ตอนที่ 250 ผู้สืบทอดของอวิ๋นเกอ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 250 ผู้สืบทอดของอวิ๋นเกอ

เยียนอวิ๋นฉีรีบเดินทางมาถึงห้องโถง

“เหตุใดจึงจะเสด็จกลับแล้ว”

นางมององค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินอย่างไม่เข้าใจ อีกทั้งยังปนไปด้วยความโกรธเล็กน้อย

ตระกูลของนางทำให้เขารังเกียจมากเลยหรือ

ทั้งที่มาแล้ว สุดท้ายกลับจากไปโดยไม่อยู่ร่วมงานเลี้ยง

มันคือการเสียมารยาท!

ยิ่งเป็นการดูถูก!

ในเมื่อมาแล้ว เห็นแก่หน้าของนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ควรอยู่ต่อ

เซียวเฉิงเหวินมองนางด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งยื่นมือไปให้นาง

เยียนอวิ๋นฉีผงะไป ก่อนจะยื่นมือของตนเองออกมา

เซียวเฉิงเหวินจับมือของนางเอาไว้ ทั้งอบอุ่นทั้งมั่นคง

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่อยู่ร่วมงานเลี้ยง วันนี้มาก็เพียงเพื่อปรากฏตัว ไม่อยู่ร่วมงานเลี้ยงด้วยแล้ว”

เยียนอวิ๋นฉีขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

เซียวเฉิงเหวินพูดต่อ “ร่างกายข้าไม่สบาย อาจเป็นภูมิแพ้ ต้องรีบกลับไปดื่มยา”

เมื่อเยียนอวิ๋นฉีได้ยินจึงกังวลขึ้นมา “ร้ายแรงหรือไม่ ให้ข้ากลับไปพร้อมพระองค์หรือไม่”

นางรู้ว่าเซียวเฉิงเหวินมีอาการแพ้ในฤดูใบไม้ผลิ

ถึงแม้จะบอกว่าแพ้เกสรดอกไม้ แต่ความจริงแล้วเขาไม่สามารถปรับตัวกับสภาพอากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวของฤดูใบไม้ผลิได้

ฤดูใบไม้ผลิในแต่ละปีเป็นวันที่เขายากลำบากที่สุด

เซียวเฉิงเหวินออกแรงจับมือของนาง “เจ้าอยู่ต่อ ข้ากลับไปคนเดียวก็พอ หากพวกเราสองคนไป แม่ยายจะโกรธ”

เยียนอวิ๋นฉีลังเลเล็กน้อย อารมณ์ของนางผันผวน

เซียวเฉิงเหวินยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องห่วง กลับจวนไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าใช้ช่วงเวลาที่ดีนี้อย่างมีความสุข สุขภาพของข้าไม่สำคัญนัก เพียงแค่ดื่มยาพักผ่อนสักครึ่งวันก็หายแล้ว”

“ข้าส่งพระองค์ออกไป”

“อากาศหนาวเช่นนี้เจ้าไม่ต้องส่งหรอก ข้าไม่ได้หาทางไม่เจอ”

ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่เยียนอวิ๋นฉียังคงยืนกรานที่จะส่งเขาขึ้นรถม้า เฝ้ามองเขาออกจากจวนท่านหญิงไป

หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น นางก็อารมณ์ไม่ดีนัก

แต่นางก็ตั้งสติกลับมาเมื่อกลับมาที่เรือนด้านหลัง

ไม่คิดว่าน้องสี่จะเดินสวนออกมา

เมื่อเยียนอวิ๋นเกอไม่เห็นเซียวเฉิงเหวิน นางจึงรู้ว่าพี่สองก็ไม่สามารถรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้เช่นเดียวกัน

สมกับเป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเพื่อผู้ใด

นางเป็นห่วงพี่สอง “พี่สองเป็นอันใดหรือไม่ องค์ชายสองทรงไม่ยอมอยู่ต่อก็ไม่เป็นอันใด พวกเราสองพี่สองสามารถใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้อย่างเพียงพอ”

นางพยายามยิ้ม ต้องการให้รอยยิ้มของตนเองมีอิทธิพลต่อพี่สอง

เยียนอวิ๋นฉีฝืนยิ้มออกมา รับน้ำใจของนางเอาไว้ “เป็นความผิดของข้าที่ทำให้น้องสี่ต้องลำบากใจ องค์ชายสองเสด็จกลับแล้ว ข้าก็รั้งพระองค์เอาไว้ไม่ได้ ร่างกายของเขาไม่ดีนัก ต้องรีบกลับจวนไปดื่มยาก็เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้”

“อืม ข้ากับท่านแม่เข้าใจ องค์ชายสองสุขภาพไม่ดี พระองค์ทรงยอมมาดื่มชาสองแก้วก็พอแล้ว”

ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่เยียนอวิ๋นเกอก็ยังบ่นเซียวเฉิงเหวินอย่างหนักอยู่ในใจ

แกล้งทำเป็นคนอ่อนแอ

จากการพูดคุยกันวันนี้ นางเห็นสีหน้าของเขาดูดีไม่น้อย ไม่มีอาการป่วยใดๆ ทั้งสิ้น

เวลาพูดก็มีกำลังเต็มเปี่ยม แม้จะไม่เต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็มีร้อยละเจ็ดสิบ

อย่างมากก็แค่ร่างกายอ่อนแอเล็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังข่มขู่นางอีกด้วย!

แน่นอนว่าเรื่องข่มขู่ เยียนอวิ๋นเกอไม่มีทางพูดออกมา

นางไปพบเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาร่วมกับพี่สอง

“ข้ารู้เรื่องแล้ว เจ้าไม่ต้องโทษตัวเอง”

เซียวฮูหยินพูดปลอบบุตรสาวคนที่สองขึ้นมาก่อน

เยียนอวิ๋นฉีถอนหายใจ นางโทษตัวเองเล็กน้อย “ขอบพระคุณท่านแม่ที่ไม่ใส่ใจกับความหยาบคายของเขา พูดตามตรง หลายครั้งข้าก็นึกไม่ออกว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ ไม่มีเรื่องใดแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเขารับฟังผู้อื่นน้อยมาก เขามีความคิดของตนเองอย่างมัก เรื่องที่ตัดสินใจแล้ว ถึงแม้จะเป็นข้าก็ยากที่จะทำให้เขาเปลี่ยนใจ”

เซียวฮูหยินโบกมือให้นางนั่งลงเพื่อพูดคุย

เยียนอวิ๋นเกอนำชาสมุนไพรเข้ามา

“พี่สองไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม พวกเราต่างรู้นิสัยขององค์ชายสองดี เขาไม่ยอมอยู่ร่วมงานเลี้ยงก็ไม่เป็นอันใด”

“อวิ๋นเกอพูดถูก อวิ๋นฉีเจ้าอย่าคิดมาก ไม่มีผู้ใดโทษเจ้า อีกทั้งไม่มีผู้ใดโทษองค์ชายสอง วันนี้เจ้าอยู่กินในงานเลี้ยงอย่างสบายใจ กลางคืนกลับจวนองค์ชาย เจ้าก็อย่าอาละวาดกับเขา เจ้าก็บอกว่าเขาเป็นคนที่ยึดมั่นในความคิดของตนเอง หากเจ้าอาละวาดกับเขา เขาย่อมจะห่างเหินกับเจ้าอย่างแน่นอน”

“ขอบใจน้องสี่! ขอบพระคุณท่านแม่ที่เตือนข้า”

เยียนอวิ๋นฉีอารมณ์ดีขึ้นมาก บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น

“กลับจวนสบายใจยิ่งนัก” นางพูด คนในตระกูลเป็นผู้สนับสนุนของนางเสมอ

ตราบใดที่นางยังได้รับการสนับสนุนจากท่านแม่และน้องสาว นางก็ไม่หวาดกลัวสิ่งใด

ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นก็สามารถก้าวผ่านไปได้

ในห้องโถงมีเสียงหัวเราะฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง

วันนี้จะเป็นวันแห่งความสุข

หากพี่สองไม่พูดถึงการแต่งงานของนาง เยียนอวิ๋นเกอก็คงรู้สึกว่าวันนี้คงเป็นวันที่สมบูรณ์แบบ

หลังจากกินมื้อเที่ยงแล้ว พี่น้องสองคนเดินย่อยอยู่ในสวนดอกไม้ หลังจากนั้นกลับไปพักผ่อนในห้อง

พี่น้องสองคนเบียดอยู่บนเตียงเดียวกันเหมือนตอนเด็ก สนิทสนมกันอย่างมาก

เยียนอวิ๋นเกอกอดเอวของพี่สอง เยียนอวิ๋นฉี “ตัวของพี่สองช่างอบอุ่นเสียจริง”

“เจ้าก็อบอุ่น!” เยียนอวิ๋นฉีจักจี้นาง ทำให้นางส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา

หลังจากพี่น้องสองคนเล่นกัน พวกนางก็ต่างหอบหายใจ

เยียนอวิ๋นฉีเอียงหน้ามองนาง “น้องสี่ เจ้ากำลังจะถึงวัยปักปิ่นแล้ว ท่านแม่กำลังจัดการเรื่องงานแต่งของเจ้า ท่านพึงพอใจเซิ่นซูเหวินอย่างมาก เจ้าคิดอย่างไร”

“อ้า” เยียนอวิ๋นเกอร้องออกมาด้วยความตกใจ “ท่านแม่ยังไม่ยอมถอดใจอีกหรือ! ท่านจะจับคู่ให้ข้ากับพี่เซิ่นจริงหรือ ถึงแม้ข้าจะไม่เกลียดพี่เซิ่น แต่ข้าไม่ได้มีความรักใคร่ต่อเขา”

“สุดท้ายแล้ว เจ้าก็แค่ไม่อยากออกเรือน!” เยียนอวิ๋นฉีเปิดโปงความจริง

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะดังลั่น “ไม่มีผู้ใดรู้จักข้าดีกว่าพี่สองอีกแล้ว! พี่สอง ท่านช่วยพูดกับท่านแม่ให้ข้าหน่อย อย่าให้ท่านจัดงานแต่งงานให้ข้าเลย”

เยียนวิ๋นฉีเกี่ยวนิ้วของนาง “หากข้าบอกว่าหา เจ้าต้องออกเรือนกับใครสักคนจริง เจ้ายอมออกเรือนกับเซิ่นซูเหวินหรือไม่”

เยียนวิ๋นเกออดไม่ได้ที่จะไตร่ตรองอย่างจริงจัง จากนั้นนางก็พูดขึ้นเสียงเบา “พี่เซิ่นเป็นคนดีไม่น้อย มีความรู้มาก พูดสิ่งใดมีหลักเหตุผล อีกทั้งเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ละโมบในทรัพย์สิน อีกทั้งยังไม่เกรงกลัวผู้มีอำนาจ”

“ฟังจากที่เจ้าพูด เจ้ายอมหรือ” เยียนอวิ๋นฉีข่มความตกตะลึงภายในใจ ถามออกมาด้วยน้ำเสียงสบาย

เยียนวิ๋นเกอกลับส่ายหัวช้าๆ “เขาเป็นคนดีมาก แต่ในโลกนี้มีคนแบบเขาอีกมากมาย ข้าคงไม่อาจอยากออกเรือนกับพวกเขาทั้งหมด ข้าเพียงแค่รู้สึกว่ามันเหมาะสมที่จะเป็นญาติกับเขามากกว่า เป็นสามีภรรยาคงเป็นไปไม่ได้”

เยียนอวิ๋นฉีตอบรับ “พูดความคิดของเจ้าได้หรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิดเล็กน้อย “พี่เซิ่นเป็นบัณฑิตตามแบบแผน เป็นคนที่ตระกูลบัณฑิตเก่าแก่ร้อยปีอบรมสั่งสอนออกมา ข้าสามารถพูดคุยกับเขาได้ ความจริงแล้วก็เพราะข้าจงใจหลีกเลี่ยงประเด็นบางอย่าง ข้ารู้สึกได้ว่าความคิดของข้ากับเขาแตกต่างกันอย่างมากในบางเรื่อง”

“ความคิดด้านใด บอกข้าได้หรือไม่”

เยียนวิ๋นฉีฟังอย่างออกรสออกชาติ ราวกับกำลังฟังเรื่องซุบซิบ

เยียนวิ๋นเกอเม้มริมฝีปากยิ้ม “พี่สองได้รับภารกิจให้มาสืบความคิดของข้าใช่หรือไม่ ท่านแม่พูดกับท่านอย่างไร”

“ท่านแม่อยากจับคู่ให้เจ้ากับเซิ่นซูเหวินอย่างมาก แต่ข้ารู้ความคิดของเจ้าอยู่บ้าง ข้าให้ท่านแม่อย่าได้ใจร้อน ลองเจรจากับท่านลุงตระกูลเซิ่นก่อน เหมือนที่เจ้าพูด ความคิดของคนตระกูลเซิ่นค่อนข้างโบราณ นิสัยของเจ้าก้าวกระโดด ท่านลุงตระกูลเซิ่นอาจไม่อยากปรองดองกับตระกูลเยียนก็เป็นได้”

“ขอบพระคุณพี่สอง!”

เยียนอวิ๋นเกอซาบซึ้งอย่างมาก นางกอดพี่สอง เยียนอวิ๋นฉีเอาไว้ พร้อมทั้งหอมแก้มนาง

เยียนอวิ๋นฉี “…”

น้องสี่ช่างกระตือรือร้นเสียจริง!

นางกับองค์ชายสองยังไม่เคยใกล้ชิดกันเพียงนี้มาก่อน

แก้มของเยียนอวิ๋นฉีแดงระเรื่อ “อย่าหอม! เจ้าดู เพิ่งบอกว่านิสัยของเจ้าก้าวกระโดด เหมือนที่พูดเสียจริง”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะร่า “มันเรียกว่านิสัยแก้ยาก”

เยียนอวิ๋นฉียื่นมือออกไปลูบจมูกของนางด้วยความเอ็นดู

“ไม่อยากแต่งงานกับเซิ่นซูเหวินจริงหรือ ความคิดแตกต่างจากเขาอย่างมาก?”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “ไม่เคยคิดที่จะออกเรือน! เรื่องบางเรื่อง อาทิส่วยที่นา ราชสำนัก อำนาจราชวงศ์ แผ่นดิน ผู้ประสบภัย…ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องสำคัญที่มีความแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ข้าจึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้กับเขา เพียงแค่พูดคุยเรื่องสิ่งที่ได้จากการอ่านตำราเล่มใด หรือพูดถึงเรื่องการเพาะปลูก…”

เยียนอวิ๋นฉีได้ยินจึงหัวเราะร่า “เซิ่นซูเหวินยังคิดว่าสามารถคุยกับเจ้าได้ แต่เขาหารู้ไม่ว่าเจ้ามองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรถโปร่งหมดแล้ว น้องสี่ เจ้าเป็นคนที่คุยเก่งที่สุด เพียงแค่เจ้ายินดี เจ้าก็ทำให้ทุกคนรู้สึกดีได้”

เยียนอวิ๋นเกอแบมือ “แต่ข้าไม่ยินดี! การทำให้ทุกคนมีความสุขเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยอย่างมาก บางครั้ง ข้าต้องการตามใจตัวเองอีกหน่อย หยิ่งทะนงตนอีกหน่อย ให้แมลงวันรอบด้านห่างไกลจากข้าไปเอง”

“ดังนั้นคนด้านนอกจึงต่างพูดว่าเจ้าทำสิ่งใดตามใจ ไร้ซึ่งกฎระเบียบ น้องสี่ เจ้าไม่กลัวเดือดร้อนเพราะชื่อเสียงหรือ ชื่อเสียงของหญิงสาวสำคัญอย่างมาก”

เยียนอวิ๋นฉีกังวลขึ้นมาอีกครั้ง

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มพลันถามกลับ “พี่สองเห็นว่าข้าเหนื่อยหรือไม่ ข้ามีทักษะร้อยแปดอย่าง มีแต่การออกเรือนที่ไม่ใช่ทางออกของข้า แน่นอน หากข้าได้พบกับชายหนุ่มที่เหมาะสม ไม่แน่ว่าข้าอาจจะเปลี่ยนใจ”

“คนอยู่บนโลกย่อมต้องมีเรื่องลำบาก คนสองคนสร้างครอบครัวขึ้นมา มีบุตรเต็มบ้านก็เป็นวิธีการใช้ชีวิตที่น่าสนุกอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ เจ้าสร่างกิจการใหญ่ ย่อมต้องมีคนสืบทอด มิฉะนั้นก็จะถูกท่านพ่อยึดกลับไป กลายเป็นของเฉินฮูหยินและเยียนอวิ๋นฉวน”

เยียนวิ๋นเกอหอมแก้มของเยียนวิ๋นฉีอีกครั้ง

นางดีใจอย่างมาก “ขอบพระคุณพี่สองที่เป็นกังวล ท่านพูดถูก กิจการที่ข้าสร้างขึ้นจะมอบให้ผู้อื่นอย่างง่ายดายไม่ได้ ภายหน้าข้าต้องมีผู้สืบทอดสักคน”

เอ๊ะ!

คิดอยากจะออกเรือนแล้วหรือ

เยียนอวิ๋นฉีรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างมากขึ้นในทันใด

ไม่คิดว่าตนเองจะมีความสามรถในการโน้มน่าวน้องสี่ได้

แต่ว่าคำพูดค่อมาของอีกฝ่ายทำให้นางรู้ว่าตนเองคิดมาเกินไป

เยียนอวิ๋นเกอกระซิบบอกนาง “ข้าต้องการผู้สืบทอด ไม่จำเป็นต้องออกเรือน คำพูดนี้ข้าจะพูดกับพี่สองเพียงคนเดียว ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องที่ผิด พี่สองอย่าได้เปิดเผยต่อท่านแม่ หากท่านแม่รู้คงต้องโบยข้าอย่างแน่นอน”

เยียนอวิ๋นฉีทำหน้าประหลาดใจ นางถามเสียงเบา “เจ้าไม่ออกเรือน เจ้าจะมีผู้สืบทอดได้อย่างไร”

เยียนอวิ๋นเกอพูดเสียงเบา “มีวิธีมากมาย! แน่นอน ข้าเพียงแค่คิด แต่อาจจะไม่ทำ ท่านก็รู้ว่าความคิดของข้าไม่แน่นอน ไร้ขีดจำกัน ไร้ขอบเขต วันนี้ข้ามีความคิดเช่นนี้ ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้ข้าอาจจะเปลี่ยนความคิด วันมะรืนข้าก็อยากจะออกเรือน…”