บทที่ 242 อยากรบก็รบ

บทที่ 242 อยากรบก็รบ

ภูเขาไป่สิงกว้างใหญ่ไพศาล มีเทือกเขาสลับซับซ้อนไกลสุดลูกหูลูกตา ทั้งยังเป็นทุ่งล่าสัตว์ที่ราชสำนักได้จัดแจงเอาไว้ แต่ก็อยู่แค่บริเวณรอบนอกเท่านั้น

หลายครั้งหลายครา คนที่เดินทางมาล่าสัตว์ล้วนเป็นคุณชายที่ยังดูหนุ่มยังแน่น พวกสัตว์ป่าดุร้ายก็จะถูกไล่ต้อนออกจากทุ่งล่าสัตว์และหนีลึกเข้าไปในป่า

เช่นนี้สัตว์ป่าดุร้ายที่อยู่รอบ ๆ ก็จะเหลือเพียงไม่มาก และถูกแทนที่ด้วยสัตว์กินพืชที่ค่อนข้างเป็นมิตร

สัตว์พวกนี้ก็คือเป้าหมายในการล่า

ทหารแต่ละกองพันเริ่มตั้งกระโจมอย่างเป็นระเบียบภายใต้คำสั่งของผู้บังคับบัญชา แน่นอนว่ากระโจมที่ตั้งเสร็จเป็นแห่งแรกย่อมเป็นกระโจมของจักรพรรดิ และมีขนาดใหญ่ที่สุด

บัดนี้หนานกงสือเยวียนนั่งอยู่บนหลังอาชาศึกสีดำขลับ โดยมีเจ้าก้อนแป้งที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกอย่างนั่งอยู่ด้านหน้า

“ท่านพ่อก็จะไปล่าสัตว์ด้วยหรือ”

“อืม”

“ท่านพ่อ ที่นี่กว้างใหญ่นัก เสี่ยวเป่าขอเข้าไปกับท่านพ่อด้วยได้หรือไม่”

“ไม่ได้”

“เพราะเหตุใด ท่านบอกว่าไม่อันตรายมิใช่หรือ พาเสี่ยวเป่าไปด้วยก็ไม่เป็นไรนี่นา”

“เจ้าขี่ม้าไม่เป็น”

เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่าเรียนรู้นิดหน่อยก็ขี่เป็นแล้ว ใช้เวลาไม่นาน!”

หนานกงสือเยวียนก้มหน้ามองลูกสาว จากนั้นก็โจมตีอย่างตรงจุด “เจ้าขาสั้น”

เสี่ยวเป่า “…”

เกลียดที่สุดเลย

“ฮ่องเต้ต้าเซี่ย”

มหาปุโรหิต องค์ชายสาม และนางรำจากหนานจ้าวผู้นั้นควบม้าเข้ามาใกล้

หนานกงจ้านกับเหล่าขุนศึกตื่นตัวในทันใด จากนั้นก็เข้าประชิดและโอบล้อมฝ่าบาทไว้ภายใต้การคุ้มครองของพวกเขา

พวกหนานจ้าวหวังดีประสงค์ร้าย มิอาจปล่อยให้พวกเขาเข้าใกล้ฮ่องเต้ได้โดยง่าย

มหาปุโรหิตทำทีราวกับไม่สังเกตเห็นความระแวดระวังที่มีต่อพวกเขาทั้งสาม ใบหน้าเผยยิ้มอย่างเป็นมิตร

“เรื่องที่เกิดขึ้นในงานฉลองเมื่อคืนวานเป็นกระหม่อมที่บุ่มบ่ามไป ตั้งใจจะมอบสาวงามเพื่อให้ฝ่าบาทดีพระทัย แต่กลับทำเรื่องโง่เขลาลงไปเสียได้ กระหม่อมเสียมารยาทยิ่งนัก”

มหาปุโรหิตผู้นี้ภายนอกอ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งยังกล่าวคำขอโทษ แต่ในความเป็นจริง นัยน์ตาคู่นั้นกำลังจับจ้องหนานกงสือเยวียนอย่างเยือกเย็นโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ

“องค์ชายสาม ท่านอยากขอประทานอภัยฮ่องเต้ต้าเซี่ยมิใช่หรือ ข้าอยู่กับท่านตรงนี้แล้ว ชายชาตรีต้องยืดอกยอมรับความผิดพลาดของตน ท่านอยากกล่าวสิ่งใดก็กล่าวออกมาเถอะ”

องค์ชายสามแห่งหนานจ้าวควบม้าขึ้นมาข้างหน้า จากนั้นก็กล่าวขอโทษอย่างพินอบพิเทา

สีหน้าของหนานกงสือเยวียนยังคงเรียบเฉย ทว่าจู่ ๆ มือที่กุมบังเหียนก็กำแน่น กล้ามเนื้อหดเกร็งไปทั้งร่างคล้ายกับกำลังข่มกลั้นบางสิ่งเอาไว้

กรุ๊งกริ๊ง…

คนอื่นได้ยินบทสนทนาระหว่างมหาปุโรหิตและองค์ชายสาม แต่สิ่งที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงของกระดิ่งอันชั่วร้าย

เสียงกระดิ่งทำให้พิษกู่ในกายของเขาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

นัยน์ตาของหนานกงสือเยวียนปรากฏประกายแดงก่ำ เขาเม้มริมฝีปาก บรรยากาศรอบตัวพลันหนาวเย็นจนสั่นสะท้าน แม้แต่ม้าที่อยู่ใต้ร่างก็เกิดอาการกระสับกระส่าย

“ท่านพ่อ!”

เสี่ยวเป่าเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา นางรีบโผเข้ากอดเขาพร้อมกับตะโกน

หนานกงจ้านเข้าไปใกล้หวังจะตรวจดู ทันใดนั้นหนานกงสือเยวียนก็ชักดาบที่ห้อยอยู่บนหลังม้าขึ้นตวัดใส่ เขารีบยกดาบขึ้นปัดป้องทันที

เสียงอาวุธกระทบกันเสียงดังสนั่นจนบาดแก้วหู ผู้คนโดยรอบเกิดความโกลาหล พวกหนานจ้าวสามคนแสร้งทำทีลุกลี้ลุกลน ทว่ามิอาจซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากไว้ได้

การทดสอบครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าพิษกู่ที่กัดกินหัวใจของฮ่องเต้ต้าเซี่ยยังคงอยู่!

“หึ…”

ทั้งสามกำลังเฝ้ารอให้หนานกงสือเยวียนคลุ้มคลั่งอาละวาด จะยิ่งเป็นการดีหากเขาสังหารคนข้างกายไปเสีย แต่แล้วลูกธนูสองดอกก็พุ่งฝ่าอากาศเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว เฉียดใบหูของมหาปุโรหิตและองค์ชายสาม

ฉึก!

ตามมาด้วยเสียงธนูแหลมคมปักเข้าที่เนื้อบุคคลผู้ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดสิ้นใจตายโดยไม่ทันได้ส่งเสียง

สีหน้าของมหาปุโรหิตและองค์ชายสามแข็งทื่อในบัดดล

พวกเขาเงยหน้าขึ้น ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือฮ่องเต้ต้าเซี่ยที่อยู่ในท่าง้างคันธนู ธนูสองดอกเมื่อครู่เป็นฝีมือของเขา

นัยน์ตาอาฆาตกระหายเลือดของหนานกงสือเยวียนคล้ายกับจะกลืนกินวิญญาณของพวกเขาให้สิ้นซาก แววตาเยือกเย็นประดุจธารน้ำแข็ง ไอหนาวเหน็บเสียดแทงไปถึงกระดูก เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

หนานกงสือเยวียนไม่แม้แต่จะเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา

มิเพียงองค์ชายสามเท่านั้น แม้แต่มหาปุโรหิตเองก็ยังรู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“หยุดเสียงกระดิ่งนั่นเสีย”

เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้น ตามมาด้วยนางรำที่ถูกจับตัวไว้ในภายหลัง

“เจ้าทำอันใด ปล่อยข้านะ!”

นางรำดิ้นรนสุดฤทธิ์ ใบหน้าฉายแววตื่นตระหนก เพราะคนผู้นี้เอ่ยถึงกระดิ่งที่อยู่ในมือนาง

ในชั่วพริบตา ทหารทุกนายก็เล็งอาวุธไปที่พวกเขา

“ฮ่องเต้ต้าเซี่ย นี่มันหมายความว่าอย่างไร”

สีหน้าของมหาปุโรหิตไม่หลงเหลือวี่แววเป็นมิตรอีกต่อไป นัยน์ตาถมึงทึงจับจ้องไปที่หนานกงสือเยวียน

เขาควบคุมได้ ควบคุมมันได้จริง ๆ นี่มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมพิษกู่กัดกินหัวใจได้!

เจี่ยเจินก้าวมายืนข้างกายหนานกงสือเยวียน จากนั้นก็เปิดขวดหยกต่อหน้าพวกหนานจ้าวสามคน และนำยาลูกกลอนสีแดงให้เขากินหนึ่งเม็ด

นัยน์ตาคลุ้มคลั่งแดงก่ำพลันหายไปในทันที

“นี่มันเป็นไปไม่ได้!”

องค์ชายสามแห่งหนานจ้าวตะโกนอย่างลืมตัว จ้องหนานกงสือเยวียนด้วยแววตาเคียดแค้นราวกับกำลังมองดูสัตว์ประหลาด

“เจ้าเอาสิ่งใดให้เขากิน เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร…”

บัดนี้ มหาปุโรหิตแทบอยากจะตบกบาลเจ้าโง่เง่าเบาปัญญานี้ให้ตาย ๆ ไปเสีย เช่นนี้ไม่เท่ากับเป็นการยอมรับว่าพวกเขาคือผู้ที่ทำให้พิษกู่ในกายหนานกงสือเยวียนกำเริบหรอกหรือ

หนานกงสือเยวียนยังคงนิ่งเฉย ไม่โต้ตอบอันใด

“เป็นพวกเขาจริง ๆ!”

จู่ ๆ องค์ชายสามแห่งหนานจ้าวก็เอามือกุมหน้าท้องพลางส่งเสียงโอดโอย ใบหน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด

มหาปุโรหิตทำใจดีสู้เสือ “ฝ่าบาท พวกท่านหมายความว่าอย่างไร ทำเช่นนี้คิดจะเปิดศึกกับหนานจ้าวอย่างนั้นหรือ!”

หนานกงสือเยวียนส่งคันธนูไปให้หลินเจิ้งชิงที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็ควบม้าเข้าไปช้า ๆ

ท่วงท่าของเขาองอาจผึ่งผาย กษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่ก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยการเข่นฆ่าสังหาร เมื่อแรงกดดันของเขาพุ่งเป้าไปยังผู้ใด ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นมหาปุโรหิตแห่งหนานจ้าวก็มิอาจต้านทานไหว

ม้าที่เขาขี่กระสับกระส่ายยิ่งกว่าเก่า ม้าขององค์ชายสามหันหลังกลับและวิ่งหนีด้วยความรวดเร็วอย่างควบคุมไม่อยู่

มหาปุโรหิตเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าด้วยความหวาดหวั่น เขาบังคับตัวเองให้สบตากับหนานกงสือเยวียน พยายามไม่ตื่นตระหนกจนเกินเหตุ

ทว่าในสายตาของหนานกงสือเยวียน สามคนนี้กลับดูน่าตลกขบขันราวกับพวกจำอวด

“อยากรบก็รบ”

ทั้ง ๆ ที่น้ำเสียงยังคงราบเรียบ แต่ใบหน้าของมหาปุโรหิตกลับค่อย ๆ ซีดเผือด

ฮ่องเต้ต้าเซี่ยมิเคยเกรงกลัวคำข่มขู่ และมิเคยครั่นคร้ามสงครามใด ๆ

เป็นฮ่องเต้มานาน หลายปีแล้วที่ไม่ได้ออกศึก พวกเขาลืมไปแล้วหรือว่าฮ่องเต้ผู้นี้เคยเป็นตำนานผู้ไร้พ่ายในสนามรบ กองทัพเสินอี้ที่นำโดยเขาทำให้ทัพของศัตรูต้องวิ่งหนีทันทีที่ได้ยินข่าว

หนานจ้าว…ก็เคยถูกหนานกงสือเยวียนนำทัพเสินอี้ไปบดขยี้จนราบคาบ พวกเขามิเพียงสูญเสียผู้ใช้วิชาไปเป็นจำนวนมาก แม้แต่ฮ่องเต้ยังถูกบีบให้สำนึกผิดจนต้องฆ่าตัวตาย

นี่เป็นฝันร้ายของพวกเขา แต่พวกหนานจ้าวมีใจทะเยอทะยาน หลังจากฝึกฝนอยู่หลายปีก็คิดจะลองใช้พิษกู่ควบคุมหนานกงสือเยวียน บัดนี้ทุกสิ่งกำลังย้ำเตือนว่าพวกเขาก็เป็นแค่ตัวตลก

หากหนานจ้าวจะเริ่มสงคราม ต้าเซี่ยก็มิเคยเกรงกลัว

“ทหาร! หนานจ้าวมีเจตนาชั่วร้าย พยายามลอบสังหารข้า นำตัวองค์ชายสามและคณะทูตจากหนานจ้าวไปขังในคุกหลวง!”

หลินเจิ้งชิงรับบัญชา “พ่ะย่ะค่ะ!”

พวกหนานจ้าวถูกนำตัวออกไป แต่นั่นก็เป็นเพียงหยดน้ำที่กระเซ็น มิได้มีผลอันใดต่อคณะทูตพวกอื่น ๆ

บรรดาผู้คนที่ได้ทราบข่าวคราวก็เริ่มเพลิดเพลินกับฉากสนุกอยู่เงียบ ๆ กระทั่งแอบหวังให้หนานจ้าวกับต้าเซี่ยก่อสงครามขึ้นมาจริง ๆ แล้วพวกเข้าก็จะรอวันที่ได้ฉกฉวยผลประโยชน์