ตอนที่ 249 ความเมามายเคลิบเคลิ้มหาได้มาจากสุรา

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 249 ความเมามายเคลิบเคลิ้มหาได้มาจากสุรา

เยียนอวิ๋นเกอมักจะอยู่ให้ห่างไกลจากเด็กเล็กที่ตัวนุ่มนิ่ม

ถึงแม้จะเป็นบุตรของพี่สอง นางก็ลังเลแล้วลังเลอีก ตกลงว่าจะสัมผัสดีหรือไม่

แต่ว่า…

ดูจากสายตาคมกริบขององค์ชายสองเซียวเฉิงเหวิน นางสงสัยว่าหากนางแตะต้องตัวเด็ก เซียวเฉิงเหวินอาจถือดาบไล่ฟันนางได้

อาเป่ยรู้ทันสถานการณ์อย่างหาได้ยาก “คุณหนูมีพละกำลังมาก ระวังจะทำให้เด็กเจ็บเจ้าค่ะ”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าระรัว “เจ้าพูดมีเหตุผล องค์ชายสอง หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ!”

นางอย่าได้แตะต้องเด็ก รีบหนีไปให้ไกลเสียดีกว่า

“คุยเรื่องเรือนพักร่ำรวยของเจ้าดีกว่า”

เพียงแค่เยียนอวิ๋นเกอไม่แตะตัวบุตรสาวของตนเอง เซียวเฉิงเหวินก็จะเป็นองค์ชายที่เป็นมิตร เข้าถึงง่าย

เรือนพักร่ำรวยมีเรื่องใดให้คุย

แต่ว่าเยียนอวิ๋นเกอยังคงนั่งลง “องค์ชายสองทรงเป็นกังวลเรื่องเรือนพักร่ำรวยของหม่อมฉัน?”

“ได้ยินว่าปีที่แล้วเจ้าขาดทุนมาก แต่ก็ได้ยินว่าเจ้าอาศัยการขายผ้าชดเชยเงินที่ขาดทุนไป”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มยิงฟัง “องค์ชายสองทรงมีข่าวสารที่ว่องไว แม้จะไม่เสด็จออกจากจวน แต่องค์ชายก็ทรงรู้เรื่องของแผ่นดิน แม้แต่เรือนพักร่ำรวยที่ไร้ความน่าสนใจก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาขององค์ชายได้”

เซียวเฉิงเหวินพูดด้วยรอยยิ้ม “เรือนพักร่ำรวยสร้างขึ้นมาได้ ข้าก็ออกแรงไปอย่างมาก ย่อมต้องเป็นห่วงบ้าง หากเงินในมือของเจ้าไม่เพียงพอ ปีนี้เจ้าไม่มีความมั่นใจ สู้ยอมรับการลงทุนของข้าเสียดีกว่า”

ไม่เอา!

นางมีบิดาชั่วอย่างเยียนโส่วจ้านมาแบ่งกำไรของเรือนพักแล้ว

นางไม่ต้องการให้มีองค์ชายมาแทรกแซงเรื่องของเรือนพักอีก

นางพูดด้วยความสุภาพ “ขอบพระทัยในความหวังดีขององค์ชาย! แต่เวลานี้เรือนพักยังสามารถประคับประคองต่อไปได้ หากวันใด หม่อมฉันลำบากจนไม่มีเงินแม้แต่เหวินเดียว เมื่อถึงเวลานั้นหม่อมฉันค่อยยอมรับน้ำใจขององค์ชายเพคะ”

เซียวเฉิงเหวินเลิกคิ้ว ปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ แสดงว่าไม่ขาดแคลนเงิน

“ขายผ้าได้กำไรไม่น้อยใช่หรือไม่!”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะร่า “ชดเชยส่วนที่ขาดทุนไปได้พอดี เท่ากับปีที่แล้วทำงานเสียเปล่าทั้งปี ไม่ได้กำไรแต่ก็ไม่ขาดทุน เพียงแค่พอเลี้ยงกลุ่มคนที่ต้องการกินข้าว”

เซียวเฉิงเหวินพูด “ปีที่แล้วลำบากเช่นนั้นยังสามารถเลี้ยงคนนับหมื่นให้รอดได้ ไม่ง่ายดาย เรือนพักร่ำรวยดูเหมือนจะไม่โดดเด่น แต่จากการบริหารนับปี ในที่สุดก็มีรากฐานขึ้นมาบ้าง”

เยียนอวิ๋นเกอระแวงเขา เขาคิดจะทำสิ่งใดกับเรือนพักร่ำรวย

นางถาม “องค์ชายทรงมีเงินมากจนไม่มีที่ใช้หรือ ภัยธรรมชาติและภัยมนุษย์ หากองค์ชายทรงต้องการแปลงนา สามารถหาซื้อได้ทุกที่ ไม่จำเป็นต้องจดจ้องเรือนพักร่ำรวยของหม่อมฉัน”

เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างมีนัย “ภัยธรรมชาติและภัยมนุษย์เป็นโอกาสที่จะได้มั่งมี ทุกคนล้วนแล้วแต่กำลังซื้อแปลงนาเรือนพัก เหตุใดคุณหนูสี่จึงไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่เคยซื้อแปลงนาของผู้ประสบภัยแม้แต่ไร่เดียว เจ้ายอมปล่อยเงินกู้ที่เก็บคืนไม่ได้ แต่ก็ไม่ยอมหาเงินจากภัยพิบัติ คุณหนูสี่เกิดมามีจิตใจสูงส่ง มีจิตใจเมตตาหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอแอบกลอกตา “องค์ชายตรัสมาตามตรงเสียดีกว่า ท่านทรงต้องการทำสิ่งใดกันแน่”

“เจ้าไม่ต้องระแวงข้าเช่นนี้ ข้าเพียงแค่อยากช่วยเหลือเจ้า กำลังจะใกล้เวลาเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ ผู้ลี้ภัยร่อนเร่พเนจร หากเรือนพักร่ำรวยสามารถหาทางรอดให้บรรดาผู้ประสบภัยได้ ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก”

เมื่อได้ยิน สีหน้าของเยียนอวิ๋นเกอก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง แม้กระทั่งท่านั่งก็ยังตั้งตัวตรงมากขึ้น

สายตาของนางเต็มไปด้วยความสงสัยและเหลือเชื่อ มากไปกว่านั้นคือความตกตะลึง

“องค์ชายทรงต้องการให้หม่อมฉันช่วยเหลือผู้ประสบภัย?”

เซียวเฉิงเหวินไม่ปฏิเสธ “เรือนพักร่ำรวยมีกำลังนี้ หรืออาจทำได้มากกว่านี้”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา นางมองพินิจอีกฝ่ายขึ้นลง “หม่อมฉันไม่คิดเลยว่าองค์ชายจะทรงมีพระทัยที่เมตตา เพียงแต่หม่อมฉันขอบังอาจถาม องค์ชายกำลังทรงใช้ฐานะใดขอให้หม่อมฉันทำเช่นนี้”

“องค์ชายที่เป็นกังวลต่อบ้านเมืองและราษฎร เจ้าคิดว่าได้หรือไม่”

ใบหน้าของเซียวเฉิงเหวินเปื้อนยิ้ม เขาไม่สนใจความเห็นของผู้อื่น

เขามีความคิดของตนเอง ไม่ต้องอธิบายมากมาย

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า “ไม่พอ! ถึงแม้ท่านจะทรงเป็นองค์ชาย แต่องค์ชายไม่ใช่ขุนนางราชสำนัก อีกทั้งไม่เคยก้าวก่ายเรื่องในราชสำนัก องค์ชายไม่อาจส่งเสียงของตนเองในราชสำนักได้ หากหม่อมฉันฟังคำโน้มน้าวของท่าน นำเงินและเสบียงออกมาช่วยเหลือผู้ประสบภัย ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าจะเกิดผลอย่างไรตามมา

ในเวลานั้นย่อมมีขุนนางถวายฎีกาฟ้องร้องหม่อมฉัน กล่าวหาว่าหม่อมฉันใช้เงินซื้อใจผู้คน จากนั้นทำให้ท่านแม่ของหม่อมฉัน รวมทั้งคนในตระกูลที่อยู่ห่างไกลถึงแคว้นซ่างกู่เดือดร้อน องค์ชายสอง หม่อมฉันชื่นชมท่านอย่างมากที่ท่านทรงมีเมตตา

แต่ในฐานะองค์ชาย ท่านยังไม่ทรงกล้านำแปลงนาของตนเองไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย ท่านจะทรงขอให้หม่อมฉันทำได้อย่างไร ผู้ประสบภัยน่าสงสารก็จริง แต่หม่อมฉันไม่อาจทำให้คนในตระกูลของหม่อมฉันตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นประโยชน์เพียงเพื่อผู้ประสบภัย หม่อมฉันแยกแยะความสนิทห่างเหินออกอย่างชัดเจน นอกจากนี้หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสาวตัวน้อย ไม่มีจิตใจที่โอบอ้อมช่วยเหลือแผ่นดิน ทำให้องค์ชายทรงผิดหวังแล้ว”

เซียวเฉิงเหวินจิบชาหนึ่งคำ “ขอบใจคุณหนูสี่ที่บอกกล่าวข้าตามตรง หากแต่ไม่ใช่ตอบรับแบบขอไปที เจ้าปฏิเสธข้า ข้าไม่รู้สึกผิดหวังแม้แต่น้อย แต่หากเจ้ารับปากข้าในทันที ข้าคงต้องสงสัยเจตนาของเจ้า”

โธ่เอ๊ย!

เยียนอวิ๋นเกอกลอกตาทันที

ที่แท้ก็เป็นกับดัก ที่แท้ก็เป็นบททดสอบนาง

เจตนาของนางอย่างนั้นหรือ

นางไม่มีเจตนาใดทั้งสิ้น อีกฝ่ายต่างหากที่เจตนาไม่ดี

นางโกรธเคืองเล็กน้อย

วันนี้เป็นวันที่สองเดือนหนึ่ง เป็นวันที่พี่สองกลับจวน นางจะฉีกหน้าไม่ได้

นางฉีกยิ้ม “องค์ชายทรงมีอารมณ์ขันเสียจริง เรื่องที่ล้อเล่นไม่เหมือนกับผู้อื่นเอาเสียเลย”

เซียวเฉิงเหวินส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้ายังหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยในแถบนครบาลเท่าที่กำลังของเจ้ามี”

เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “องค์ชายควรทรงเข้าใจว่าคำว่าไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม องค์ชายทรงให้หม่อมฉันช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากฐานะใด จากฐานะของคุณหนูสี่หรือ หม่อมฉันยังอยากมีอายุที่ยืนยาว หม่อมฉันยังอยากมีชีวิตอยู่ ถึงแม้หม่อมฉันกับคนในตระกูลจะมีความขัดแย้งกัน แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายผู้อื่น หม่อมฉันแซ่เยียน ถึงแม้ในตระกูลเยียนจะมีคนทำให้หม่อมฉันเกลียด แต่หม่อมฉันก็จะปกป้องแซ่ของหม่อมฉัน รวมทั้งตระกูลของหม่อมฉัน”

ชาติก่อนนางเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ชาตินี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีอายุอยู่ถึงแปดเก้าสิบ

หากอยู่ไม่ถึงแปดเก้าสิบ แต่อย่างน้อยก็ต้องอยู่ถึงหกเจ็ดสิบ

ให้นางได้ประสบกับชีวิตในวัยชรา

นางยังอยากรู้ว่าเมื่อตนเองแก่ไปแล้วจะเป็นอย่างไร จะมีริ้วรอยเต็มหน้าเหมือนหญิงชราทั่วไปหรือไม่

ชีวิตมีความเป็นไปได้และมีความหวังมากเกินไป

ภายในใจของนางมีความใฝ่ฝันที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในบั้นปลายชีวิต จะให้นางทอดทิ้งไปเร็วได้อย่างไร

นางไม่มีทั้งตำแหน่งขุนนาง ไม่มีทั้งความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ เรื่องใหญ่อย่างการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเช่นนี้ นางทำไม่ได้

สิ่งที่นางทำได้คือการบริหารเรือนพักร่ำรวยให้ดี เกณฑ์สามัญชนในท้องถิ่นจำนวนมากขึ้นมาทำงาน ค่าแรงต้องมีความเป็นธรรม…

เป็นเถ้าแก่ที่มีมโนธรรม ไม่ใช้งานผู้เช่าและช่างฝีมืออย่างทารุณ

นี่คือสิ่งที่นางทำได้ การเป็นคนที่ซื่อสัตย์ หาเงินได้อย่างสบายใจ ไม่ทำสิ่งที่จับต้องไม่ได้

ไม่ว่าภาระของแผ่นดินจะสำคัญเพียงใด ไม่ว่าชีวิตสามัญชนจะลำบากแค่ไหน นางก็หมดหนทาง

นางเป็นเพียงบุคคลที่ดีกว่าบุคคลที่ไม่มีความสำคัญเล็กน้อย ไม่สามารถรับผิดชอบภาระอันหนักอึ้งได้

นอกจากนางจะเป็นฮ่องเต้

สีหน้าของเซียวเฉิงเหวินเรียบเฉย “ตามที่ข้ารู้ คุณหนูสี่เลี้ยงคนที่ไม่สร้างการผลิตไว้ในเรือนพักเป็นจำนวนมาก สู้เจ้าส่งมอบคนกลุ่มนั้นให้ข้า เรื่องอื่นเจ้าก็ถือว่าข้าไม่เคยพูดถึง”

ระฆังในใจของเยียนอวิ๋นเกอดังขึ้น

ไม่สร้างการผลิต?

เรือนพักมีกลุ่มคนที่ไม่สร้างการผลิตเพียงหนึ่งเดียวก็คือทหารหนึ่งพันนายที่เซียวอี้ฝากไว้ในเรือนพัก

ที่แท้พูดอ้อมมากว่าครึ่งทาง เซียวเฉิงเหวินต้องการที่จะจัดการกับเซียวอี้หรือ

ระหว่างทั้งสองคนเกิดความขัดแย้งขึ้นเมื่อใด

ถึงขั้นต้องปะทะกันด้วยกองกำลัง?

โหดร้ายยิ่งนัก!

เยียนอวิ๋นเกอเม้มปากยิ้ม “องค์ชายทรงไม่รู้ แต่ละคนในเรือนพักล้วนมีตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง แต่ละคนล้วนมีงานและภารกิจของตนเอง ไม่มีคนที่ไม่สร้างผลประโยชน์แม้แต่น้อย”

เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างมีนัย “ต่อหน้าคนที่รู้ทันไม่จำเป็นต้องพูดจาไร้ประโยชน์ ในเมื่อข้ากล้าเอ่ยปากก็แสดงว่าข้ารู้สถานการณ์ของเรือนพักร่ำรวยอย่างดี”

เยียนอวิ๋นเกอปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันบอกว่า ทุกคนในเรือนพักร่ำรวยต่างมีหน้าที่ของตนเอง ทุกคนต่างสร้างผลประโยชน์ให้เรือนพัก ไม่มีคนที่องค์ชายทรงตามหา”

“ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเซียวอี้ไม่ธรรมดาเลยเสียจริง”

เขาพูดขึ้นตามตรง

เยียนอวิ๋นเกอแสดงสีหน้าเปิดเผย พูดด้วยท่าทางจริงจัง “หม่อมฉันกับนายน้อยเซียวเป็นแค่คู่ค้ากัน เพียงแต่หม่อมฉันไม่เข้าใจคำพูดขององค์ชาย เรือนพักของหม่อมฉันไม่มีความเกี่ยวข้องกับนายน้อยเซียว”

“มีความเกี่ยวข้องหรือไม่ ในใจของเจ้ารู้ดีกว่าทุกคน ดูจากท่าทีของเจ้า เจ้าคงใจแข็งไม่ยอมส่งคนออกมา”

เยียนอวิ๋นเกอเงียบ ไม่ตอบโต้

เซียวเฉิงเหวินหัวเราะออกมา “แม่ทัพของราชสำนักเลี้ยงกองกำลังส่วนตัว หากเรื่องนี้ถูกส่งไปถึงราชสำนัก เซียวอี้คงเดือดร้อนน่าดู”

เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้ว “ความขัดแย้งระหว่างองค์ชายกับนายน้อยเซียว อย่าได้ดึงหม่อมฉันที่เป็นผู้บริสุทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้อง หม่อมฉันรู้แต่เรื่องของการค้า เรื่องอื่นหม่อมฉันไม่รู้แม้แต่น้อย ขอองค์ชายอย่าทรงทำให้หม่อมฉันลำบากใจ”

เซียวเฉิงเหวินหัวเราะร่า “ได้ ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ รบกวนเจ้าบอกกล่าวแก่เซียวอี้ ข้าเพ่งเล็งเขาแล้ว ฝากเจ้าถามเขาอีกว่า เขามีเจตนาอันใด แม้แต่คนในตระกูลก็ไม่เว้น”

หมายความว่าอย่างไร

เยียนอวิ๋นเกอฉงนเล็กน้อย

ไม่เข้าใจ!

เซียวเฉิงเหวินพูดอีก “เจ้าไม่เข้าใจไม่สำคัญ เขาเข้าใจความหมายของข้า ข้าต้องกลับไปดื่มน้ำสมุนไพรในจวน วันนี้พอเท่านี้ ขอตัว!”

เอ๊ะ?

“องค์ชายจะเสด็จกลับแล้วหรือ มาก็มาแล้ว เหตุใดไม่อยู่ร่วมงานเลี้ยงก่อนเพคะ”

“ผู้ใดจะดื่มสุรากับข้า” เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างมีนัย “ทางท่านหญิง ข้าไม่ไปบอกกล่าวแล้ว เจ้าช่วยบอกแทนข้า บอกว่าร่างกายข้าไม่ดีนัก ต้องขอตัวก่อน เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องพูด ขอตัว!”

ไปจริงหรือ

เยียนอวิ๋นเกอทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย นางสั่งให้บ่าวรับใช้ไปรายงานพี่สองและเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาที่เรือนด้านหลัง

นิสัยขององค์ชายสองก็แปลกประหลาด คนก็มาถึงจวนแม่ยายแล้ว

สุดท้ายนั่งดื่มชาเพียงสองถ้วย ก็จะจากไปโดยไม่แม้แต่จะกินข้าว

หากปล่อยคนไปจริง นางคงอธิบายไม่ได้

ดังนั้น เยียนอวิ๋นเกอจึงต้องใช้แผนการทั้งหมดที่มีรั้งคนเอาไว้

อย่างน้องก็ต้องรั้งจนกว่าพี่สองจะมา

เซียวเฉิงเหวินรู้ทันความคิดของนาง “หากเจ้ายอมรับข้อตกลงของข้า ข้าก็จะอยู่ร่วมงาน”

เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา

ไม่ต้องคิด!

การค้าคือการค้า ญาติคือญาติ บุญคุณคือบุญคุณ…

นางเป็นคนมีสัจจะ

เซียวอี้ไม่ได้ผิดสัญญา เขาส่งเงินมาตรงตามเวลาทุกครั้ง นางย่อมจะผิดสัญญาไม่ได้

——————-