ตอนที่ 168 เป็นแค่การตบตา

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 168 เป็นแค่การตบตา

เยว่ซินกลับไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าแม้กระทั่งมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนเอง

นางรู้แค่ว่าตนเองถูกส่งให้เป็นของคนอื่นแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่าคนคนนี้จะปฏิบัติต่อนางดีหรือไม่ อนาคตของนางยังคงสับสน

อวี้ชิงลั่วกวาดตามองนางปราดหนึ่งอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรมากมาย ก่อนจะหมุนกายขึ้นรถม้าไป

เยว่ซินก็ขึ้นรถม้าตามไปอย่างช้า ๆ นั่งอยู่ด้านนอกของรถม้า ไม่กล้าแหวกผ้าม่านเข้าไปนั่งด้านในรถม้าร่วมกับอวี้ชิงลั่ว

คนขับรถม้ากระตุกบังเหียนม้าเบา ๆ รถม้าจึงเริ่มวิ่งไปด้านหน้า

หลีจื่อฟานนั่งอยู่ด้านในรถคันหลัง เขาพิงกายเข้ากับเบาะ ขณะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ชิงลั่วต้องการพาเยว่ซินกลับไปด้วย เช่นนั้นก็ยิ่งยืนยันได้ว่านางคืออวี้ชิงลั่วในตอนนั้น เพียงแต่เห็นใดนางถึงไม่ยอมรับกับเขา? หากมีเรื่องยากลำบากอะไร เขาย่อมช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่

หลีจื่อฟานถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ แอบรู้สึกจนปัญญากับการที่เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอวี้ชิงลั่วเลย สตรีผู้นี้มีความลับเต็มไปหมด ไม่เพียงแต่มีทักษะทางการแพทย์ชั้นสูง ข้างกายของนางยังมีผู้พิทักษ์ทมิฬ ไหนจะรู้จักกับเถ้าแก่เนี้ยจินอะไรนั่นอีก หลายปีมานี้ นางใช้ชีวิตเป็นอย่างไรกันแน่ เหตุใดนางถึงยังมีชีวิตรอดมาได้ เหตุใดถึงเพิ่งกลับมาที่เมืองหลวงในตอนนี้? หากภายในใจรู้สึกไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้ตระกูลอวี๋มีชีวิตที่ดี เหตุใดนางถึงเพิ่งเริ่มลงมือตอนนี้?

คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของหลีจื่อฟานจนมิอาจสะบัดออกไปได้ สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมา

รถม้าวิ่งไปได้ครึ่งชั่วยาม เมื่อกลับมาถึงสถานที่พวกเขาทั้งสามเจอกันเมื่อเช้าจึงหยุดลง อวี้ชิงลั่วกระโดดลงจากรถม้า พูดกับคนขับของจวนอวี๋ว่า “ส่งข้าตรงนี้ก็พอ เจ้ากลับไปเถอะ”

คนขับรถม้าคนนั้นชะงัก มองดูโรงเตี๊ยมซูซินที่อยู่ตรงหน้าปราดหนึ่ง จึงพยักหน้ากระโดดกลับขึ้นรถม้าและขับรถม้าออกไป

หลีจื่อฟานที่ตามอยู่ด้านหลังได้ยินเสียงจากด้านนอก จึงกระโดดตามลงมา

ครั้นเห็นอวี้ชิงลั่วยืนอยู่ตรงนั้น จึงก้าวเท้าเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ชิง…อาฮวา”

“เสนาบดีฝั่งขวามีภารกิจมากมายให้ทำจนยุ่งหัวหมุน เชิญกลับจวนเสนาบดีฝั่งขวาก่อนเถิด วันนี้ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว อยากกลับไปพักผ่อน” อวี้ชิงลั่วยิ้มด้วยใบหน้าแข็งทื่อ นางทราบดีว่าหลังจากไล่รถม้าของจวนอวี๋กลับไป ยังต้องเผชิญหน้ากับพยัคฆ์หน้ายิ้มตัวนี้อีกหนึ่งตัว

เยว่ซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับขมวดคิ้ว เมื่อครู่นางรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่าเสียงของแม่นางชิงคนนี้คุ้นหูที่ไหนมาก่อน ตอนนี้เมื่อได้ยินอีกครั้ง ความรู้สึกแปลกประหลาดก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

เสียงนี้ นางได้ยินมาหลายปีแล้ว คล้ายกับเสียงของคุณหนูตระกูลของนางจริง ๆ ทว่าน้ำเสียงนี้กลับไม่ค่อยคล้ายเท่าไรนัก เพราะน้ำเสียงดูเย็นชากว่าและทุ้มต่ำกว่าเล็กน้อย

เยว่ซินไม่กล้ามั่นใจต่อสิ่งนี้ ทว่าคนที่อยู่ข้างกายจะกลายเป็นคนที่นางต้องคอยปรนนิบัติอย่างระมัดระวังนับจากนี้ ไม่มีทางที่นางจะไม่เกิดความสงสัย

นางเม้มปาก หลังจากเกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงใช้โอกาสตอนที่ทั้งคู่กำลังคุยกันเงยหน้าขึ้นอย่างเงียบ ๆ เพื่อสำรวจคนที่อยู่ตรงหน้า

ใครจะไปคิดตอนที่นางเพิ่งเงยหน้าขึ้น สิ่งแรกที่นางเห็นคือใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคยของหลีจื่อฟาน เยว่ซินถึงกับชะงัก เปล่งเสียงด้วยความตกใจ “คุณชายหลี?”

หลีจื่อฟานหันมามอง รอยยิ้มนั้นยังคงอบอุ่น “เยว่ซิน หลายปีมานี้ ลำบากเจ้าแล้ว แต่ชีวิตหลังจากนี้จะดีขึ้น ตอนนี้เจ้าได้กลับมาอยู่กับเจ้านายของเจ้าอีกครั้งแล้วนะ” ระหว่างที่พูด ก็ใช้สายตาเหลือบมองอวี้ชิงลั่ว

อวี้ชิงลั่วกลอกตาใส่เขาด้วยท่าทางเกียจคร้านจะพูดคุยด้วย

“เสนาบดีฝั่งขวา วันนี้พวกเราลากันตรงนี้เถิด หากท่านยังติดตามข้า คงได้ทำลายชื่อเสียงของข้าไปด้วย”

เสนาบดีฝั่งขวา? เยว่ซินมองหลีจื่อฟานที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ตกใจจนพูดไม่ออก นางรู้ว่าตอนนั้นเสนาบดีฝั่งขวาแซ่หลี่ เป็นชายหนุ่มอายุน้อยแต่เป็นบุคคลในตำนาน ทว่า…ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงเลย บุคคลผู้นี้จะเป็นคุณชายหลี่ที่นางรู้จัก

หกปีก่อน เห็นได้ชัดว่าคุณชายหลีเป็นแค่บัณฑิตยากจนคนหนึ่งเท่านั้น

เยว่ซินเกิดความรู้สึกสงสัยอยู่เต็มอก ครั้นนึกได้ว่าคุณชายหลีเป็นเสนาบดีฝั่งขวาแล้ว และนึกถึงความอยุติธรรมที่คุณหนูของนางต้องแบกรับ ทั้งยังต้องถึงแก่ชีวิตทั้งที่อายุยังน้อย นางก็รู้สึกได้ถึงความอยุติธรรม อยากฟ้องคุณชายหลีที่อยู่ตรงหน้าเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นที่เกิดขึ้น

ทว่าหลีจื่อฟานเห็นอวี้ชิงลั่วเหนื่อยแล้ว จึงไม่คิดจะคะยั้นคะยอให้มากมาย เขาหลีกทางให้นางด้วยรอยยิ้ม “เข้าใจแล้ว วันหลังค่อยมารบกวนชิง…แม่นางใหม่”

อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุกวูบ หมุนกายเดินเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยมซูซินที่อยู่ตรงหน้า

เยว่ซินรู้สึกกังวลใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดตามใจชอบ ได้แต่อดกลั้นและเดินตามเข้าไป

เพียงแต่ตอนที่พวกนางเดินมายังมุมที่ไม่มีใคร อวี้ชิงลั่วกลับหยุดเดิน เงยหน้าขึ้นแต่ก็ไม่รู้ว่ากำลังมองไปที่ใด นางพูดเสียงดังขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าเย่ซิวตู๋สั่งให้คนสะกดรอยตามข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ถึงเวลาออกมาขวางเสนาบดีฝั่งขวาให้ข้าแล้ว อย่าให้เขาตามข้ามาก็แล้วกัน ข้าจะออกไปทางประตูหลัง”

ฉินซงถึงกับตกใจจนเกือบตกลงบนจากด้านบนคาน หน้าผากถึงกับเกิดเส้นสีดำขึ้นสามเส้น

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ข้างหูของอวี้ชิงลั่วจึงเกิดเสียงที่มีความเคารพนอบน้อมดังขึ้นเบา ๆ “ขอรับ”

สิ้นสุดเสียง ฉินซงก็เข้าไปขวางตรงหน้าเสนาบดีฝั่งขวาที่กำลังแอบตามอวี้ชิงลั่วเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยมอย่างเงียบ ๆ ยกมือขึ้นมาขวางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เสนาบดีฝั่งขวา แม่นางของข้าน้อยไม่ต้องการให้มีคนติดตามขอรับ”

เสนาบดีฝั่งขวารู้สึกหงุดหงิดมาก มาอีกคนหนึ่งแล้ว ดูเหมือนว่าคราวหน้าเขาเองก็คงต้องหาผู้พิทักษ์ทมิฬไว้สักหน่อย อย่างน้อย ๆ ก็สามารถยื้อเวลาคนคนนี้ได้

เขายกมือขึ้นมาคลึงหัวคิ้ว ทำได้แค่ขมวดคิ้วและหมุนกายเดินออกจากโรงเตี๊ยมซูซิน เขาไม่เชื่อว่าอวี้ชิงลั่วจะพักอยู่ที่นี่ สถานที่เช่นนี้ก็เพื่อตบตาคนขับรถม้าจวนอวี๋เท่านั้น

ชิงลั่วมี…ความลึกลับมากเกินไปแล้วจริง ๆ

อวี้ชิงลั่วหัวเราะเบา ๆ นางได้พาเยว่ซินเดินออกประตูหลังของโรงเตี๊ยมเยว่ซินแล้ว และมุ่งหน้าไปยังประตูหลังของตำหนักอ๋องซิว

เยว่ซินเดินตามอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด ไม่เอ่ยปากพูดแม้แต่คำเดียว นางไม่กล้ามองแผ่นหลังของอวี้ชิงลั่วมากเกินไป เพราะแค่นางเงยหน้าขึ้นมาก็ทำให้นางมองเห็นคุณหนูของตนเองแล้ว ความเข้าใจผิดนี้ทำให้นางรู้สึกเกลียด

โชคดีที่เดินไปได้ไม่ไกล พวกนางเดินเพียงครู่หนึ่งก็เคาะลงบนประตูหลังของตำหนักอ๋องซิว

เด็กรับใช้เปิดประตูเห็นอวี้ชิงลั่ว ก็รีบเชิญให้นางเข้าไปอย่างนอบน้อม

“แม่นางอวี้ บุคคลผู้นี้คือ…” เด็กรับใช้คนนั้นรู้สึกสงสัยมาก เหตุใดแม่นางอวี้แค่ออกไปก็พาสตรีอีกนางหนึ่งมาด้วย?

อวี้ชิงลั่วหันไปมองเยว่ซินปราดหนึ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก็อดขำเบา ๆ ไม่ได้ นางยักไหล่พูดอย่างจนปัญญาว่า “เฮ้อ ข้าพักอยู่ที่นี่ นายท่านของพวกเจ้ากลับไม่จัดเตรียมสาวใช้คนสนิทมาดูแลเรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่ให้ข้าสักคน ข้าจึงทำได้แค่ไปซื้อตัวสาวใช้จากด้านนอกเข้ามา”

เด็กรับใช้คนนั้นถึงกับมุมปากกระตุก เห็นได้ชัดว่าเมื่อวันก่อนแม่นางอวี้ทะเลาะกับนายท่าน ทัท้งยังคืนสาวใช้ทั้งหมดที่เขาหาให้กลับมาจนหมด เหตุใดตอนนี้ถึงได้กลับตาลปัตรไปเสียได้?

อวี้ชิงลั่วหัวเราะเบา ๆ สั่งให้เขาปิดประตูหลัง ก่อนจะหมุนกายเดินกลับเข้าจวนตนเอง

เยว่ซินเดินตามอยู่ด้านหลัง ในหัวของนางกำลังนึกถึงคำเรียกของเด็กรับใช้คนนั้น คนคนนั้นเรียกแม่นางที่อยู่ตรงหน้าว่าแม่นางอวี้ แต่…แต่ฮูหยินใหญ่เรียกนางว่าแม่นางชิงมิใช่หรือ?

ยังไม่ทันที่สมองของเยว่ซินจะได้คิดต่อ ตอนที่เงยหน้าขึ้นก็พบว่าอวี้ชิงลั่วได้ถอดผ้าปิดหน้าออกแล้ว ดวงตาของนางพลันเบิกกว้าง ร่างกายสั่นสะท้านจนมิอาจควบคุมได้

………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ก็ไม่แปลกที่เยว่ซินจะตกใจสุดขีด อยู่ ๆ เจ้านายที่คิดว่าตายไปนานแล้วก็มาอยู่ข้างหน้าแบบตัวเป็น ๆ

ไหหม่า(海馬)