บทที่ 241 ฮึกเหิมเพราะฤทธิ์สุรา
บทที่ 241 ฮึกเหิมเพราะฤทธิ์สุรา
สุดท้ายเหล่าขุนนางคนสำคัญแห่งต้าเซี่ยก็ถูกหามขึ้นรถม้า เมื่อพามาส่งถึงหน้าจวน สมาชิกในครอบครัวของพวกเขายังนึกว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
แม้ว่าหนานกงสือเยวียนจะชื่นชอบรสชาติของสุรานี้ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเมามายไม่ได้สติ
เขาคอแข็งไม่เบา มิหนำซ้ำยังมีสติยั้งคิดวางจอกเหล้าในตอนที่รู้ตัวว่าตนจะมึนเมาหากว่ายังดื่มต่อไป
ในท้ายที่สุด จากบรรดาคนทั้งหมดก็เหลือเพียงเขาที่ยังมีสติดี
มองเจ้าเจ็ดที่ดื่มสุราจนเมาแอ๋ ใบหน้าแดงก่ำ อีกทั้งนัยน์ตาก็พร่ามัววิ่งเพ่นพ่านไปทั่วโถง ความคิดชั่ววูบที่อยากจะแพ่นกบาลน้องชายให้สลบพลันแวบเข้ามา
แล้วเจ้าหมอนั่นก็ดันวิ่งมาหาเขาอย่างใจกล้าฮึกเหิมเพราะฤทธิ์ของสุรา
“พี่ เสด็จพี่ ท่าน เอิ้ก~ ท่านยกเสี่ยวเป่าให้เป็นลูกสาวข้าเถิด ข้าจะเลี้ยงดูนางอย่างดี!”
โอ๊ะโอ เผลอพูดความคิดคดทรยศที่เก็บซ่อนอยู่ในใจออกมาเสียแล้ว
หนานกงสือเยวียน: “(▼ヘ▼)”
ความมืดทะมึนเข้าปกคลุม จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือสับลงไปที่ท้ายทอยของหนานกงหลีในฉับเดียว
คนเอียงกระเท่เร่ล้มลงกับพื้นในพริบตา
หนานกงสือเยวียนออกคำสั่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “พาเซียวเหยาอ๋องกลับไปพักที่ตำหนักเดิมของเขา”
จากนั้นก็เบนสายตาไปยังหนานกงจ้านซึ่งนั่งหลังตรง สายตาเหม่อมองคานเพดานที่อยู่บนหัว
“พาเจ้าสี่กับองค์ชายองค์อื่น ๆ ไปด้วย”
เมื่อบรรยากาศสงบลงแล้ว หนานกงสือเยวียนก็พบว่าตนเองวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย เขายังประเมินสุรานั่นต่ำไปอยู่ดี
“ท่านพ่อ สุรา”
เสี่ยวเป่าที่ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขามาตลอดคล้ายกับละเมอ มือปัดป่ายท่านพ่อไปมาพลางส่งเสียงงึมงำแผ่วเบา จากนั้นก็นอนหลับต่อด้วยใบหน้าเปรมปรีดิ์
ครั้นเมื่อตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้น เสี่ยวเป่าก็พบว่าเป็นเช้าวันใหม่แล้ว อีกทั้งสุราของนางก็ถูกค้นพบเข้าจนได้!
ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือเป็นนางเองที่เผลอพูดออกไปด้วยความโง่งม
เสี่ยวเป่า QAQ
“เช่นนั้น ที่เจ้าซ่อนสุราไว้มากมายเพราะอยากแช่ตัวในไหสุราอย่างนั้นหรือ”
หนานกงสือเยวียนเอ่ยถามพลางดีดหน้าผากของลูกสาว
เสี่ยวเป่านั่งอยู่บนเตียงท่าทางอ่อนเพลีย ดูไร้ชีวิตชีวา
“ไม่ใช่เสียหน่อย ให้ท่านพ่อสิบถัง ท่านอาเจ็ดสามถัง แล้วก็ให้ท่านอาสี่อีกสี่ถัง ก็เหลือไม่เยอะแล้ว เสี่ยวเป่าตั้งใจจะกรอกใส่ไหแล้วเอาไปให้พวกพี่ ๆ สุดท้ายก็จะเหลืออยู่แค่นิดเดียว เสี่ยวเป่าอยากได้แค่นิดเดียวเท่านั้น”
หนานกงสือเยวียนเผยรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก “เจ้าแบ่งสันได้ชัดเจนดีมาก”
เสี่ยวเป่าหางชี้ด้วยความภาคภูมิใจ แต่ก็กลับมาอยู่ในสภาพไร้เรี่ยวแรงแทบจะในทันที
“แต่ว่าตอนนี้พวกท่านรู้แล้ว ท่านพ่อเหลือไว้ให้เสี่ยวเป่านิดหนึ่งได้หรือไม่~”
เจ้าก้อนแป้งออดอ้อนด้วยท่าทางน่าสงสาร
หนานกงสือเยวียนบีบจมูกนางอย่างมันเขี้ยว “ครึ่งเดือนให้ดื่มได้หนึ่งครั้ง ครั้งละครึ่งจอก ข้าจะเก็บสุราไว้เอง”
เสี่ยวเป่า “…ก็ได้เพคะ”
ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าไม่ได้ดื่ม
“ท่านพ่อ ปลูกองุ่นกันเถอะ ๆ ปลูกให้กว้าง ๆ ไปเลย เสี่ยวเป่าจะได้หมักเหล้าองุ่นอีกเยอะ ๆ!”
หนานกงสือเยวียนส่งเสียงอืม “เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้”
สุรานี้นับว่าเป็นของชั้นดี ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสุราที่หมักจากผลไม้ ไม่สิ้นเปลืองธัญพืช พอจะหาภูเขาสักลูกไว้สำหรับปลูกองุ่นได้
ต่อไปสุราของพวกเขาก็จะสามารถส่งออกไปยังอาณาจักรอื่น ๆ เช่นเดียวกับชาหนิงซวงของอาณาจักรเยว่หลีที่แม้จะตั้งราคาสูงจนเกินเหตุ แต่พวกขุนนางชั้นสูงก็ยังแย่งกันซื้ออยู่ดี
นี่หาได้เป็นแค่เรื่องของการดื่มชาอีกต่อไป แต่ยังเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงฐานะ ยิ่งเป็นของล้ำค่าหายากเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งต้องการมันมากเท่านั้น
ชาอวิ๋นอู้ของต้าเซี่ยก็มิได้ด้อยไปกว่าชาหนิงซวงของเยว่หลี แต่เนื่องจากมีจำนวนน้อยมาก มิหนำซ้ำเจ้าอาวาสวัดต้ากั๋วยังไม่ขาย เพียงแต่มอบให้กับคนที่รู้สึกถูกชะตาด้วยเท่านั้น คนที่ได้รับไปมีหรือจะยอมขาย มีก็เพียงมอบเป็นของขวัญให้แก่ญาติสนิทมิตรสหายเท่านั้น
อย่างไรก็ตามแม้ชาอวิ๋นอู้จะเป็นชาชั้นดี แต่กลับซื้อขายไม่ได้ ทว่าสุรานี้ไม่เหมือนกัน
ขอแค่ดำเนินกิจการไปได้ด้วยดี ในอนาคตพวกเขาก็จะสามารถหาเงินเข้าท้องพระคลังได้อย่างมหาศาล อีกทั้งยังสามารถกอบโกยกำไรจากอาณาจักรรอบข้างได้อีกด้วย
ดังนั้นเรื่องการขายสุราก็พอจะเป็นไปได้!
เขาเอ่ยกับเสี่ยวเป่าถึงเรื่องที่จะขอนำสุราจำนวนหนึ่งออกมาขายให้กับคณะทูต หากในภายภาคหน้าอยากให้สุราขายดี ก็ต้องทำให้พวกขุนนางทั้งหลายแย่งชิงกันเสียก่อน
แม้เขาจะไม่ใช่พ่อค้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้
เสี่ยวเป่าชูสองมือเป็นการเห็นด้วย กอบโกยเงินจากผู้อื่นกับหาเงินจากคนใกล้ตัวถือเป็นเรื่องน่ายินดีคนละแบบ!
“หาเงิน เสี่ยวเป่าอยากหาเงินให้ได้เยอะ ๆ!”
เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลของเสี่ยวเป่าฟังดูฮึกเหิมและทรงพลัง
“เสี่ยวเป่าจะหมักสุราให้ได้เยอะ ๆ หาเงินมาเลี้ยงท่านพ่อกับท่านอาสี่ แล้วก็ท่านพี่ด้วย”
หนานกงสือเยวียน: …ลำพังตัวเขาก็พอแล้ว เหตุใดต้องมีเจ้าสี่กับลูกชายของตนด้วย
แต่หากพูดออกไปก็ดูจะเป็นคนใจแคบ หนานกงสือเยวียนไม่มีวันยอมรับว่าตนเป็นคนใจแคบอย่างเด็ดขาด
คณะล่าสัตว์ออกเดินทางในตอนเที่ยง หนานกงสือเยวียนมอบหมายให้เจ้าสี่ที่ดูจะพึ่งพาได้เป็นคนดูแลเสี่ยวเป่า ส่วนเจ้าเจ็ดที่คิดจะขโมยลูกสาวของเขาน่ะหรือ หึ…
“ฮัดชิ่ว!”
หนานกงหลีที่นั่งอยู่บนหลังม้าจามเสียงดัง รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เขาชะโงกคอมองไปข้างหน้า ฮ่องเต้ประทับบนรถลากมังกรโอ่อ่าหรูหราเทียมด้วยม้าชั้นเลิศทั้งหมดหกตัว ราษฎรต่างคุกเข่าคำนับเมื่อรถม้าเคลื่อนผ่าน
หนานกงหลีชมชอบฉากอันยิ่งใหญ่เช่นนี้เป็นอย่างมาก รถลากมังกรเป็นตัวแทนแห่งราชวงศ์ต้าเซี่ย ต้าเซี่ยจะอับอายต่อหน้าคณะทูตมิได้เป็นอันขาด
รถม้าของเหล่าท่านอ๋องและองค์ชายเคลื่อนที่ตามมาด้านหลัง ถัดจากนั้นจะเป็นขุนนางสูงศักดิ์จากแว่นแคว้นต่าง ๆ ส่วนคนอื่น ๆ จะอยู่ในตำแหน่งท้ายสุด
“ยามนี้ข้าไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าไปให้เสด็จพี่เห็นแล้ว ข้ากลัวถูกต่อย”
หนานกงจ้าน “เจ้ามันหาเรื่องใส่ตัวเอง”
หนานกงหลีปิดปากสนิทราวกับไม่ใช่ตัวเขา ต่อให้เมาก็ไม่ควรพูดจาไร้หัวคิดเช่นนั้นออกไป
หนานกงจ้านให้เสี่ยวเป่านั่งบนหลังเฉาเฟิง เจ้าตัวน้อยแสดงอาการตื่นเต้นดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ติดตามท่านพ่อออกนอกวังด้วยขบวนเกียรติยศอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ เด็กน้อยจึงตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ
ท่านพ่อของนางน่าเกรงขามยิ่งนัก สุดยอดไปเลย!
หนานกงหลีลูบหลังคออย่างเก้อเขิน ตอนที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาก็รู้สึกปวดที่คออย่างรุนแรง ซ้ำยังหลงนึกว่าตัวเองถูกพวกไม่ดูตาม้าตาเรือเล่นงาน
หลังจากพยายามเค้นความทรงจำอยู่นาน เขาก็แทบกลิ้งตกเตียงทันทีที่นึกออก
เขาเผลอพูดความในใจออกไปหรือนี่! มิหนำซ้ำยังหาเหาใส่หัวโดยการพูดต่อหน้าเสด็จพี่อีก ส่วนเรื่องคอของเขา…
เขาพูดออกไปเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่เสด็จพี่แล้วจะเป็นใครไปได้อีก!
“เสี่ยวเป่า อีกเดี๋ยวไปถึงเขาไป่สิงแล้ว เจ้าต้องช่วยอาเจ็ดด้วยนะ”
เขาไป่สิงเป็นสถานที่ที่พวกเขาจะไปล่าสัตว์ในครั้งนี้
เสี่ยวเป่ามองหน้าเขาอย่างสงสัย “ท่านอาเจ็ดทำให้ท่านพ่อโกรธหรือ”
หนานกงหลีร้องอืมพลางเขี่ยปลายจมูกไปมา
ขณะนั้นเองหนานกงฉีโม่ก็ควบม้ามาจากด้านหลัง
“ก็ใช่น่ะสิ ข้ามิเคยรู้เลยว่าเสด็จอาเจ็ดคิดจะขโมยน้องหญิงไปเป็นบุตรสาวของตน”
หึ ๆ…อย่าว่าแต่เสด็จพ่อเลย พี่ชายก็ไม่อนุญาต
หนานกงหลี “…ข้าก็แค่คิดเฉย ๆ เสี่ยวเป่าทั้งน่ารักทั้งเป็นเด็กดี หากเจ้าเป็นข้า เจ้าจะไม่อยากได้หรือ”
หนานกงฉีโม่ “…”
เขามองเสี่ยวเป่าจากนั้นก็เงียบไป
เพราะว่าเสด็จพ่อเป็นพ่อแท้ ๆ ตั้งแต่ที่เสี่ยวเป่าถูกรับเข้าวัง นางก็นอนกับเขาไม่ยอมห่างเรื่อยมา
ผู้ใดจะไม่อยากนอนกอดหมอนน้อยนุ่มนิ่มเช่นนี้ทุกคืนบ้าง เสด็จพ่อที่แต่ก่อนมักจะมีอาการนอนไม่หลับ กลับนอนหลับสบายเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้กอดเสี่ยวเป่า น่าเสียดายที่พี่ชายอย่างพวกเขาไม่ได้ส่วนแบ่งนี้บ้าง
ก็ได้ ถ้าเป็นเขาก็คงอยากแย่งมาเหมือนกัน
เสี่ยวเป่า “???”