่ด้วยกันแล้วเข้ากันได้ดีผสมผสานกันอย่างลงตัว มันช่างน่าทึ่งจริง ๆ!”

หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะพูดว่า: “จริง ๆเหรอ ทำไมฉันถึงไม่รู้ตัวเลยล่ะ?”

“จริงสิ! อย่างน้อยในสายตาของฉันมันเป็นเช่นนั้น” เฉียวโยวโยวเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาของเธอดูซับซ้อนเล็กน้อย: “เสี่ยวถาง ก่อนแต่งงาน เธอเคยคิดที่จะหนีงานแต่งหรือเปล่า?”

เมื่อฟังคำพูดของเฉียวโยวโยวแล้ว หลานเสี่ยวถางก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองเฉียวโยวโยว: “โยวโยว เธอมีอาการโรคกลัวก่อนแต่งงานเหรอ?”

“เสี่ยวถาง ฉันไม่รู้ว่าตัวเองนั้นตัดสินใจถูกหรือเปล่า” เฉียวโยวโยวปิดประตูห้องครัวและกระซิบ: “เสี่ยวถาง บางครั้งฉันก็สงสัยว่าฉันจะผ่านพ้นไปได้หรือไม่หลังจากที่ฉันแต่งงาน?จะต้องมีการหย่าร้างไหม แล้วฉันจะเสียใจไหมที่ฉันเลือกที่จะแต่งงานกับเขา……”

เมื่อหลานเสี่ยวถางเห็นสีหน้าของเฉียวโยวโยวดูเจ็บปวด เธอก็อดไม่ได้ที่จะวางช้อนในมือของเธอและพูดกับเฉียวโยวโยวอย่างจริงจังว่า: “โยวโยว เธอยังต้องการเวลาคิดทบทวนอีกใช่ไหม? หรือเธอแค่กลัวที่จะแต่งงานหรือเป็นเพราะว่ายังลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมาของฟู้เจียนปอไม่ได้?ถ้าเป็นอย่างหลัง ก็ถือโอกาสตอนที่ยังไม่ได้แจกการ์ดแต่งงาน เพียงแค่จองโรงแรมไว้เท่านั้นและทุกอย่างมันยังสายเกินไปหรอกนะ!”

“เสี่ยวถาง เธอดีกับฉันที่สุดแล้ว! เรื่องแบบนี้ฉันสามารถพูดกับเธอได้แค่คนเดียวเท่านั้น!” เฉียวโยวโยวกอดหลานเสี่ยวถาง: “เสี่ยวถาง ฉันเพียงแต่รู้สึกว่า ฉันรู้สึกกลัวว่าตัวเองไม่สามารถทนต่อสิ่งยั่วยวนใจภายนอกได้”

หลานเสี่ยวถางกระพริบตา: “หือ? เธอหมายความว่าอย่างไร?โยวโยว หรือว่าในใจของเธอตกหลุมรักใครอีกคนแล้วใช่ไหม?”

เฉียวโยวโยวส่ายหัว: “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เธอหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ: “หลังจากที่เจียนปอนอกใจฉัน ฉันพึ่งรู้ตัวว่าในใจของฉันมีด้านมืดในใจอีกด้านหนึ่ง เพราะเขานอกใจ ดังนั้น ฉันจึงรู้สึกว่าฉันต้องนอกใจเหมือนกัน เพื่อเป็นการชดเชยและรักษาความเจ็บปวดแผลภายในใจของฉัน เธอรู้ไหมระหว่างทางกลับในวันนั้น ฉันได้รู้จักกับคนอังกฤษคนหนึ่ง เราเพิ่มเพื่อนกันจากนั้นเราก็คุยกันตลอดเวลา!”

หลานเสี่ยวถางตกตะลึงครู่หนึ่ง: “ถ้าเช่นนั้นเป็นกิ๊กกันเหรอ?”

“เขามักจะพูดเหมือนเป็นกิ๊กกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงจะปฏิเสธหรือบล็อกไปแล้วล่ะ แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่ทำแบบนั้น” ในขณะที่เฉียวโยวโยวพูดอยู่นั้นเธอก็มองดูหลานเสี่ยวถาง: “เสี่ยวถาง ฉันก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอกจริงไหม?”

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้พวกเธอยัง……” หลานเสี่ยวถางถาม: “เจียนปอไม่รู้เรื่องใช่ไหม?”

เฉียวโยวโยวพยักหน้า: “เขาไม่รู้เรื่อง ตั้งแต่ครั้งก่อน……ครั้งก่อนที่ฉันไปที่คฤหาสน์ของเธอ ฉันก็ไม่ได้ติดต่อกับชายชาวอังกฤษคนนั้นอีกเลย”

หลานเสี่ยวถางงงงวย: “เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์ของฉันยังไง?”

“ฉันแค่จู่ ๆก็ไม่ชอบคุยกับเขาอีก ต่อมาเมื่อเขามาหาฉัน ฉันก็ไม่ได้สนใจเขามากนัก” ในขณะที่เฉียวโยวโยวพูดอยู่นั้น ก็นึกถึงฟู่สีเกออีกครั้ง นิ้วของเธอก็กระชับขึ้น และเธอไม่สามารถบอกได้ว่าในใจนั้นมันเป็นความรู้สึกแบบไหนกัน

เธอรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้สเปคที่เธอชอบเลยสักนิด คืนนั้น เป็นเพียงเพราะเมาและอยากแก้แค้นเจียนปอเท่านั้น และวันนั้นที่คฤหาสน์ เป็นเพราะเธอดื่มเหล้า เขาจึงสมหวังดังปรารถนา

อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เธอนึกถึงประโยคนั้นของเขา โดยบอกว่าถ้าเธอแต่งงาน เรื่องระหว่างพวกเขาก็เป็นอันจบลงไปโดยปริยาย ในใจของเธอก็รู้สึกอึดอัดและสับสน

ในก้นบึ้งของหัวใจเธอรู้สึกกลัวตัวเองเล็กน้อย ทั้ง ๆที่เธอตัดสินใจที่จะแต่งงานแล้ว แต่เธอยังโลภอยากจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายอีก

……

พฤติกรรมแบบนี้ เคยถูกเธอปฏิเสธมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามในเวลานี้เธอยอมให้ตัวเองฝึกฝนจนกลายเป็นคนเช่นนั้นโดยไม่รู้ตัว

“โยวโยว ฉันคิดว่าสภาพของเธอในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะแต่งงานนะ” หลานเสี่ยวถางคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “เธอแตกต่างจากฉันในตอนนั้น ฉันแต่งงานเพราะความสิ้นหวังหมดหนทาง หัวใจตายด้านไปแล้ว แต่ตอนนี้เธอยังโอเคนะ ถ้าเธอผ่านอุปสรรคนี้ไปไม่ได้จริง ๆ แต่เธอควรเลือกที่จะห่างกันสักพัก เพื่อดูว่าเวลาสามารถช่วยรักษาทุกอย่างไปได้หรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้น เธอค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะแต่งงานหรือไม่”

“เสี่ยวถาง แต่ฉันตกลงแต่งงานกับเจียนปอแล้ว และครอบครัวของเขาก็ปฏิบัติต่อฉันเป็นอย่างดี—” เฉียวโยวโยวพูดด้วยอารมณ์แปรปรวนสับสน: “แต่ฉันกลัวมากว่าเมื่อถึงเวลานั้นฉันจะหนีจากงานแต่งนะสิ!”

“โยวโยว มิฉะนั้น เลื่อนงานแต่งงานไปก่อนดีไหม เลื่อนไปอีกสองสามเดือนเพื่อปรับสภาพจิตใจก่อน……” ในขณะที่หลานเสี่ยวถางพูดอยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีคนมาเคาะประตู

ดังนั้นทั้งสองจึงหยุดพูดและเปิดประตู

เจียนปอยืนอยู่ที่ประตูยิ้มให้ทั้งสองคน: “นี่กำลังพูดเรื่องเพื่อนรักกันอยู่เหรอ?”

หลานเสี่ยวถางยิ้มและฟู้เจียนปอเดินเข้าไปหาเฉียวโยวโยว เมื่อเห็นสีหน้าของเธอแล้วดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เขาพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า: “โยวโยว เกิดอะไรขึ้น? คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

“ไม่ได้เป็นอะไร” เฉียวโยวโยวมองไปที่ฟู้เจียนปอรู้สึกสับสนในใจมากขึ้น เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ “เจียนปอ ฉันกำลังคิดว่า การที่เราจะแต่งงานกันมันเร็วเกินไปไหม?ยังมีอีกหลายอย่างยังเตรียมไม่พร้อม เอาแบบนี้ดีไหมคะ รอฤดูร้อนในปีหน้าค่อย……”

“โยวโยว คุณไม่รักผมแล้วใช่ไหม?” สีหน้าของฟู้เจียนปอเปลี่ยนไป ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความตึงเครียด: “โยวโยว ผมรอวันนี้มานานแล้ว ผมอยากแต่งงานกับคุณ แต่ทำไมคุณถึงต้องการเลื่อนเวลาไปอีก?”

“ฉันไม่ได้……” เฉียวโยวโยวไม่รู้จะพูดอะไรอีก ทันใดนั้น ฟู้เจียนปอเดินก้าวไปข้างหน้าและกอดเธอไว้แน่น เขาซบไหล่ของเธอ: “โยวโยว อย่าทิ้งผมไปนะ สิ้นเดือนนี้เราจะแต่งงานกัน ดีไหม?”

“ฉันไม่ได้บอกว่าจะทอดทิ้งคุณไป……” เฉียวโยวโยวรู้สึกเจ็บปวดเมื่อได้ยินคำพูดที่ค่อนข้างอ่อนแอของฟู้เจียนปอ: “เอาล่ะ เราจะแต่งงานกันสิ้นเดือนนี้”

ทันทีที่เธอพูดจบ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นฟู่สีเกอยืนอยู่ตรงข้ามกำแพง เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเธอ รูม่านตาของเขาหดตัวเล็กลง และมองดูเธออย่างเงียบ ๆโดยที่ไม่พูดไม่จา