ตอนที่ 251 บุตรสาวจะคิดได้เมื่อใดกัน

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 251 บุตรสาวจะคิดได้เมื่อใดกัน

เยียนอวิ๋นฉีเป็นกังวลอย่างมาก

นางกัลวลว่าสักวันหนึ่ง ข้างกายน้องสี่จะมีผู้สืบทอดคนหนึ่งจริงๆ

น่ากลุ้มใจยิ่งนัก

ก่อนจากไป นางให้คำแนะนำต่อเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา “น้องสี่โตแล้ว หากท่านแม่มีเวลาว่าง พานางออกไปพบปะทำความรู้จักนายน้อยตระกูลใหญ่ที่อายุเหมาะสมเสียบ้างเถิด”

สาเหตุที่น้องสี่มีความคิดที่แปลกประหลาดมากมายเพียงนั้น บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีนายน้อยตระกูลใหญ่ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นให้นางเลือก

หากมีตัวเลือกมาก ไม่แน่ว่านางอาจได้พบคนที่ดีที่สุด ความคิดที่สะเปะสะปะก็ย่อมจะหมดไป

นางยังพูดอีก “ท่านแม่อย่าเอาแต่เจาะจงเซิ่นซูเหวิน ต้องมีตัวเลือกให้น้องสี่มากขึ้น น้องสี่มีความคิดของตนเองอย่างมาก นางรู้ว่าควรเลือกอย่างไร”

เมื่อเซียวฮูหยินได้ยินจึงรีบถาม “อวิ๋นเกอพูดเรื่องใดกับเจ้า นางไม่พอใจเซิ่นซูเหวินหรือ”

เยียนอวิ๋นฉีส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ใช่ เพียงแค่น้องสี่บอกว่าไม่อยากออกเรือน อาจเป็นเพราะข้างกายนางมีคนให้เลือกน้อยเกินไป ให้น้องสี่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาให้มากขึ้น รู้จักนายน้อยตระกูลใหญ่ให้มากขึ้น ไม่แน่น้องสี่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีก่อนหน้านี้”

เซียวฮูหยินพยักหน้าระรัว “เจ้าพูดได้มีเหตุผล เจ้าก็รู้นิสัยของนาง นางไม่ชอบออกไปปฏิสัมพันธ์นอกจวน ข้ากลัวนางทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง ด้วยเหตุนี้จำนวนครั้งในการออกงานของนางจึงน้อยลงเป็นจำนวนมาก แต่ว่าเวลานั้นอายุของนางยังน้อย เอาแต่ใจก็สามารถเข้าใจได้ เวลานี้นางอายุมากแล้ว จะให้นางเป็นเด็กหญิงดื้อซนต่อไปอีกไม่ได้ ข้าจะให้แม่นมอบรมสั่งสอนมารยาทนาง”

เยียนอวิ๋นฉี “…”

ให้แม่นมอบรมกฎระเบียบให้น้องสี่ เกรงว่าน้องสี่จะหงุดหงิดเอาเสียก่อน

แต่ว่านางก็แอบอยากจะซ้ำเติมเล็กน้อย

อยากจะเห็นน้องสี่ถูกแม่นมสั่งสอนเสียจริง นางย่อมต้องกัดฟัน กลอกตาบ่อยครั้งอย่างแน่นอน

ฮ่าๆๆ …

เยียนอวิ๋นฉีไม่สงสารแม้แต่น้อย

หากแต่ยังเห็นด้วยอย่างมาก

“ควรให้น้องสี่ทบทวนมารยาทใหม่อีกครั้ง ข้าดูแล้ว นางลืมมารยาทที่เคยร่ำเรียนไปจนเกือบหมดแล้ว”

แม่ลูกทั้งสองมีความเห็นที่ตรงกัน

หากเยียนอวิ๋นเกอรู้เรื่องนี้ เกรงว่าคงต้องร้องไห้…

เยียนอวิ๋นฉีกลับมาถึงจวนองค์ชายสอง

นางลงรถที่ประตูสอง จากนั้นถามหญิงรับใช้ “องค์ชายทรงทำสิ่งใดอยู่”

“รายงานฮูหยิน องค์ชายสองทรงกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องตำรา”

เยียนอวิ๋นฉีมุ่งหน้าไปยังห้องตำราอย่างไม่ลังเล

เรื่องเมื่อตอนกลางวัน นางรู้ว่าไม่ควรพูดถึงอีก

แต่นางก็ต้องการคำอธิบายที่ชัดเจน

ข้ออ้างกลับจวนดื่มยามันไม่สมเหตุสมผล

ในฐานะคนข้างหมอน เยียนอวิ๋นฉีคิดว่าจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน

นางไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก

มาถึงประตูห้องตำรา นางฟังเสียงด้านในอยู่สักพัก

ภายในห้องตำราเงียบสงบอย่างมาก ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว

นางกระแอมไอเสียงเบา ก่อนจะให้คนเข้าไปทูลรายงาน

ไม่นานนัก เฟ่ยกงกงก็เดินออกมา “ทักทายฮูหยิน! องค์ชายเพิ่งทรงตื่นขึ้นมา เชิญฮูหยินเข้าไปด้านใน”

เยียนอวิ๋นฉีพยักหน้า พลางถาม “องค์ชายทรงพักผ่อนถึงเวลานี้เพิ่งตื่นขึ้นมา ตอนกลางคืนคงนอนไม่หลับแล้ว”

“ฮูหยินไม่รู้ หลายวันนี้องค์ชายทรงพักผ่อนไม่พอ เมื่อฮูหยินพูดคุยกับองค์ชาย อย่างน้อยก็ใจเย็นเสียบ้าง”

เยียนอวิ๋นฉีกวาดตามองเฟ่ยกงกงอย่างไร้เสียง จากนั้นเปิดม่านเดินเข้าไปในห้องตำรา

ภายในห้องตำราจุดเทียน เปลวไฟพลิ้วไหว

เนื่องจากพื้นอุ่น ภายในห้องจึงอบอุ่นอย่างมาก

เยียนอวิ๋นฉีถอดชุดคลุมลง เดินไปนั่งลงที่โต๊ะตำรา

“ได้ยินเฟ่ยกงกงบอกว่า องค์ชายทรงเพิ่งตื่นหรือเพคะ”

เซียวเฉิงเหวินได้ยินเสียง จึงหยิบตำราที่ปิดหน้าออก

น้อยครั้งที่จะเห็นเขาเอาตำราปิดไว้บนหน้า เยียนอวิ๋นฉีรู้สึกแปลกใหม่ไม่น้อย

“อืม” เขาส่งเสียงตอบรับในลำคอ “เพิ่งกลับมาหรือ”

“เพิ่งลงจากรถม้าก็มาหาท่าน ตอนกลางวันมีเรื่องราวมากมายที่ไม่ทันได้ถาม ร่างกายของท่านทรงดีขึ้นแล้วหรือไม่”

“ท่านหญิงไม่ได้ทำให้เจ้าลำบากใจใช่หรือไม่”

“ท่านแม่ย่อมไม่ทำให้หม่อมฉันลำบากใจ”

เซียวเฉิงเหวินยิ้ม “เจ้าอยากถามสิ่งใดก็ถามเถิด”

เยียนอวิ๋นฉีทำหน้าลังเล สักพักนางจึงพูดขึ้น “ในเมื่อองค์ชายทรงรู้เจตนาของหม่อมฉัน องค์ชายทรงบอกหม่อมฉันได้หรือไม่ เหตุใดท่านไม่ทรงยอมอยู่ร่วมงานเลี้ยงในตอนกลางวัน ถึงแม้ท่านแม่จะไม่กล่าวโทษ หากแต่ยังหันมาปลอบหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันรู้ว่าวิธีการของท่านไม่มีผู้ใดชื่นชอบ ท่านทรงเป็นคนรอบคอบเสมอมา เหตุใดวันนี้จึง…หรือว่าคนในตระกูลของหม่อมฉัน ไม่คุ้มค่าแก่การที่ท่านจะทรงเสียสละเวลารับมือด้วยหรือ”

เซียวเฉิงเหวินวางตำราลง มองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง

“หากข้าบอกเจ้าว่าสาเหตุที่ข้าไม่ยอมอยู่ร่วมงานเลี้ยงเป็นเพราะการเจรจาที่ไม่ลงตัวกับน้องสี่ของเจ้า ทำให้ข้าหงุดหงิด เจ้าจะคิดอย่างไร”

“เจรจาเรื่องใด”

เยียนอวิ๋นฉีคงความสงสัยเอาไว้

นางเชื่อใจน้องสี่ เยียนอวิ๋นเกอ

ในเมื่ออวิ๋นเกอไม่ได้เอ่ยถึง นางย่อมไม่มีทางสงสัยน้องสาวของตนเองเพราะคำพูดขององค์ชายสอง

เซียวเฉิงเหวินหัวเราะเยาะตนเอง “ข้าอยากทำการค้ากับนาง แต่เกี่ยวข้องกับปัญหาด้านสัจจะ สุดท้ายนางก็ปฏิเสธข้าอย่างไม่ลังเล อีกทั้งยังแบ่งแยกกับข้าอย่างชัดเจน”

เยียนอวิ๋นฉีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หม่อมฉันไม่รู้ว่าองค์ชายทรงเจรจาเรื่องใดกับน้องสี่ นางไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว แต่ในเมื่อเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านสัจจะ น้องสี่ปฏิเสธท่าน ท่านก็ไม่มีเหตุผลต้องโทษนาง นางเพียงแค่ทำในสิ่งที่นางควรทำเท่านั้น”

“เจ้าพูดถูก ข้าไม่โทษนาง เพียงแต่ข้าอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นจึงไม่สามารถอยู่ร่วมงานเลี้ยง ขอฮูหยินโปรดอภัย”

คำขอโทษของเซียวเฉิงเหวินไร้ซึ่งอารมณ์ ดูไร้ความจริงใจอย่างมาก

เยียนอวิ๋นฉีไม่พอใจเล็กน้อย แต่ไม่นานนัก นางก็ยิ้มอย่างเข้าใจ

“น้องสี่กับองค์ชายต่างเป็นผู้ที่มีความคิดของตนเอง พวกท่านทั้งสองต่างมีจุดยืนของตนเอง ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่เคยแทรกแซงเรื่องการค้าของพวกท่าน อีกทั้งไม่ลำเอียงผู้ใด เรื่องในคราวนี้ก็ให้มันผ่านไป หม่อมฉันจะไม่เอ่ยถึงมันอีก องค์ชายก็ทรงรักษาพระวรกาย คราวหน้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องการค้าตอนไปเป็นแขกในจวน ข้ออ้างเดียวกันสามารถใช้ได้เพียงครั้งสองครั้ง ไม่สามารถใช้ได้เป็นครั้งที่สามครั้งที่สี่”

เซียวเฉิงเหวินเลิกคิ้วยิ้ม “ขอบใจฮูหยินที่ตักเตือน เจ้าวางใจ คราวหน้าข้ากลับจวนกับเจ้า ย่อมจะอยู่จนถึงฟ้ามืด ไม่เพียงไปกับเจ้า ยังจะกลับจวนกับเจ้า”

เยียนอวิ๋นฉีเม้มปากยิ้ม “หม่อมฉันเชื่อองค์ชาย! วันอื่นหม่อมฉันจะเป็นเจ้ามือเชิญน้องสี่มากินเลี้ยงในจวน”

หลังจากพูดคุยกับบุตรสาวคนที่สองแล้ว เซียวฮูหยินก็มีความคิดใหม่

เดือนหนึ่งมีงานเลี้ยงจำนวนมาก เดิมทีนางคิดจะปฏิเสธเป็นส่วนใหญ่

เวลานี้นางเปลี่ยนใจแล้ว

เพื่อบุตรสาวคนเล็กเยียนอวิ๋นเกอ นางไม่เพียงต้องออกงานเลี้ยง อีกทั้งยังต้องออกให้มาก

เริ่มตั้งแต่วันที่สาม เยียนอวิ๋นเกอถูกนางลากออกจากจวนตั้งแต่เช้า กลับจวนมาตอนค่ำ กระตือรือร้นในการเข้าร่วมงานสังสรรค์ของสังคมชนชั้นสูงในเมืองหลวง

อีกทั้งยังออกคำสั่งให้เยียนอวิ๋นเกอสวมใส่กระโปรง

โตเป็นสาวแล้ว นางไม่อาจสวมชุดยิงธนูตลอดทั้งวันราวกับชายหนุ่มได้อีก

เยียนอวิ๋นเกอคัดค้าน!

เซียวฮูหยิน “คัดค้านไร้ผล!”

เพื่อคู่ครองของบุตรสาว นางแสดงท่าทีของผู้เป็นมารดา ไม่อนุญาตให้มีการปฏิเสธ

“กรี๊ด…”

เยียนอวิ๋นเกอกรีดร้อง นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย

เข้าร่วมงานเลี้ยง นางอดทน

กระตือรือร้นในการสานสัมพันธ์ นางก็อดทน

สวมชุดกระโปรงเหมือนสตรีในตระกูลชั้นสูง นางทนไม่ได้

ลำบากใจนางเหลือเกิน

เซียวฮูหยินบีบแก้มของนางเบาๆ “คุณหนูที่มีรูปลักษณ์ดีเช่นนี้ จะเอาแต่แต่งตัวเหมือนผู้ชายทุกวันได้อย่างไรกัน เสียดายที่ข้าคลอดเจ้าออกมาได้งดงามเช่นนี้”

เยียนอวิ๋นเกอ “…”

อืมๆๆ !

นางพยักหน้าระรัว

ท่านแม่พูดถูก

เพราะท่านแม่ให้กำเนิดนางได้งดงามเกินไป

ล้วนเป็นความดีความชอบของท่านแม่

นางเป็นแค่ผู้ที่ไม่รู้จักรักษาความงามของตนเอง เหยียบย่ำมันตามใจ

เพียงแต่มันไม่เกี่ยวกับความจำเป็นในการสวมกระโปรง

คำพูดนี้มีเหตุผลเหลือเกิน!

แต่…

“ไม่มีแต่!”

เซียวฮูหยินพูดขัดนาง มารดาที่เด็ดเดี่ยวไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

“ข้าพูดสิ่งใด เจ้าก็ทำสิ่งนั้น แต่ก่อนตามใจเจ้าเกินไป ทำให้นิสัยของเจ้าเป็นเช่นนี้ วันนี้ข้าต้องควบคุมเจ้าให้ดีเสียบ้าง”

นางทุ่มเทแรงใจอย่างมาก

เยียนอวิ๋นเกอแอบพร่ำบ่น “ก็เพียงแค่รีบร้อนที่จะให้ข้าออกเรือน”

เซียวฮูหยินถลึงตา “ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องในใจของข้า เจ้าไม่รู้หรือว่าต้องพยายามหน่อย เจ้าไม่ชอบเซิ่นซูเหวิน ข้าก็จะหาผู้อื่นที่เหมาะสมแทนเขา แต่เจ้ากลับไม่ยอมรับความหวังดีของข้า”

เยียนอวิ๋นเกอน้อยใจ “ข้าไม่ได้บอกว่ารังเกียจพี่เซิ่น”

เซียวฮูหยินทำหน้าดีใจ พลางถาม “เจ้ายอมแต่งงานกับเขาหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้าระรัว

ล้อเล่นหรือ!

พี่ก็คือพี่ จะเป็นสามีภรรยาได้อย่างไร

ถึงแม้ความสัมพันธ์ทางสายเลือดจะห่างไกล แต่ก็ต้องระวังเอาไว้ หากเด็กที่ให้กำเนิดออกมามีปัญหา จะไปร้องไห้โทษผู้ใดได้

ลูกพี่ลูกน้องตระกูลอื่นแต่งงาน เด็กที่เกิดออกมาไม่มีปัญหาเป็นเพราะโชคดี

จากสถิติแล้ว เด็กที่เกิดออกมามีความเป็นไปได้ที่จะมีปัญหาอย่างมาก ชะล่าใจไม่ได้

เซียวฮูหยินผิดหวังยิ่งนัก นางพูดเสียงเบา “ซูเหวินเป็นเด็กดี ผู้ใดแต่งงานกับเขา ย่อมจะมีชีวิตที่ดี”

เยียนอวิ๋นเกอโต้แย้งเสียงเบา “หญิงสาวที่อยากเป็นภรรยาและมารดาที่ดี ดูแลสามีและบุตรหลังจากแต่งงานเหมาะสมกับพี่เซิ่นอย่างมาก ย่อมสามารถมีชีวิตที่ดีได้ แต่ข้าทั้งไม่ใช่หญิงสาวที่อยากเป็นภรรยาและมารดาที่ดี ทั้งไม่อยากดูแลสามีและบุตรหลังจากแต่งงาน ข้าไม่เหมาะสมกับเขา”

“เจ้าอยากทำอันใด” เซียวฮูหยินขุ่นเคือง

เยียนอวิ๋นเกออยากจะบอกว่า มีชีวิตที่อิสระ ดื่มด่ำกับชีวิต

เพียงแต่หากนางกล้าพูดออกมา เกรงว่าจะถูกโบย

ดังนั้นนางจึงพูดขึ้น “ข้าอยากอยู่ข้างกายท่านแม่ทั้งชีวิต!”

ปากของนางหวานมาก นางเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเกลี้ยกล่อมคน

เซียวฮูหยินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางยื่นนิ้วออกไปจิ้มหน้าผากของเยียนอวิ๋นเกอ “ไม่ต้องมาพูดจาอ่อนหวานใส่ข้า เจ้าเพียงแค่ดื้อรั้น อีกทั้งยังไม่พบกับคนที่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่รู้ประสีประสา จึงไม่อยากออกเรือน หากวันใดเจ้ารู้ประสีประสาแล้ว เจ้าคงจะรีบร้อนออกเรือนมากกว่าข้าเสียอีก”

เป็นไปไม่ได้!

เยียนอวิ๋นเกอปฏิเสธ

นางจะเป็นจะตายเพื่อชายหนุ่มคนหนึ่ง แม้แต่ฝันอยู่ก็ยังอยากออกเรือน ล้อเล่นหรือ

นางไม่ใช่คนแบบนั้น

ถึงแม้ภายหน้านางอาจจะชอบบุรุษผู้หนึ่ง แต่อย่างมากก็แค่ อืม บังคับอีกฝ่ายให้มาสู่ขอ เตรียมตัวสำหรับการแต่งงาน

เซียวฮูหยินมองนางด้วยความกลุ้มใจ!

เด็กโง่ เมื่อใดจะคิดได้กัน