ตอนที่ 252 พระราชบุตรเขยหลิวตระหนกอย่างมาก

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 252 พระราชบุตรเขยหลิวตระหนกอย่างมาก

เรื่องงานแต่งของเยียนอวิ๋นเกอยังไม่มีบทสรุป แต่เมืองหลวงก็เดินทางมาถึงฤดูใบไม้ผลิของหย่งไท่ปีที่สิบห้าแล้ว

ลมแรงมาก ท้องฟ้ามีหยาดฝนโปรยปรายลงมา

“ปีนี้จะไม่แห้งแล้งใช่หรือไม่!”

ทุกคนต่างคิดและคาดหวังเช่นนี้

สวรรค์ต้องมีตา

หากปีนี้ยังคงแห้งแล้ง คงจะมีซากศพนอนเกลื่อนทั่วแผ่นดินอย่างแน่นอน

“ฝนรอบนี้เบาเกินไป พื้นดินยังชื้นไม่พอ หากมีแต่ฝนชนิดนี้ตกลงมา ปีนี้ยังคงต้องแห้งแล้งต่อไป อย่าลืมว่าฤดูหนาวปีที่แล้วมีหิมะตกเพียงรอบเดียว”

คำพูดนี้ทำลายอารมณ์อย่างมาก ทำให้บนใบหน้าของทุกคนเคร่งเครียดมากขึ้น

“สภาพอากาศดี แผ่นดินสงบสุด!”

“ใช่ๆ ปีนี้ย่อมต้องมีสภาพอากาศที่ดี”

ต้องพูดจาให้เป็นมงคลเสียก่อน

“ข้าไปขอพรต่อเจ้าพ่อศาลหลักเมืองที่ศาลหลักเมือง ให้ท่านช่วยคุ้มครองให้ปีนี้มีสภาพอากาศดี ทุกสิ่งราบรื่น”

“ศาลหลักเมืองไม่ได้ดูแลเรื่องนี้ ต้องไปขอท่านเซียนในอาราม”

“ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือเซียน สู้ขอให้ราชสำนักเมตตา ให้พวกเรากู้เมล็ดพันธุ์มากขึ้นดีกว่า”

“มีเหตุผล”

ปีที่แล้วภัยแล้ง คนที่บ้านแตกสาแหลกขาดมีจำนวนมาก

ครอบครัวที่อดทนรอดมาได้ เมล็ดพันธุ์แทบจะกินจนหมดแล้ว

ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ เมล็ดพันธุ์มาจากที่ใดเป็นปัญหาที่ทำให้คนปวดหัว

หากราชสำนักสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องเมล็ดพันธุ์ ราชำสักนี้ก็เป็นราชสำนักที่ดี

ทุกคนต่างคาดหวังว่าจะมีฝนตกลงมามากขึ้น

สุดท้ายฝนตกโปรยปรายอยู่สองวันก็เป็นวันแดดจ้าอีกแล้ว

น่าโมโหยิ่งนัก

พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงก็กำลังมองฟ้า

นอกจากนี้เขายังขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในสำนักหอดูดาวหลวง

สภาพอากาศปีนี้ไม่ดีนัก

พื้นดินแห้งแล้ง หากไม่มีฝนตกลงมาอย่างหนักสักสองสามรอบ พื้นดินคงรดน้ำลงไปไม่ได้

พื้นดินเช่นนี้ ไม่ว่าปลูกพืชผลชนิดใดก็จะมีผลผลิตที่ไม่ดี

อีกอย่าง หากไม่มีน้ำฝนที่มากเพียงพอ บ่อน้ำและเขื่อนเก็บน้ำก็ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ ไม่สามารถรับประกันการใช้น้ำสำหรับการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิได้ นอกจากนี้ยังไม่เพียงพอต่อการใช้น้ำของทั้งคนและสัตว์

น้ำฝนสำคัญอย่างมาก!

หลิวเป่าผิงยืนยันอีกครั้ง “ระยะครึ่งเดือนนี้ เจ้ามั่นใจว่าจะไม่มีฝนตกลงมาอีกหรือ”

“ข้ามั่นใจว่าฝนจะไม่ตก ถึงแม้ความสามารถของข้าไม่ได้เก่งกาจนัก แต่อากาศภายในสิบวันถึงครึ่งเดือน ข้าก็สามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ หลังจากครึ่งเดือนแล้วจะมีฝนตกลงมาหรือไม่ ข้าก็ไม่แน่ใจ”

ใต้เท้าอู๋แห่งสำนักหอดูดาวหลวงเดิมทีเป็นนักพรต

หลังจากสึกออกมาแล้ว เขาก็มีภรรยาและบุตร อีกทั้งยังรับราชการในสำนักหอดูดาวหลวง

ตำแหน่งไม่สูง แต่มีความสามารถ

เพียงแต่ความสามารถไม่ได้มากนัก

เพียงแค่เก่งกว่าสหายในสำนักหอดูดาวหลวงเล็กน้อย

พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงเชื่อในความสามารถของใต้เท้าอู๋ หากเขาบอกว่าภายในครึ่งเดือนนี้ไม่มีฝน ร้อยละเก้าสิบภายในครึ่งเดือนนี้ย่อมไม่มีฝน

เขาคำนวณจากเวลา หลังจากนี้หนึ่งเดือน พื้นที่แถบนครบาลต้องเริ่มการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิแล้ว

หากฝนตกลงมา ปีนี้ทุกอย่างคงราบรื่น

ทางฮ่องเต้ก็อาจจะเจอสิ่งดีเข้ามาในที่สุดหลังจากประสบเรื่องที่เลวร้ายที่สุด

หากแห้งแล้งต่อไป ราชสำนักวิกฤต ฮ่องเต้ก็ทรงวิกฤต!

เขากดเสียงต่ำพลันถาม “ใต้เท้าอู๋พยากรณ์ดวงในปีนี้ได้หรือไม่”

ใต้เท้าอู๋ถาม “ไม่รู้ว่าพระราชบุตรเขยต้องการทำนายดวงของผู้ใด หากเป็นดวงของท่านเอง รบกวนขอเวลาเกิด”

พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ต้องการทำนายดวงของตัวเอง ข้าอยากให้เจ้าทำนายดวงของเมืองหลวง”

ใต้เท้าอู๋ตกใจ “ทำนายไม่ได้ ทำนายไม่ได้! ข้าไม่มีความสามารถนั้น หากข้าสามารถทำนายดวงของเมืองหลวงได้ ข้าจะยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้อื่นได้อย่างไร พระราชบุตรเขยอย่ากลั่นแกล้งข้าเลย”

หลิวเป่าผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจนัก

ใต้เท้าอู๋เห็นที จึงรีบพูด “เช่นนี้ดีกว่า ข้าทำนายลายมือให้พระราชบุตรเขย ท่านอยากขอสิ่งใด เพียงแค่เขียนตัวอักษรหนึ่งลงมา ข้าจะทำนายให้ท่าน”

หลิวเป่าผิงอยากรู้อย่างมาก “เจ้ายังดูลายมือได้หรือ เจ้ามีความสามารถมากน้อยเพียงใดกันแน่”

“ไม่ได้ศึกษาวิชาใดมากมาย มีเพียงความสามารถเล็กน้อย มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจริงๆ อาจไม่แม่นยำ พระราชบุตรเขยอย่าได้ถือโทษ”

ใต้เท้าอู๋หัวเราะ ไม่รู้ว่าคำพูดของเจ้าจริงเท็จมากน้อยเพียงใด

หลิวเป่าผิงลังเลเล็กน้อย แต่เขาคิดว่าใต้เท้าอู๋อาจพึ่งพาในด้านอื่นไม่ได้ แต่ด้านการทำนายดวงนี้ เขาไม่เคยล้อเล่น

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ

“ได้! เจ้าลองดูลายมือให้ข้า ดูว่าปีนี้ดวงของข้าจะเป็นอย่างไร”

“เวลาหนึ่งปีอาจไม่แม่นยำ สู้ดูเพียงแค่เวลานี้จะดีกว่า”

หลิวเป่าผิงรับปากอย่างจำยอม เขาใช้นิ้วจุ่มน้ำชาเขียนตัวอักษรหนึ่งลงบนโต๊ะ

ใต้เท้าอู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย

พระราชบุตรเขยหลิวเขียนคำว่า ‘ฝน’

ใต้เท้าอู๋ลูบเครา พลันพยากรณ์พลันสังเกตการเคลื่อนไหวของพระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิง

หลังจากนั้นชั่วครู่ เขาก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ดินโคลนก่อตัวเป็นภูผา คลื่นลมก่อเกิดเป็นพายุ! เรื่องที่พระราชบุตรเขตม่งหวัง หากข้าไม่ได้ทำนายผิด คงจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว แต่หยาดฝนทำลายกำแพง แม้จะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว พระราชบุตรเขยก็ยังต้องจัดการอย่างระมัดระวัง ระวังความพยายามจะสูญเปล่า กลับกลายเป็นต้องสูญเสียชีวิต!”

“เหลวไหล!”

พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงตะหวาด

ใต้เท้าอู๋ตกใจ แต่เขาตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว “ไม่แม่นๆ ความสามารถในการทำนายลายมือของข้าน้อยมีเพียงครึ่งเดียว ข้าน้อยพูดจาเหลวไหล พระราชบุตรเขยอย่าได้ถือสา ข้าน้อยทำนายดวงชะตาแม่นยำกว่า แต่ว่าดวงชะตาไม่สามารถบอกผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย ข้าน้อยไม่บังคับท่าน”

พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงยิ้มอย่างรู้ทัน “ใต้เท้าอู๋ไม่ต้องกังวล ข้าชื่นชมในความสามารถของเจ้าเสมอมา วันนี้ทำนายลายมือไม่แม่นก็ปล่อยให้มันผ่านไป ต่อไปอย่าได้เอ่ยถึงอีก ข้าคงไม่สามารถอับอายขายหน้าได้”

“ฮ่าๆ …ทุกสิ่งเป็นไปตามความต้องการของพระราชบุตรเขย ข้าลืมคำพูดที่เคยพูดก่อนหน้านี้ไปแล้ว มาๆ ดื่มชา…”

หลังจากดื่มชาไปครึ่งถ้วย พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงก็ขอตัวลา

ใต้เท้าอู๋ส่งอีกฝ่ายไปถึงหน้าประตูใหญ่ด้วยตนเอง อีกทั้งยังมองดูอีกฝ่ายจากไป

หลังจากนั้นเขาเดินกลับห้องตำรา

อู๋ต้าหลาง บุตรชายคนโตที่ควบตำแหน่งลูกศิษย์คนโตเดินออกมาจากห้องลับ

“ท่านพ่อดูลายมือแม่นที่สุด เหตุใดจึงบอกว่าไม่แม่น อีกทั้งยังเยาะเย้ยว่าตนเองกำลังพูดจาเหลวไหล”

อู๋ต้าหลางแอบฟังบทสนทนาทั้งหมดอยู่ภายในห้องลับ

เขาไม่เข้าใจนัก ดังนั้นจึงขอคำชี้แนะ

เวลานี้ ใต้เท้าอู๋ไร้ซึ่งท่าทีหลอกลวง เขาทำหน้าจริงจัง ลักษณะท่าทางเคร่งขรึม

หากเดินออกไปในลักษณะนี้แล้วบอกว่าเขาเป็นกึ่งเซียนก็มีคนเชื่อ

เขาพูดอย่างจริงจัง “ไม่สำคัญว่าจะแม่นหรือไม่ สิ่งสำคัญคืออีกฝ่ายต้องการฟังสิ่งใด หากข้าบอกว่าข้าทำนายลายมือได้แม่นยำที่สุด เจ้าทายว่าพระราชบุตรเขยหลิวจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”

อู๋ต้าหลางกระจ่าง ทันใดนั้นสีหน้าของเขาซีดเผือด พลันพูดเสียงเบา “เกรงว่าจะล้มโต๊ะ หรืออาจจะยกดาบทำร้ายผู้คน”

“ถูกต้อง! ต่อไปไม่ว่าเจ้าได้ศึกษาวิชามากน้อยเพียงใด เมื่ออยู่ด้านนอก อย่าได้พูดจามั่นใจจนเกินไป ไม่ใช่ผู้ใดก็ชอบฟังความจริง ทั่วไปแล้วคำโกหกน่าฟังเสียยิ่งกว่า”

“ในเมื่อคำโกหกน่าฟังยิ่งกว่า เหตุใดจึงยังต้องดูลายมือ”

“ย่อมเพราะเขาต้องการความสบายใจ! ในเมื่อเขาต้องการความสบายใจ เจ้าก็ให้ความสบายใจนั้นแก่เขา ถือว่าทำบุญ”

“ข้าจดจำคำสอนของท่านพ่อ”

พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงหยุดขี่ม้า เปลี่ยนไปนั่งรถม้าแทน

หลังจากออกมาจากจวนอู๋ คิ้วของเขาก็ไม่คลี่คลายอีก ความคิดมากมายคุกรุ่นอยู่ภายในใจเป็นจำนวนมาก

กุนซือคนสนิทครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ท่านเชื่อผลการทำนายของใต้เท้าอู๋?”

หลิวเป่าผิงเงยหน้า “ซินแสคิดว่าผลการทำนายของใต้เท้าอู๋น่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด”

“ไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย”

กุนซือพูดตามตรง

หากหมอดูล้วนแม่นยำเพียงนั้น เหตุใดจึงต้องมีกุนซือ

มันคือการแย่งงานอย่างเห็นได้ชัด

สมัยนี้ การหาเจ้านายเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย!

โดยเฉพาะตำแหน่งทองคำอย่างกุนซือที่งานน้อยเงินมาก

หากหมอดูคิดจะมาแย่งงานของเขา เขาจะกำจัดอีกฝ่ายทิ้ง!

ฮึ!

ไม่ปล่อยไปอย่างเด็ดขาด

กุนซือเกิดวิกฤตทางอาชีพอย่างรุนแรงขึ้นมา เขาปฏิเสธภัยคุกคามทุกอย่างอย่างแน่วแน่

หลิวเป่าผิงไม่ส่งเสียง

เขายังคงครุ่นคิดถึงคำพูดของใต้เท้าอู๋

ถึงแม้เขาจะตำหนิว่าใต้เท้าอู๋พูดจาเหลวไหล แต่คำพูดเหล่านั้นก็ยังคงทำให้เขาใส่ใจ สั่นคลอนจิตใจของเขา

สิ่งที่ทำมาจะเสียเปล่าจริงหรือ

จะต้องสูญเสียชีวิตจริงหรือ

ไม่!

หลิวเป่าผิงจับมีดสั้นที่คาดเอวเอาไว้แน่น แผนการที่วางไว้นานหลายปีได้ดำเนินไปกว่าครึ่งแล้ว จะล้มเลิกกลางคันไม่ได้

ส่วนทางใต้เท้าอู๋คงต้องส่งคนไปจับตาดูเพื่อป้องกัน

“ยังไม่กลับจวนองค์หญิง แจ้งเซียวอี้ ข้าจะพบเขา”

เซียวอี้มาตามนัด ยังคงเป็นเรือนด้านหลังของโรงเตี๊ยมเล็กในเมือง

อาหารถูกจัดวางไว้บนโต๊ะแล้ว รอแต่แขกมานั่ง

พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงพูดตามตรง “เจ้ารู้เรื่องการถ่ายทอดพระราชโองการเท็จปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์หรือไม่ ท่านลุงของเจ้า ท่านโหวผิงอู่ สืออุนก็มีส่วนร่วมในนั้น?”

สีหน้าของเซียวอี้เรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าเขารู้เรื่องนี้มาบ้าง

“ข้ารู้!”

หลิวเป่าผิงหัวเราะเสียงเย็น “องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินรู้เรื่องนี้แล้ว เจ้าระวังเอาไว้ เขาต้องการกำจัดเจ้า เจ้าเป็นมีดที่ท่านโหวผิงอู่ สืออุนวางไว้ในเมืองหลวง เขาย่อมต้องการฆ่าเจ้า”

เซียวอี้เลิกคิ้ว “ขอบพระคุณที่บอกเรื่องนี้ ข้ารู้มานานแล้วว่าเขาต้องการฆ่าข้า สักวันหนึ่งข้าจะฆ่าเขาก่อน ส่วนเรื่องการถ่ายทอดพระราชโองการเท็จปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ ท่านลองทายดูว่าเซียวเฉิงเหวินทำสิ่งใดในคืนนั้น ตามที่ข้ารู้ กองทัพเหนือยังไม่มีการเคลื่อนไหว เขาก็ได้รับข่าวการถ่ายทอดพระราชโองการเท็จแล้ว แต่เขากลับไม่ห้ามปราม ท่านคิดว่าเขามีเจตนาอย่างไร”

“เขารู้ข่าวล่วงหน้า?”

พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าข่าวของเขาไม่ว่องไวเหมือนเซียวอี้

เซียวอี้พยักหน้าอย่างมั่นใจ “ใช่ เขาได้ข่าวมาล่วงหน้า แต่เขาไม่เคยออกหน้ามายับยั้งแม้แต่น้อย”

พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงขมวดคิ้วมุ่น “เขาต้องการยืมมือผู้อื่นฆ่าคนอย่างนั้นหรือ หรือเขาคิดจะเดินหมากเสี่ยง”

เซียวอี้หัวเราะ แต่สายตาของเขากลับเย็นชาอย่างมาก “แม่เลี้ยงของข้ากับบุตรชายของเขา เซียวสวิ้นหายตัวไปตั้งแต่คืนวันนั้น ข้าให้คนไปสืบ เวลานี้มั่นใจแล้วว่าตระกูลฉินได้ข่าวเป็นการล่วงหน้า อีกทั้งยังมีการเตรียมการไว้ในจวนท่านอ๋อง

ทันทีที่เมืองหลวงเกิดการจลจลขึ้น พวกเขาแม่ลูกก็อาศัยช่วงชุลมุนหนีออกจากจวนท่านอ๋อง เริ่มแรกทุกคนยังคิดว่าพวกเขาตายไปแล้ว ไม่คิดว่าพวกเขาจะหายสาบสูญ จึงมีเวลาเพียงพอให้พวกเขาหนีไป ข้าสืบสาวราวเรื่องผ่านตระกูลฉิน ท่านลองทายดูว่าข้าสืบไปถึงผู้ใด”

“ผู้ใด”

“องค์ชายหก เซียวเฉิงหลี่ แต่ข้าสงสัยว่ามีคนบงการให้ข้าเข้าใจผิด”

“ท่านสงสัยคนที่บงการคือองค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวิน?”

“ถูกต้อง!”

“เหตุใดเขาจึงต้องให้ตระกูลฉินช่วยแม่ลูกตระกูลฉินไป มีผลดีอย่างไรต่อเขา” หลิวเป่าผิงไม่เข้าใจ

“ย่อมเพราะต้องการจัดการข้า! บางทีฉินฮูหยินอาจไร้ประโยชน์ แต่เซียวสวิ้นกลับเป็นหมากที่ไม่เลว ช่วยเขาออกมาก่อน หาที่เลี้ยงเขาเอาไว้ ไม่แน่ว่าอาจได้ใช้ประโยชน์ในเวลาหนึ่ง”

หลิวเป่าผิงยกชาขึ้นดื่มจนหมด

เขาหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะนึกถึงคำทำนายของใต้เท้าอู๋อีกครั้ง

เขาถามเซียวอี้ “เจ้าคิดจะทำอย่างไร”

เซียวอี้พูดอย่างจริงจัง “พี่หลิว ข้าคิดว่าพวกเราควรเคลื่อนไหวบ้างแล้ว”

หลิวเป่าผิงขมวดคิ้ว “มันเป็นความคิดของเจ้า หรือว่าของท่านโหวผิงอู่ สืออุน”